ASTVผู้จัดการรายวัน- ก.พลังงานมั่นใจ ราคาน้ำมันดิบปี’53 เฉลี่ย 70-80 เหรียญ/บาร์เรล ไม่ส่งผลให้ราคาขายปลีกดีเซลขยับไปเกิน 30 บาทต่อลิตร เว้นแต่เศรษฐกิจโลกจะโตมากกว่าที่ประเมินไว้ เผยปีนี้กระทรวงพลังงาน กฟผ.และปตท. ควัก 4.6 หมื่นล้านบาทดูแลราคาพลังงาน “ปตท.” ชี้ปีหน้าค่าการกลั่นติดดิน 1-2 เหรียญ/บาร์เรล ฉุดโรงกลั่นแห่ปิดตัว บางจากฯมอบของขวัญให้ปชช. ลั่นไม่ปรับขึ้นราคาขายปลีกช่วงปีใหม่นี้แม้ว่าค่าการตลาดต่ำไม่ถึง 1 บาท/ลิตร
นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจโลกปี 2553 ที่จะเติบโตประมาณ 1.86% แนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเฉลี่ยปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 70-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้น ราคาดีเซลขายปลีกในไทยคงจะไม่เกินระดับ 30 บาท/ลิตร เว้นแต่เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวสูงกว่าที่ประเมินไว้มาก ซึ่งหากน้ำมันดิบขยับไปเกิน 85เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลจะส่งผลทำให้ดีเซลขยับไปเกินได้
ทั้งนี้ ได้ประมาณการณ์การใช้พลังงานของไทยในปี 2553 กรณีที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เฉลี่ยขยายตัว 3-4% จะส่งผลให้การใช้พลังงานของไทยเพิ่มขึ้น 3.8% น้ำมันเพิ่มขึ้น 1.7% ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 5.1% ถ่านหินเพิ่มขึ้น 2.9% ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 4% ขณะที่ปี 2552 การใช้พลังงานทั้งสิ้น 1.65 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 2.1% จากปีก่อน ขณะที่มูลค่าทั้งสิ้นอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท ลดลง 7.5% โดยแยกเป็นการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้น 6.6% กลุ่มดีเซล 4.4% ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้น 2.7% ก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) เพิ่มขึ้น 7.2% และไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 0.1%
โดยตลอดปี 2552 รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และบมจ.ปตท.ได้ดำเนินนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนด้วยการใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคาแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซลให้ต่ำกว่าน้ำมันปกติ การตรึงราคาแอลพีจีและการปรับลดกองทุนเพื่อลดผลกระทบการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันวงเงินประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่กฟผ.แบกรับภาระค่าไฟ 2 หมื่นล้านบาท และปตท.ดูแลเรื่องราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) 8 พันล้านบาท รวม 4.6 หมื่นล้านบาท
“การตรึงราคาพลังงานในปี 2553 จะดำเนินการต่อไปหรือไม่โดยเฉพาะค่าไฟฟฟ้าที่จะตรึงส.ค. 53 เช่นเดียวกับแอลพีจี คงยังตอบไม่ได้ต้องดูปัจจัยเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวเป็นสำคัญเนื่องจากมาตรการที่เข้าไปดูแลเพราะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้ประชาชนตกงานรัฐจึงมีมาตรการนี้เข้ามาช่วยลดค่าครองชีพ “รมว.พลังงานกล่าว
