xs
xsm
sm
md
lg

แบงก์ทหารไทยกำไรQ3หด68% "ทิสโก้" ใจเย็นยันไม่เร่งซื้อพอร์ตลิสซิ่ง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"ทหารไทย" แจ้งผลการดำเนินงานไตรมาส 3 กำไร 526 ล้าน ลดวูบจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 68.4% แต่เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า 33.9% ระบุจากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น ด้าน "ทิสโก้" ใจเย็นยันไม่เร่งซื้อพอร์ตลิสซิ่ง พร้อมปรับกลยุทธ์ขยายฐานลูกค้ารายย่อยเพิ่ม ขยับสัดส่วนบัญชีเงินฝากออมทรัพย์และกระสรายวันเป็น 30-35% ในปี 53 จากปัจจุบัน 24% ด้านสินเชื่อปีหน้าตั้งเป้าโตไม่ต่ำกว่า 10%

นายบุญทักษ์ หวังเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ของธนาคารว่า มีกำไรสุทธิจำนวน 526 ล้านบาท เพิ่มขึ้นคิดเป็น 33.9% จากไตรมาส 2 ของปีนี้ แต่ลดลงร้อยละ 68.4 เทียบกับกำไรไตรมาส 3 ของปีที่ผ่านมา ที่มีจำนวน 1,666 ล้านบาท สาเหตุหลักที่กำไรเพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ของปีนี้ มาจากสภาพเศรษฐกิจที่ดีขึ้นเมื่อเทียบกับในช่วงครึ่งแรกของปี และผลกระทบที่ลดลงของการดำเนินโครงการ Branch Transformation ที่เริ่มมาตั้งแต่ไตรมาสแรกของปีนี้ ธนาคารได้ดำเนินโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดโดยสมัครใจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการจัดการธนาคารและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด มีพนักงานเข้าร่วมโครงการโดยสมัครใจทั้งสิ้น 1,187 คน และธนาคารตั้งสำรองค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีก จำนวน 442 ล้านบาท

นายบุญทักษ์ กล่าวว่า ในไตรมาส 3 นี้ธนาคารมีส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลอยู่ที่ 2.3% ปรับตัวดีขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา รายได้ค่าธรรมเนียมก็ปรับตัวดีขึ้น 9.1% จากไตรมาสที่ผ่านมา ทั้งนี้ ธนาคารยังคงรักษาความแข็งแกร่งด้านสภาพคล่องที่สูง มีอัตราส่วนสินเชื่อต่อยอดเงินฝากอยู่ที่ 85.9% และมีสัดส่วนบัญชีกระแสรายวันและออมทรัพย์ (CASA) เพิ่มขึ้นเป็น 52.4% ซึ่งสะท้อนถึงแผนงานของธนาคารที่มุ่งเน้นเงินฝากเป็นสำคัญ (Deposit-led strategy) คุณภาพสินทรัพย์ปรับตัวดีขึ้น โดยเอ็นพีแอลลดลงเหลือ 59,144 ล้านบาท เทียบกับ 59,884 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2552 การปรับตัวของคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี ได้สะท้อนถึงความพยายามอันต่อเนื่องของธนาคารในการยกระดับการจัดการความเสี่ยงตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมานอกจากนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ที่ร้อยละ 16.2 ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ขั้นต่ำที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนด ส่วนรอบ 9 เดือนแรกของปี มีกำไรสุทธิรวม 1,372 ล้านบาท ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 4,519 ล้านบาท

**ทิสโก้ยันไม่เร่งซื้อพอร์ต**
ด้านนายปลิว มังกรกนก ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มทิสโก้ บริษัททิสโก้ไฟแนนซ์เชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (TISCO) เปิดเผยว่า ขณะนี้ทิสโก้ยังไม่มีแผนที่จะซื้อกิจการเช่าซื้อ (ลิสซิ่ง) เข้ามา เพียงแต่มีการคุยกันอยู่บ้างในบางรายแต่ขนาดของกิจการดังกล่าวยังถือว่าเล็กอยู่และยังไม่น่าสนใจมากนัก แต่อย่างไรก็ดี ถ้ามองในส่วนภาพรวมของตลาดแล้วเชื่อว่าช่วงที่เหลือของปี 2552 นี้ก็คงจะมีบางสถาบันการเงินที่มีการซื้อกิจการเช่าซื้อเพื่อเข้ามาเสริมกับธุรกิจที่มีอยู่ เพราะจะมีบริษัทเช่าซื้อบางรายที่ไม่ใช่สถาบันการเงินและมีขนาดเล็กที่ไม่สามารถแบกรับภาระต้นทุนทางการเงินได้ จึงจำเป็นต้องขายกิจการออกไป

“เรามองว่าจะโตด้วยตัวเองก่อนจะดีกว่า แต่ถ้าพอร์ตลิสซิ่งที่มีอยู่ในตลาดมีความต้องการจะขายออกมาและน่าสนใจเราก็อาจจะซื้อเข้ามา แต่ทั้งนี้ ก็ต้องดูที่โอกาสด้วยว่าเป็นอย่างไร เพราะถ้าโอกาสไม่มาเราก็คงจะก้มหน้าก้มตาทำธุรกิจเอง ซึ่งมองว่าตรงไหนที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทได้ ก็จะทำเพราะจะยืนอยู่คนเดียวไม่ได้แล้ว แต่เชื่อว่าในปัจจุบันคงมีรายใหญ่ไม่มากรายนักที่จะขาย” นายปลิวกล่าว

