ASTVผู้จัดการรายวัน -นายกฯ ยอมรับสั่ง คมนาคม ทำหนังสือท้วง บ.ดอนเมืองโทลเวย์ หลังปรับค่าผ่านทางส่อละเมิดสัญญา เผยปี 50 ข้อตกลงระบุจะยุติฟ้องร้อง-ข้อเรียกร้อง ลั่นบริษัทไม่มีสิทธิ์เรียกร้องเพิ่มเติม ขู่จะงัดกฎหมายเล่นงาน ถ้าพบละเมิดสัญญา ยอมรับสัญญาเขียนค่อนข้างผูกมัด ไม่เป็นอำนาจรัฐบาล การดำเนินการต้องระมัดระวัง ยันจะใช้ทุกช่องทางเพื่อประโยชน์ของรัฐและประชาชน ด้าน “ชาญชัย” งัดสัญญาโทลเวย์จับโกหก “โสภณ” ยันรู้เรื่องข้อตกลงต่อสัมปทาน ขู่ผิดอาญาละเว้นหน้าที่ -ฉ้อโกง
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ ดอนเมืองโทลเวย์ ปรับขึ้นราคาผ่านทาง ที่นายกฯ สั่งการให้กระทรวงคมนาคม เพื่อดูเรื่องสัญญา ที่ดอนเมืองโทลเวย์ อาจทำผิดสัญญาว่า มันมีประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นที่มาของการขึ้นค่าผ่านทาง มีการไปตกลงในข้อสัญญาทำนองว่าการขึ้นค่าผ่านทางในปีนี้เป็นเรื่องซึ่งทางบริษัทสามารถทำได้และเปลี่ยนเป็นแจ้งให้หน่วยงานทราบ ขณะเดียวกันมีข้อตกลงว่าจะยุติเรื่องการฟ้องร้องหรือการมีข้อเรียกร้องต่างๆ แต่ข้อเท็จจริงขณะนี้คือว่ายังไม่มีข้อยุติ ฉะนั้นเป็นประเด็นขึ้นมาว่าฝ่ายบริษัทละเมิดสัญญาหรือไม่ ถ้าละเมิดสัญญาก็มีการดำเนินการต่อไปทางกฎหมาย ซึ่งอยู่ที่ทางฝ่ายกฎหมายจะพิจารณาแนวทางที่ดีที่สุดที่จะให้ฝ่ายรัฐและประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด
ต่อข้อถามหมายความว่าจะสามารถยุติการปรับขึ้นค่าผ่านทางได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในชั้นนี้เป็นการปฏิบัติตามสัญญา แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดสัญญาเราก็จะดำเนินการต่อไป เมื่อถามว่าถ้าเอกชนจะแลกกับการขอขยายสัปทานได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เขาไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเพิ่มเติมแล้ว มีแต่ขณะนี้เรากำลังตรวจสอบว่าเขาละเมิดสัญญาหรือไม่ เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตุทางบริษัทอาจทำผิด พรบ.ร่วมทุนด้วยมีการพิจารณาตรงนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อันนี้เข้าใจว่าทางสภาใจว่าทางสภาฯเขามีการพิจารณาอยู่และมันจะย้อนกลับไปในช่วงประมาณปี 2550 และเมื่อวานนี้(22 ธ.ค.) ตนได้คุยกับทาง ส.ส. ก็บอกว่ากำลังตรวจสอบอยู่
เมื่อถามว่าตอนนี้มีแนวทางที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนนอกจากการใช้สังคมกดดันแล้วมีทางอื่นที่เราสามารถทำได้อีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องระมัดระวัง ถ้าเราเป็นฝ่ายที่ผิดสัญญาเราก็จะมีปัญหาตามมา แต่ว่าเรากำลังดูช่องทางทุกช่องทางที่จะรักษาประโยชน์ของประชาชน บังเอิญสัญญาก็ไปเขียนค่อนข้างผูกมัดและไม่ได้เป็นอำนาจของรัฐบาล
ส่วน สัญญาที่ทำไม่เป็นธรรมหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สัญญาตอนนั้นเข้าใจรัฐถูกกดดันจากปัญหาข้อเรียกร้องต่างๆ ซึ่งเขาบอกว่าเขาจะยุติ แต่ขณะนี้ที่เราทราบมันยังมีคดีมีการเรียกร้องอยู่ ฉะนั้นจะตรวจสอบให้ชุดเจน แต่เบื้องต้นคณะรัฐมนตรีเห็นว่าทางกระทรวงคมนาคมสามารถทำหนังสือทักท้วงได้ว่าการที่เขาขึ้นค่าผ่านทางโดยที่ยังมีปัญหากัน ไม่ยุติข้อเรียกร้องต่างๆน่าจะเป็นเรื่องที่ขัดกับสัญญา เมื่อถามว่ากระทรวงคมนาคมจะทำหนังสือทักท้วงไปหรือไม่ นาอยภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทำ เพราะเป็นมติของคณะรัฐมนตรี
มท.1 แนะทบทวนค่าผ่านทางใหม่
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวว่า การขึ้นราคาโทลล์เวร์แพงเกินไป แต่ขึ้นอยู่กับอุปสงค์ และอุปทาน ถ้าราคาแพง ประชาชนจะเลิกใช้ รายได้ของบริษัทดังกล่าวก็ลดลงไปเอง และขณะนี้ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้ไปดำเนินการเจรจาอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการพิจารณากันใหม่ เพราะราคาสูงเกินไป
