ASTVผู้จัดการรายวัน - "มาร์ค" โชว์ผลงาน 1 ปี ฟื้นเศรษฐกิจ นำไทยก้าวพ้นประชานิยมสู่ระบบสวัสดิการ ประกาศเดินหน้าสางคดีหมิ่นเบื้องสูงตั้งแต่ต้นปีหน้า ขณะเดียวกันเตรียมผลักดันกองทุนเงินออม ธนาคารที่ดิน เก็บภาษีทรัพย์สินและที่ดิน ส่วน "กรณ์" ขอลุยประมูล 3G รถไฟฟ้า แต่จะไม่ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ คาดปี 53 เศรษฐกิจขยายตัว 3 % นายกฯ เผยชี้ความเสี่ยงของประเทศคือปัญหาภายใน หากเกิดความรุนแรง วุ่นวาย สิ่งที่ทำมา 1 ปีจะสูญหายไป
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลงาน 1 ปีรัฐบาล วานนี้ (23 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ในช่วงที่รัฐบาลเข้ามาปลายปีที่แล้วเกิดวิกฤตซ้ำซ้อน เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจน ขณะเดียวกันเกือบจะตลอดทั้งปี 2551 สภาพความขัดแย้งในทางการเมือง ในทางสังคม ทำให้การบริหารราชการ แผ่นดินตลอดปี 2551 จะสร้างผลงานให้ปรากฏออกมาให้กับประชาชนบนความยากลำบากมาก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเมื่อเข้ามาบริหารประเทศรัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชัดเจนว่า จะใช้วิธีการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไร โดยสิ่งแรกที่เราจะต้องทำคือ บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจของเราให้ได้ เช่น โครงการต้นกล้าอาชีพ เข้ามาเพื่อรองรับคนที่กำลังจะตกงาน คนที่จบการศึกษามาใหม่ โดยเร่งฝึกอบรม สร้างทักษะ สร้างโอกาสให้คนกลับเข้ามาประกอบอาชีพได้ หรือมีงานทำ หรือไม่ถูกเลิกจ้าง สุดท้ายทำได้เกินเป้า
โวไทยพ้นประชานิยมสู่ระบบสวัสดิการ
"ประเทศไทยกำลังก้าวพ้นประชานิยมสู่ระบบสวัสดิการที่แท้จริง ที่เป็นเรื่องของสิทธิ ไม่ใช่การสงเคราะห์จากรัฐบาลอีกต่อไป โดยนโยบายที่มีผลกระทบกับคนมากที่สุด และอยู่บนหลักคิดเรื่องการสร้างสวัสดิการ การสร้างหลักประกันก็คือ โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร เป็นการพลิกโฉม เรื่องของการเกษตรและการแทรกแซงจากภาครัฐโดยสิ้นเชิง หลายท่านทราบดีว่า ในอดีตเราไล่ตามแก้ปัญหาของพี่น้องเกษตรกร ก็คือรอผลผลิตออกมา รอราคาตกต่ำ แล้วเราก็วิ่งเข้าไปแทรกแซง รับซื้อบ้าง จำนำบ้าง ฝืนกลไกตลาด เกิดปัญหาการทุจริต ภาระการบริหาร เป็นเรื่องของการเก็บ การระบายสินค้า เราเปลี่ยนแนวทาง โดยการสร้างหลักประกันให้เกษตรกรว่า ทำการเกษตรแล้วไม่ขาดทุน"
รับไม่สามารถทำการเมืองให้นิ่งได้
นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ายังไม่สามารถทำให้การเมืองและเรื่องความมั่นคงนิ่งได้ แต่รัฐบาลเดินหน้าทำให้ระบบการเมืองทำงานได้ ตัวเลขที่ยืนยันได้อย่างดี ท่ามกลางปัญหาทั้งในและนอกสภาฯ คืองานทางด้านนิติบัญญัติ ที่รัฐบาลเข้าไปผลักดันนี้ทำได้มากกว่าในอดีต ตนเป็นคนที่ให้เวลากับสภาฯ รับผิดชอบต่อสภาฯ ไปตอบกระทู้ถามสดด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดสดเพื่อให้เป็นวาระของฝ่ายค้าน ในการที่จะนำเสนอต่อประชาชนได้ว่า มาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนตรวจสอบ รัฐบาล รัฐบาลมีคำตอบคำชี้แจงอย่างไร เท่าที่ผมทราบก็ยังไม่มีใครที่ไปตอบกระทู้ถามสดมากเท่านี้ แล้วก็ไม่มีรัฐบาลไหนที่ผ่านกรอบ ข้อตกลงต่างๆ ผ่านที่ประชุมร่วมของรัฐสภามากเท่านี้ และจำนวนกฎหมายที่ผ่านไปตลอดทั้งปีที่ผ่านมาก็มากกว่าปีก่อน