ทั้งนี้ การทำธุรกิจของธนาคารปัจจุบันในส่วนที่เป็นลิสซิ่งนั้น ก็มาจากกรณีสัญญาระหว่างบริษัทฟอร์ด และบริษัทจีเอ็มมอเตอร์ ที่เข้ามาข่วยเสริมธุรกิจทั้งในปัจจุบันและอนาคต ทำให้สินเชื่อเช่าซื้อเติบโตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการปล่อยสินเชื่อให้ดีลเลอร์ของบริษัทรถยักษ์ใหญ่ทั้ง 2 ราย

**เล็งขยายฐานรายย่อยเพิ่ม**
ด้านนางอรนุช อภิศักดิ์ศิริกุล กรรมการอำนวยการ บริษัททิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีแผนที่จะขยายฐานลูกค้าของธนาคารในอนาคตให้เป็นรายย่อยมากขึ้นโดยคาดว่าในปี 2553 สัดส่วนบัญชีลูกค้าออมทรัพย์และกระแสรายวันจะเพิ่มเป็น 30-35% จากปัจจุบันสัดส่วนดังกล่าวอยู่ที่ 20-24% เมื่อเทียบกับปี 2551 ที่ผ่านมามีสัดส่วนอยู่ที่ 11% ซึ่งแผนงานดังกล่าวเป็นการปรับกลยุทธ์เน้นขยายฐานลูกค้ารายย่อย ด้วยการระดมเงินฝากซุปเปอร์ ออมทรัพย์ ที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูงสุดในระบบธนาคารพาณิชย์ โดยให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 1.50%

นอกจากนี้ ในส่วนของสินเชื่อรวมของทิสโก้ในปีหน้าจะเติบโตได้ไม่ต่ำกว่า 10% ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่เป็นไปตามการเติบโตของเศรษฐกิจ เมื่อเทียบกับปีนี้ที่ทิสโก้คาดว่ายอดการปล่อยสินเชื่อรวมจะได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 15% เนื่องจากยอดสินเชื่อ 9 เดือนมีการเติบโตได้แล้วประมาณ 13% โดย 10% เป็นการเติบโตได้ด้วยตัวทิสโก้เองและอีก 3% จะเติบโตจากการซื้อกิจการเช่าซื้อเข้ามา ซึ่งทิสโก้มองว่าภาพรวมสินเชื่อเช่าซื้อในช่วง 3 เดือนสุดท้ายของปีนี้จะมีการเติบโตดีขึ้นถึงแม้ว่ายอดขายรถยนต์ในปีนี้จะลดลง 20% ก็ตาม

ล่าสุดบริษัททิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึง ผลการดำเนินงานของกลุ่มทิสโก้ในไตรมาส 3 ของปี 2552 (ก.ค. – ก.ย.) กลุ่มทิสโก้มีผลกำไรสุทธิอยู่ที่ 512.68 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิที่เพิ่มขึ้น 52.5% ตามการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อยซึ่งเพิ่มขึ้น 14.3 % และการปรับตัวสูงขึ้นของส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยของเงินให้สินเชื่อจาก 3.7 % เป็น 5.2% ในขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยอยู่ที่ 732.25 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 142.30 ล้านบาท หรือ 24.1% จากการเพิ่มขึ้นของรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น 46.7% และรายได้จากธุรกิจจัดการกองทุนที่เพิ่มขึ้น 43.3%

สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปีนี้กลุ่มทิสโก้มีกำไรสุทธิ 1,468.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 140.50 ล้านบาท หรือ 10.6% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีจำนวน 1,328.29 ล้านบาท จากรายได้ดอกเบี้ยและเงินปันผลสุทธิที่เพิ่มขึ้น 36.4% ตามการขยายตัวของสินเชื่อธุรกิจและสินเชื่อรายย่อย และรายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยโดยรวมเพิ่มขึ้น 92.96 ล้านบาท หรือ 4.9%

ส่วนเงินให้สินเชื่อของกลุ่มทิสโก้ ณ สิ้นไตรมาส 3 มีจำนวน 116,781 ล้านบาท แบ่งออกเป็น สินเชื่อรายย่อย 75.5% สินเชื่อธุรกิจ 19.9% และสินเชื่ออื่นๆ 4.6% ขณะที่เงินฝากรวมมีจำนวน 104,520.04 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,366.55 ล้านบาท หรือ 1.3% จากสิ้นไตรมาส 2 ตามการขยายตัวของฐานเงินฝากออมทรัพย์และเผื่อเรียกเป็นผลจากการที่ธนาคารได้ออกผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากในรูปแบบที่หลากหลาย โดยสัดส่วนเงินฝากประเภทเงินฝากออมทรัพย์และเผื่อเรียกต่อยอดเงินฝากอยู่ที่ระดับเดียวกับไตรมาสที่แล้ว คิดเป็น 23.6%
กำลังโหลดความคิดเห็น