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)วันที่ 28 ธ.ค. ที่ประชุมได้เห็นชอบ แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติปี 2552 – 2558 เพื่อรองรับความต้องการก๊าซธรรมชาติที่จะเพิ่มขึ้นทั้งภาคการไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2551 – 2564 (PDP 2007 : ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 คาดว่าความต้องการก๊าซธรรมชาติของไทยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5,142 ล้านลบ.ฟุตต่อวันในปี 2558
ส่วนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวปี 2559 – 2564 จะวางแผนให้สอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยหรือแผน PDP ฉบับใหม่ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวน นอกจากนี้ ที่ประชุมฯเห็นชอบการลงนามสัญญาซื้อก๊าซฯจากแหล่งซอติก้า ที่ตั้งในแปลงM 9 และ M11 สหภาพพม่า โดยไทยจะรับซื้อในปริมาณ 240 ล้านลบ.ฟุต/วัน คาดว่าจะป้อนก๊าซฯได้ในปี 2556 รวมทั้งเห็นชอบให้กฟผ.ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู)การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 สปป.ลาว กำลังการผลิต 440 เมกะวัตต์
ส่วนนโยบายการส่งเสริมการจำหน่ายไบโอดีเซล(บี 5)ไม่เปลี่ยนแปลง โดยจะให้ขายบี 2 กับบี 5 เช่นเดิม โดยไม่แยกการบังคับให้เป็นบี 3 แทนบี 2 เนื่องจากเห็นว่าปริมาณวัตถุดิบไม่ความแน่นอน และจะบังคับใช้บี 5 ในปี 2554 เช่นเดิม
**** ค่าการกลั่นปีหน้ารูด1-2 เหรียญ/บาร์เรล
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปีหน้าธุรกิจการกลั่นเข้าสู่ช่วงวัฎจักรขาลง คาดค่าการกลั่นต่ำมากที่ระดับ 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากมีกำลังการกลั่นใหม่เข้ามาทั้งจีนและอินเดีย ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ทำให้กำลังการกลั่นล้นตลาดอยู่ จากค่าการกลั่นที่ต่ำมากนี้ส่งผลให้โรงกลั่นหลายโรงต่างทยอยปิดตัวลง เชื่อว่าครึ่งปีหลัง 2553 ค่าการกลั่นจะดีขึ้น
“ในปีหน้าธุรกิจโรงกลั่นของไทยค่อนข้างลำบาก เนื่องจากต้องแข่งขันกับสิงคโปร์ที่มีต้นทุนการขนส่งและต้นทุนน้ำมันดิบต่ำกว่าไทย รวมถึงการจัดเก็บภาษีต่ำกว่า ดังนั้น โอกาสการแข่งขันของไทยที่จะสู้กับสิงคโปร์คงยังเป็นเรื่องยาก”
สำหรับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 70-80 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งสูงกว่าปีนี้ที่อยู่ในระดับ 60-70 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่กำลังการกลั่นน้ำมันในประเทศจะอยู่ที่ 900,000-1,000,000บาร์เรล/วัน แบ่งเป็นการใช้น้ำมันในประเทศ 700,000 บาร์เรล/วัน ใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี 100,000บาร์เรล/วัน และส่งออกประมาณ 100,000-200,000 บาร์เรล/วัน
สำหรับปีนี้ปตท.รับภาระตรึงราคาก๊าซหุงต้มและเอ็นจีวีรวมทั้งสิ้น 2 หมื่นกว่าล้านบาท เนื่องจากขายในราต่ำกว่าตลาดโลกเนื่องจากภาครัฐตรึงราคาขายไปจนถึงส.ค.ปีหน้า หลังจากนั้นอยากให้รัฐพิจารณาราคาให้สะท้อนความเป็นจริง มิฉะนั้นจะทำให้ประชาชนใช้พลังงานผิดประเภท ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น โดยปีหน้าคาดว่าจะต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มสูงถึง 1 ล้านตัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันต้องรับภาระชดเชยส่วนต่างการนำเข้าเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท
ด้านนายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯจะตรึงราคาขายปลีกน้ำมันไว้ในช่วงปีใหม่นี้เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชนแม้ว่าค่าการตลาดปัจจุบันค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 80-90 สตางค์/ลิตร อาจทำให้บริษัทน้ำมันรายอื่นปรับราคาขายปลีกก็ตาม เพราะไม่ต้องการให้เป็นภาระต่อประชาชนในการเดินทางในช่วงวันหยุดยาว
นายแพทย์วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า จากการคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจโลกปี 2553 ที่จะเติบโตประมาณ 1.86% แนวโน้มราคาน้ำมันดิบตลาดโลกเฉลี่ยปี 2553 คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 70-80 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ดังนั้น ราคาดีเซลขายปลีกในไทยคงจะไม่เกินระดับ 30 บาท/ลิตร เว้นแต่เศรษฐกิจโลกจะขยายตัวสูงกว่าที่ประเมินไว้มาก ซึ่งหากน้ำมันดิบขยับไปเกิน 85เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลจะส่งผลทำให้ดีเซลขยับไปเกินได้
ทั้งนี้ ได้ประมาณการณ์การใช้พลังงานของไทยในปี 2553 กรณีที่ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(จีดีพี) เฉลี่ยขยายตัว 3-4% จะส่งผลให้การใช้พลังงานของไทยเพิ่มขึ้น 3.8% น้ำมันเพิ่มขึ้น 1.7% ก๊าซธรรมชาติเพิ่มขึ้น 5.1% ถ่านหินเพิ่มขึ้น 2.9% ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น 4% ขณะที่ปี 2552 การใช้พลังงานทั้งสิ้น 1.65 ล้านบาร์เรล/วัน เพิ่มขึ้น 2.1% จากปีก่อน ขณะที่มูลค่าทั้งสิ้นอยู่ที่ 1.5 ล้านล้านบาท ลดลง 7.5% โดยแยกเป็นการใช้น้ำมันกลุ่มเบนซินเพิ่มขึ้น 6.6% กลุ่มดีเซล 4.4% ก๊าซธรรมชาติ เพิ่มขึ้น 2.7% ก๊าซหุงต้ม(แอลพีจี) เพิ่มขึ้น 7.2% และไฟฟ้า เพิ่มขึ้น 0.1%
โดยตลอดปี 2552 รัฐบาลโดยกระทรวงพลังงานและหน่วยงานรัฐวิสาหกิจในสังกัดคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย(กฟผ.) และบมจ.ปตท.ได้ดำเนินนโยบายเพื่อลดผลกระทบต่อค่าครองชีพของประชาชนด้วยการใช้กลไกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงอุดหนุนราคาแก๊สโซฮอล์ และไบโอดีเซลให้ต่ำกว่าน้ำมันปกติ การตรึงราคาแอลพีจีและการปรับลดกองทุนเพื่อลดผลกระทบการขึ้นภาษีสรรพสามิตน้ำมันวงเงินประมาณ 1.8 หมื่นล้านบาท ขณะที่กฟผ.แบกรับภาระค่าไฟ 2 หมื่นล้านบาท และปตท.ดูแลเรื่องราคาก๊าซธรรมชาติสำหรับยานยนต์(เอ็นจีวี) 8 พันล้านบาท รวม 4.6 หมื่นล้านบาท
“การตรึงราคาพลังงานในปี 2553 จะดำเนินการต่อไปหรือไม่โดยเฉพาะค่าไฟฟฟ้าที่จะตรึงส.ค. 53 เช่นเดียวกับแอลพีจี คงยังตอบไม่ได้ต้องดูปัจจัยเศรษฐกิจในช่วงดังกล่าวเป็นสำคัญเนื่องจากมาตรการที่เข้าไปดูแลเพราะเศรษฐกิจตกต่ำทำให้ประชาชนตกงานรัฐจึงมีมาตรการนี้เข้ามาช่วยลดค่าครองชีพ “รมว.พลังงานกล่าว
สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.)วันที่ 28 ธ.ค. ที่ประชุมได้เห็นชอบ แผนการจัดหาก๊าซธรรมชาติปี 2552 – 2558 เพื่อรองรับความต้องการก๊าซธรรมชาติที่จะเพิ่มขึ้นทั้งภาคการไฟฟ้าตามแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย พ.ศ. 2551 – 2564 (PDP 2007 : ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 คาดว่าความต้องการก๊าซธรรมชาติของไทยจะอยู่ที่ระดับประมาณ 5,142 ล้านลบ.ฟุตต่อวันในปี 2558