สำหรับปัญหาเรื่องความสมานฉันท์ เราได้พยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้การเมืองของเรากลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถทำได้ โดยลำพัง ตนพยายามไม่สร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง จะดูแลเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรม จะรับฟังความคิดเห็นจะเชิญชวนยอมรับการตรวจสอบการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่ม
ย้ำทำ3 เงื่อนไขสำเร็จยุบสภาได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าบอกแล้วว่าที่เรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ตนไม่ขัด แต่ขอให้เศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น ซึ่งผมมั่นใจว่าปี 2553 นี้แข็งแรงเพียงพอ ขอให้ทุกพรรคการเมืองมายอมรับกติกาการเลือกตั้งเสียก่อน เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปเลือกตั้งแล้วถ้าหากว่าเกิดมีการทุจริตการเลือกตั้ง ยุบพรรคกันอีก แล้วก็จะมีการมาประท้วง ก็จะเป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น และที่สำคัญถ้ารักประชาธิปไตย อยากให้การเลือกตั้งเกิดขึ้น พฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับวิถีทางประชาธิปไตย ต้องหยุด เช่น การใช้ความรุนแรง การขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ การเดินทาง หรือการหาเสียงที่จะมีขึ้นในอนาคต ตนก็ยังยืนยันว่าพร้อมที่จะยุบสภาฯ กลับไปสู่การเลือกตั้ง แต่เงื่อนไขเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นก่อน มิฉะนั้นการเลือกตั้งก็จะไม่สามารถนำไปสู่คำตอบในเรื่องของความสมานฉันท์ได้
ไม่พอใจแก้ใต้แม้ตัวเลขก่อเหตุลด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนปัญหาความมั่นคง ที่เป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่ง ก็คือปัญหาภาคใต้ ถ้าดูตัวเลขสถิติของ 1 ปีที่ผ่านมานั้นเหตุการณ์ความรุนแรงลดลง เพียงเล็กน้อย ตนได้พูดไปแล้วว่าไม่ได้พอใจ แต่ถือว่ามันเป็นความต่อเนื่องของการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ดูแลให้สถานการณ์นั้นมีความรุนแรงน้อยลง แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เดินหน้าชัดเจนในการปรับเปลี่ยนนโยบายในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ มีการตั้งองค์กรก็คือตัวคณะรัฐมนตรีที่มาดูแลภาคใต้เป็นการเฉพาะ เดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ จัดงบประมาณลงไป มีเป้าหมายที่ชัดเจน ทั้งในลักษณะโครงการที่ลงไปจากบนลงล่าง และจากโครงการระดับหมู่บ้านที่ทำงานคู่กับทางเจ้าหน้าที่ขึ้นมา แล้วก็เริ่มมีการ ดำเนินการที่จะปรับแนวของการใช้กฎหมายต่างๆ เช่น 4 อำเภอจังหวัดสงขลา ยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว กำลังเอากฎหมายความมั่นคงมาใช้