ส่วนการจัดหาก๊าซธรรมชาติในระยะยาวปี 2559 – 2564 จะวางแผนให้สอดคล้องกับแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้าของประเทศไทยหรือแผน PDP ฉบับใหม่ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาทบทวน นอกจากนี้ ที่ประชุมฯเห็นชอบการลงนามสัญญาซื้อก๊าซฯจากแหล่งซอติก้า ที่ตั้งในแปลงM 9 และ M11 สหภาพพม่า โดยไทยจะรับซื้อในปริมาณ 240 ล้านลบ.ฟุต/วัน คาดว่าจะป้อนก๊าซฯได้ในปี 2556 รวมทั้งเห็นชอบให้กฟผ.ลงนามบันทึกความเข้าใจ (เอ็มโอยู)การรับซื้อไฟฟ้าจากโครงการน้ำงึม 3 สปป.ลาว กำลังการผลิต 440 เมกะวัตต์
ส่วนนโยบายการส่งเสริมการจำหน่ายไบโอดีเซล(บี 5)ไม่เปลี่ยนแปลง โดยจะให้ขายบี 2 กับบี 5 เช่นเดิม โดยไม่แยกการบังคับให้เป็นบี 3 แทนบี 2 เนื่องจากเห็นว่าปริมาณวัตถุดิบไม่ความแน่นอน และจะบังคับใช้บี 5 ในปี 2554 เช่นเดิม
**** ค่าการกลั่นปีหน้ารูด1-2 เหรียญ/บาร์เรล
นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) กล่าวว่าปีหน้าธุรกิจการกลั่นเข้าสู่ช่วงวัฎจักรขาลง คาดค่าการกลั่นต่ำมากที่ระดับ 1-2 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากมีกำลังการกลั่นใหม่เข้ามาทั้งจีนและอินเดีย ขณะที่ความต้องการใช้น้ำมันยังไม่ฟื้นตัวมากนัก ทำให้กำลังการกลั่นล้นตลาดอยู่ จากค่าการกลั่นที่ต่ำมากนี้ส่งผลให้โรงกลั่นหลายโรงต่างทยอยปิดตัวลง เชื่อว่าครึ่งปีหลัง 2553 ค่าการกลั่นจะดีขึ้น
“ในปีหน้าธุรกิจโรงกลั่นของไทยค่อนข้างลำบาก เนื่องจากต้องแข่งขันกับสิงคโปร์ที่มีต้นทุนการขนส่งและต้นทุนน้ำมันดิบต่ำกว่าไทย รวมถึงการจัดเก็บภาษีต่ำกว่า ดังนั้น โอกาสการแข่งขันของไทยที่จะสู้กับสิงคโปร์คงยังเป็นเรื่องยาก”
สำหรับทิศทางราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกในปีหน้าจะอยู่ที่ระดับ 70-80 เหรียญ/บาร์เรล ซึ่งสูงกว่าปีนี้ที่อยู่ในระดับ 60-70 เหรียญ/บาร์เรล ขณะที่กำลังการกลั่นน้ำมันในประเทศจะอยู่ที่ 900,000-1,000,000บาร์เรล/วัน แบ่งเป็นการใช้น้ำมันในประเทศ 700,000 บาร์เรล/วัน ใช้ในธุรกิจปิโตรเคมี 100,000บาร์เรล/วัน และส่งออกประมาณ 100,000-200,000 บาร์เรล/วัน
สำหรับปีนี้ปตท.รับภาระตรึงราคาก๊าซหุงต้มและเอ็นจีวีรวมทั้งสิ้น 2 หมื่นกว่าล้านบาท เนื่องจากขายในราต่ำกว่าตลาดโลกเนื่องจากภาครัฐตรึงราคาขายไปจนถึงส.ค.ปีหน้า หลังจากนั้นอยากให้รัฐพิจารณาราคาให้สะท้อนความเป็นจริง มิฉะนั้นจะทำให้ประชาชนใช้พลังงานผิดประเภท ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระเพิ่มขึ้น โดยปีหน้าคาดว่าจะต้องนำเข้าก๊าซหุงต้มสูงถึง 1 ล้านตัน ส่งผลให้กองทุนน้ำมันต้องรับภาระชดเชยส่วนต่างการนำเข้าเพิ่มขึ้นประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาท
ด้านนายอนุสรณ์ แสงนิ่มนวล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจากปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทฯจะตรึงราคาขายปลีกน้ำมันไว้ในช่วงปีใหม่นี้เพื่อเป็นของขวัญให้กับประชาชนแม้ว่าค่าการตลาดปัจจุบันค่อนข้างต่ำอยู่ที่ 80-90 สตางค์/ลิตร อาจทำให้บริษัทน้ำมันรายอื่นปรับราคาขายปลีกก็ตาม เพราะไม่ต้องการให้เป็นภาระต่อประชาชนในการเดินทางในช่วงวันหยุดยาว