การทุจริตรัฐบาลมีมาตรฐานความรับผิดชอบ
สำหรับกรณีของกัมพูชา 1 ปีที่ผ่านมานี้ อาจจะกล่าวได้ว่าตลอดเวลาเกือบทั้งปี ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยปกติครับ จนกระทั่งเกิดการสร้างเงื่อนไข ขึ้นมาใหม่ ในเรื่องของการตั้งที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา การไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองและระบบยุติธรรม หรือระบบศาลของไทย ปัญหาจึงเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่ารัฐบาลนี้เข้ามาแล้วความสัมพันธ์เสื่อมทรามลง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นรัฐบาลจำเป็นต้องรักษาจุดยืน รักษาศักดิ์ศรีของประเทศ โดยใช้มาตรการทางการทูตตอบโต้ และจะยึดแนวทางนี้ต่อไป จะไม่ให้ลุกลามไปสู่ความรุนแรงหรือความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนโดยทั่วไป
เดินหน้าสางคดีหมิ่นสถาบันต้นปีหน้า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเรื่องการปกป้องเถิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์ขอเรียนว่า ตลอด 1 ปีรัฐบาลได้พยายามจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความสมานฉันท์และได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาลยังเดินหน้ายืนยันในการที่จะปกป้องเทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่ จะป้องกันไม่ให้มีการนำไปใช้หรือบังคับใช้ในลักษณะทีเป็นเรื่องประโยชน์ทางการเมือง หรือในการทำลายล้างกัน ฉะนั้นล่าสุดหลังจากที่มีการปรึกษาหารือกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องปัจจุบันจะมีคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อกลั่นกรองคดีนี้และคงจะเริ่มต้นทำงานได้ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ปีหน้าดันภาษีทรัพย์สินและที่ดิน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าช่วงท้ายจะขอพูดถึงอนาคตเล็กน้อยว่าเมื่อเศรษฐกิจ เริ่มฟื้นตัว ขณะนี้กำลังเร่งการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากกรณีของ นิคมอุตสาหกรรมมาดตาพุดให้เร็วที่สุด พร้อมๆ กันระบบสวัสดิการที่เริ่มต้นในปีนี้ ปีหน้าการผลัดดันกฎหมาย เช่น กองทุนเงินออม การจะมีเรื่องธนาคารที่ดิน การจะปรับปรุงระบบภาษีครั้งใหญ่รวมทั้งการทำเรื่องภาษีทรัพย์สินและที่ดินจะต้องผลัดดันออกมาให้ได้ ส่วนการลงทุนในโครงการความพร้อมของประเทศโดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคมนาคม เช่น เรื่องรถไฟจะถือเป็นวาระสำคัญ เช่นเดียวกับเรื่องระบบ 3 จี เพื่อที่จะปรับปรุงเรื่องความพร้อมของประเทศ เรื่องขัดความสามารถการแข่งขันและจะสามารถลดต้นทุนโลจิสติกต่อไปในอนาคตด้วย
"กรณ์" เผยลุยประมูล3G-รถไฟฟ้า
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวกล่าวว่าในปี 2553 รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่ขณะนี้มีผู้เข้ามาลงทะเบียนแล้วกว่า 6 แสนคน รวมทั้ง การประมูลใบอนุญาตระบบ 3G และโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางต่างประเทศ ซึ่งในส่วนของ 3G จะมีการหารือนอกรอบกับ รมว.ไอซีทีในช่วงต้นปี 2553 และน่าจะมีความชัดเจนใน 2-3 เดือนจากนี้
“เศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3 % หากการบริโภคของประชาชน สอดคล้องกับบทบาทของรัฐบาลที่จะมีการดำเนิน นโยบายเศรษฐกิจต่อเนื่องจากปี 2552 โดยเป้าหมายที่จะมีการเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับประชาชนด้วยการลดค่าใช้จ่าย เดินหน้าโครงการประกันรายได้เกษตรกร และผลักดันมาตรการภาษีที่ดิน ขณะที่ยอมรับว่าปัจจัยการเมืองยังเป็นที่น่ากังวล”
แม้วเพ้อ ปี 53 พรรคเพื่อไทยรุ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.50 น. วานนี้ (23 ธ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วิดิโอคอนเฟอเร้นช์ทักทายระหว่างงานเลี้ยงปีใหม่ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค โดยได้กล่าวทักทายส.ส.และตท.10 ว่า ไม่มีคำอวยพรอะไรได้ดีเท่ากับว่าขอให้ปีหน้า เป็นปีของพรรคเพื่อไทย ปี 2553เป็นปีที่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางการเมือง ในหลายๆ ด้าน สำคัญที่สุดคือพวกท่านทั้งหลายต้องเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ การเป็นนักการเมืองที่แย่ที่สุดอย่างไรเห็นมาทั้งหมดในปี 52 แล้ว พรรครัฐบาลทำให้ดูแล้ว รับรองเลยว่าใครมาเป็นรัฐบาลใหม่ คิดให้แย่ยังไงก็ไม่เท่ารัฐบาลนี้ เพราะว่ามีกรรมการเข้าข้าง มีหัวหน้าทีมเหนือคนอื่นคือมีอภิสิทธิ์ ทำอะไรก็ไม่ผิด มีสื่อมวลชนส่วนใหญ่คอยสนับสนุนอย่างที่หลงงบโฆษณา ทั้งที่เป็นเงินภาษีของประชาชน ทำให้หลงไปใหญ่
“ในปี 2552 ให้เป็นปีประวัติศาสตร์ให้เราจำไว้ว่าต่อไปการเมืองจะไม่เป็นแบบนี้แล้ว ปี2553 แต่ไม่รู้เดือนไหนแต่จะเป็นปีของพรรคเพื่อไทย อย่างที่เคยพูดว่า today is not my day แต่ปี53 จะเป็น this year is my year ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจและเตรียมตัวเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพเพื่อบ้านเพื่อเมือง เพื่อประชาชน วันนี้ประชาชนลำบากมาก แต่ยังอดทนต่อสู้”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี แถลงผลงาน 1 ปีรัฐบาล วานนี้ (23 ธ.ค.) ที่ทำเนียบรัฐบาล ว่า ในช่วงที่รัฐบาลเข้ามาปลายปีที่แล้วเกิดวิกฤตซ้ำซ้อน เศรษฐกิจโลกเริ่มส่งผลต่อเศรษฐกิจไทยชัดเจน ขณะเดียวกันเกือบจะตลอดทั้งปี 2551 สภาพความขัดแย้งในทางการเมือง ในทางสังคม ทำให้การบริหารราชการ แผ่นดินตลอดปี 2551 จะสร้างผลงานให้ปรากฏออกมาให้กับประชาชนบนความยากลำบากมาก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเมื่อเข้ามาบริหารประเทศรัฐบาลได้กำหนดยุทธศาสตร์ชัดเจนว่า จะใช้วิธีการแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไร โดยสิ่งแรกที่เราจะต้องทำคือ บรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน และรักษากำลังซื้อในระบบเศรษฐกิจของเราให้ได้ เช่น โครงการต้นกล้าอาชีพ เข้ามาเพื่อรองรับคนที่กำลังจะตกงาน คนที่จบการศึกษามาใหม่ โดยเร่งฝึกอบรม สร้างทักษะ สร้างโอกาสให้คนกลับเข้ามาประกอบอาชีพได้ หรือมีงานทำ หรือไม่ถูกเลิกจ้าง สุดท้ายทำได้เกินเป้า
โวไทยพ้นประชานิยมสู่ระบบสวัสดิการ
"ประเทศไทยกำลังก้าวพ้นประชานิยมสู่ระบบสวัสดิการที่แท้จริง ที่เป็นเรื่องของสิทธิ ไม่ใช่การสงเคราะห์จากรัฐบาลอีกต่อไป โดยนโยบายที่มีผลกระทบกับคนมากที่สุด และอยู่บนหลักคิดเรื่องการสร้างสวัสดิการ การสร้างหลักประกันก็คือ โครงการประกันรายได้ให้เกษตรกร เป็นการพลิกโฉม เรื่องของการเกษตรและการแทรกแซงจากภาครัฐโดยสิ้นเชิง หลายท่านทราบดีว่า ในอดีตเราไล่ตามแก้ปัญหาของพี่น้องเกษตรกร ก็คือรอผลผลิตออกมา รอราคาตกต่ำ แล้วเราก็วิ่งเข้าไปแทรกแซง รับซื้อบ้าง จำนำบ้าง ฝืนกลไกตลาด เกิดปัญหาการทุจริต ภาระการบริหาร เป็นเรื่องของการเก็บ การระบายสินค้า เราเปลี่ยนแนวทาง โดยการสร้างหลักประกันให้เกษตรกรว่า ทำการเกษตรแล้วไม่ขาดทุน"
รับไม่สามารถทำการเมืองให้นิ่งได้
นายกรัฐมนตรี ยอมรับว่ายังไม่สามารถทำให้การเมืองและเรื่องความมั่นคงนิ่งได้ แต่รัฐบาลเดินหน้าทำให้ระบบการเมืองทำงานได้ ตัวเลขที่ยืนยันได้อย่างดี ท่ามกลางปัญหาทั้งในและนอกสภาฯ คืองานทางด้านนิติบัญญัติ ที่รัฐบาลเข้าไปผลักดันนี้ทำได้มากกว่าในอดีต ตนเป็นคนที่ให้เวลากับสภาฯ รับผิดชอบต่อสภาฯ ไปตอบกระทู้ถามสดด้วยตัวเอง เปิดโอกาสให้มีการถ่ายทอดสดเพื่อให้เป็นวาระของฝ่ายค้าน ในการที่จะนำเสนอต่อประชาชนได้ว่า มาทำหน้าที่เป็นตัวแทนของประชาชนตรวจสอบ รัฐบาล รัฐบาลมีคำตอบคำชี้แจงอย่างไร เท่าที่ผมทราบก็ยังไม่มีใครที่ไปตอบกระทู้ถามสดมากเท่านี้ แล้วก็ไม่มีรัฐบาลไหนที่ผ่านกรอบ ข้อตกลงต่างๆ ผ่านที่ประชุมร่วมของรัฐสภามากเท่านี้ และจำนวนกฎหมายที่ผ่านไปตลอดทั้งปีที่ผ่านมาก็มากกว่าปีก่อน
สำหรับปัญหาเรื่องความสมานฉันท์ เราได้พยายามอย่างยิ่งยวดในการที่จะทำให้การเมืองของเรากลับเข้าสู่สภาวะปกติ แต่ก็ไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งสามารถทำได้ โดยลำพัง ตนพยายามไม่สร้างเงื่อนไขความขัดแย้ง จะดูแลเรื่องของการบังคับใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรม จะรับฟังความคิดเห็นจะเชิญชวนยอมรับการตรวจสอบการมีส่วนร่วมของประชาชนทุกกลุ่ม
ย้ำทำ3 เงื่อนไขสำเร็จยุบสภาได้
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าบอกแล้วว่าที่เรียกร้องให้ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ตนไม่ขัด แต่ขอให้เศรษฐกิจแข็งแรงขึ้น ซึ่งผมมั่นใจว่าปี 2553 นี้แข็งแรงเพียงพอ ขอให้ทุกพรรคการเมืองมายอมรับกติกาการเลือกตั้งเสียก่อน เพราะไม่มีประโยชน์ที่จะไปเลือกตั้งแล้วถ้าหากว่าเกิดมีการทุจริตการเลือกตั้ง ยุบพรรคกันอีก แล้วก็จะมีการมาประท้วง ก็จะเป็นปัญหาไม่จบไม่สิ้น และที่สำคัญถ้ารักประชาธิปไตย อยากให้การเลือกตั้งเกิดขึ้น พฤติกรรมที่ไม่สอดคล้องกับวิถีทางประชาธิปไตย ต้องหยุด เช่น การใช้ความรุนแรง การขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ การเดินทาง หรือการหาเสียงที่จะมีขึ้นในอนาคต ตนก็ยังยืนยันว่าพร้อมที่จะยุบสภาฯ กลับไปสู่การเลือกตั้ง แต่เงื่อนไขเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นก่อน มิฉะนั้นการเลือกตั้งก็จะไม่สามารถนำไปสู่คำตอบในเรื่องของความสมานฉันท์ได้
ไม่พอใจแก้ใต้แม้ตัวเลขก่อเหตุลด
นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ส่วนปัญหาความมั่นคง ที่เป็นปัญหาใหญ่ปัญหาหนึ่ง ก็คือปัญหาภาคใต้ ถ้าดูตัวเลขสถิติของ 1 ปีที่ผ่านมานั้นเหตุการณ์ความรุนแรงลดลง เพียงเล็กน้อย ตนได้พูดไปแล้วว่าไม่ได้พอใจ แต่ถือว่ามันเป็นความต่อเนื่องของการ ปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงที่ดูแลให้สถานการณ์นั้นมีความรุนแรงน้อยลง แต่ขณะเดียวกันรัฐบาลได้เดินหน้าชัดเจนในการปรับเปลี่ยนนโยบายในการแก้ไขปัญหาภาคใต้ มีการตั้งองค์กรก็คือตัวคณะรัฐมนตรีที่มาดูแลภาคใต้เป็นการเฉพาะ เดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษ จัดงบประมาณลงไป มีเป้าหมายที่ชัดเจน ทั้งในลักษณะโครงการที่ลงไปจากบนลงล่าง และจากโครงการระดับหมู่บ้านที่ทำงานคู่กับทางเจ้าหน้าที่ขึ้นมา แล้วก็เริ่มมีการ ดำเนินการที่จะปรับแนวของการใช้กฎหมายต่างๆ เช่น 4 อำเภอจังหวัดสงขลา ยกเลิกกฎอัยการศึกแล้ว กำลังเอากฎหมายความมั่นคงมาใช้
การทุจริตรัฐบาลมีมาตรฐานความรับผิดชอบ
สำหรับกรณีของกัมพูชา 1 ปีที่ผ่านมานี้ อาจจะกล่าวได้ว่าตลอดเวลาเกือบทั้งปี ความสัมพันธ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยปกติครับ จนกระทั่งเกิดการสร้างเงื่อนไข ขึ้นมาใหม่ ในเรื่องของการตั้งที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา การไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน และเรื่องของการวิพากษ์วิจารณ์ระบบการเมืองและระบบยุติธรรม หรือระบบศาลของไทย ปัญหาจึงเกิดขึ้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะว่ารัฐบาลนี้เข้ามาแล้วความสัมพันธ์เสื่อมทรามลง แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นรัฐบาลจำเป็นต้องรักษาจุดยืน รักษาศักดิ์ศรีของประเทศ โดยใช้มาตรการทางการทูตตอบโต้ และจะยึดแนวทางนี้ต่อไป จะไม่ให้ลุกลามไปสู่ความรุนแรงหรือความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนโดยทั่วไป
เดินหน้าสางคดีหมิ่นสถาบันต้นปีหน้า
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าเรื่องการปกป้องเถิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์ขอเรียนว่า ตลอด 1 ปีรัฐบาลได้พยายามจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อให้พี่น้องประชาชนมีความสมานฉันท์และได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ รัฐบาลยังเดินหน้ายืนยันในการที่จะปกป้องเทิดทูลสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างเต็มที่ จะป้องกันไม่ให้มีการนำไปใช้หรือบังคับใช้ในลักษณะทีเป็นเรื่องประโยชน์ทางการเมือง หรือในการทำลายล้างกัน ฉะนั้นล่าสุดหลังจากที่มีการปรึกษาหารือกับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องปัจจุบันจะมีคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อกลั่นกรองคดีนี้และคงจะเริ่มต้นทำงานได้ตั้งแต่ต้นปีหน้าเป็นต้นไป
ปีหน้าดันภาษีทรัพย์สินและที่ดิน
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่าช่วงท้ายจะขอพูดถึงอนาคตเล็กน้อยว่าเมื่อเศรษฐกิจ เริ่มฟื้นตัว ขณะนี้กำลังเร่งการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจากกรณีของ นิคมอุตสาหกรรมมาดตาพุดให้เร็วที่สุด พร้อมๆ กันระบบสวัสดิการที่เริ่มต้นในปีนี้ ปีหน้าการผลัดดันกฎหมาย เช่น กองทุนเงินออม การจะมีเรื่องธนาคารที่ดิน การจะปรับปรุงระบบภาษีครั้งใหญ่รวมทั้งการทำเรื่องภาษีทรัพย์สินและที่ดินจะต้องผลัดดันออกมาให้ได้ ส่วนการลงทุนในโครงการความพร้อมของประเทศโดยเฉพาะโครงการขนาดใหญ่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคมนาคม เช่น เรื่องรถไฟจะถือเป็นวาระสำคัญ เช่นเดียวกับเรื่องระบบ 3 จี เพื่อที่จะปรับปรุงเรื่องความพร้อมของประเทศ เรื่องขัดความสามารถการแข่งขันและจะสามารถลดต้นทุนโลจิสติกต่อไปในอนาคตด้วย
"กรณ์" เผยลุยประมูล3G-รถไฟฟ้า
นายกรณ์ จาติกวณิช รมว.คลัง กล่าวกล่าวว่าในปี 2553 รัฐบาลจะเดินหน้าโครงการต่างๆ ที่มีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ได้แก่ การแก้ไขปัญหาหนี้นอกระบบที่ขณะนี้มีผู้เข้ามาลงทะเบียนแล้วกว่า 6 แสนคน รวมทั้ง การประมูลใบอนุญาตระบบ 3G และโครงการรถไฟฟ้าเส้นทางต่างประเทศ ซึ่งในส่วนของ 3G จะมีการหารือนอกรอบกับ รมว.ไอซีทีในช่วงต้นปี 2553 และน่าจะมีความชัดเจนใน 2-3 เดือนจากนี้
“เศรษฐกิจไทยในปี 2553 จะขยายตัวได้ไม่ต่ำกว่า 3 % หากการบริโภคของประชาชน สอดคล้องกับบทบาทของรัฐบาลที่จะมีการดำเนิน นโยบายเศรษฐกิจต่อเนื่องจากปี 2552 โดยเป้าหมายที่จะมีการเพิ่มเงินในกระเป๋าให้กับประชาชนด้วยการลดค่าใช้จ่าย เดินหน้าโครงการประกันรายได้เกษตรกร และผลักดันมาตรการภาษีที่ดิน ขณะที่ยอมรับว่าปัจจัยการเมืองยังเป็นที่น่ากังวล”
แม้วเพ้อ ปี 53 พรรคเพื่อไทยรุ่ง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 19.50 น. วานนี้ (23 ธ.ค.) พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร วิดิโอคอนเฟอเร้นช์ทักทายระหว่างงานเลี้ยงปีใหม่ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่โรงแรมเอสซีปาร์ค โดยได้กล่าวทักทายส.ส.และตท.10 ว่า ไม่มีคำอวยพรอะไรได้ดีเท่ากับว่าขอให้ปีหน้า เป็นปีของพรรคเพื่อไทย ปี 2553เป็นปีที่จะมีการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญทางการเมือง ในหลายๆ ด้าน สำคัญที่สุดคือพวกท่านทั้งหลายต้องเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพ การเป็นนักการเมืองที่แย่ที่สุดอย่างไรเห็นมาทั้งหมดในปี 52 แล้ว พรรครัฐบาลทำให้ดูแล้ว รับรองเลยว่าใครมาเป็นรัฐบาลใหม่ คิดให้แย่ยังไงก็ไม่เท่ารัฐบาลนี้ เพราะว่ามีกรรมการเข้าข้าง มีหัวหน้าทีมเหนือคนอื่นคือมีอภิสิทธิ์ ทำอะไรก็ไม่ผิด มีสื่อมวลชนส่วนใหญ่คอยสนับสนุนอย่างที่หลงงบโฆษณา ทั้งที่เป็นเงินภาษีของประชาชน ทำให้หลงไปใหญ่
“ในปี 2552 ให้เป็นปีประวัติศาสตร์ให้เราจำไว้ว่าต่อไปการเมืองจะไม่เป็นแบบนี้แล้ว ปี2553 แต่ไม่รู้เดือนไหนแต่จะเป็นปีของพรรคเพื่อไทย อย่างที่เคยพูดว่า today is not my day แต่ปี53 จะเป็น this year is my year ขอให้ทุกท่านมีกำลังใจและเตรียมตัวเป็นนักการเมืองที่มีคุณภาพเพื่อบ้านเพื่อเมือง เพื่อประชาชน วันนี้ประชาชนลำบากมาก แต่ยังอดทนต่อสู้”