จับเท็จ"ซาเล้ง"อ้างไม่รู้เรื่อง
ด้านนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สัญญาดังกล่าวเริ่มตั้งแต่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นรมว.คมนาคม โดยมีการต่อสัมปทานให้แก่บริษัทดังกล่าว แต่มีข้อแม้ว่าห้ามฟ้องร้องคดีในอนาคต และให้ถอนฟ้องคดีที่ค้างอยู่ภายใน 30 วัน และพอถึงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มี พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ เป็นรมว.คมนาคม ก็ได้ต่อสัมปทานตามข้อตกลงดังกล่าว
จนกระทั่งมาถึง ในช่วงเดือน ก.พ. 52 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้นำผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ ที่ตัดสินให้รัฐบาลชดใช้เงินให้บริษัทวอเตอร์ บา ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทดอนเมือโทลเวย์ วงเงิน 1,500 ล้านบาท เข้าครม.เป็นวาระการประชุมลับ ซึ่งถือเป็นการผิดสัญญาจากข้อตกลงเดิมที่กำหนดไว้ในข้อ 6 เพราะไม่มีการถอนฟ้องคดีที่ค้างอยู่ เท่ากับว่าผลผูกพันของสัญญาเป็นอันสิ้นสุด
นายชาญชัย กล่าวอีกว่า ดังนั้นการที่นายโสภณ บอกว่าเพิ่งรับรู้เรื่องดังกล่าวหลังจากที่นายกฯมอบหมายให้ไปศึกษา ถือเป็นการพูดเท็จ และอาจเข้าข่ายความผิดละเว้นปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 และกฎหมายอาญามาตรา 341 ฐานฉ้อโกง ซึ่งคณะกรรมาธิการฯจะเร่งสรุปโดยเร็ว เพื่อส่งให้นายกฯ และครม. รวมถึงให้ประชาชนเก็บใบเสร็จค่าทางด่วน เพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการยื่นฟ้องบริษัทฯ ทั้งทางอาญาและแพ่ง โดยขณะนี้มีกลุ่มนักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์ประโยชน์ของประชาชน ได้ทยอยมาขอข้อมูลจากตนประมาณ 4-5 กลุ่ม เพื่อนำไปศึกษาฟ้องร้องต่อไป
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณี บริษัททางยกระดับดอนเมือง จำกัด (มหาชน) หรือ ดอนเมืองโทลเวย์ ปรับขึ้นราคาผ่านทาง ที่นายกฯ สั่งการให้กระทรวงคมนาคม เพื่อดูเรื่องสัญญา ที่ดอนเมืองโทลเวย์ อาจทำผิดสัญญาว่า มันมีประเด็นอยู่ที่ว่าเมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นที่มาของการขึ้นค่าผ่านทาง มีการไปตกลงในข้อสัญญาทำนองว่าการขึ้นค่าผ่านทางในปีนี้เป็นเรื่องซึ่งทางบริษัทสามารถทำได้และเปลี่ยนเป็นแจ้งให้หน่วยงานทราบ ขณะเดียวกันมีข้อตกลงว่าจะยุติเรื่องการฟ้องร้องหรือการมีข้อเรียกร้องต่างๆ แต่ข้อเท็จจริงขณะนี้คือว่ายังไม่มีข้อยุติ ฉะนั้นเป็นประเด็นขึ้นมาว่าฝ่ายบริษัทละเมิดสัญญาหรือไม่ ถ้าละเมิดสัญญาก็มีการดำเนินการต่อไปทางกฎหมาย ซึ่งอยู่ที่ทางฝ่ายกฎหมายจะพิจารณาแนวทางที่ดีที่สุดที่จะให้ฝ่ายรัฐและประชาชนได้ประโยชน์มากที่สุด
ต่อข้อถามหมายความว่าจะสามารถยุติการปรับขึ้นค่าผ่านทางได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ในชั้นนี้เป็นการปฏิบัติตามสัญญา แต่หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเมิดสัญญาเราก็จะดำเนินการต่อไป เมื่อถามว่าถ้าเอกชนจะแลกกับการขอขยายสัปทานได้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เขาไม่มีสิทธิ์เรียกร้องอะไรเพิ่มเติมแล้ว มีแต่ขณะนี้เรากำลังตรวจสอบว่าเขาละเมิดสัญญาหรือไม่ เมื่อถามว่ามีการตั้งข้อสังเกตุทางบริษัทอาจทำผิด พรบ.ร่วมทุนด้วยมีการพิจารณาตรงนี้หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อันนี้เข้าใจว่าทางสภาใจว่าทางสภาฯเขามีการพิจารณาอยู่และมันจะย้อนกลับไปในช่วงประมาณปี 2550 และเมื่อวานนี้(22 ธ.ค.) ตนได้คุยกับทาง ส.ส. ก็บอกว่ากำลังตรวจสอบอยู่
เมื่อถามว่าตอนนี้มีแนวทางที่จะบรรเทาความเดือดร้อนของประชาชนนอกจากการใช้สังคมกดดันแล้วมีทางอื่นที่เราสามารถทำได้อีกหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราต้องระมัดระวัง ถ้าเราเป็นฝ่ายที่ผิดสัญญาเราก็จะมีปัญหาตามมา แต่ว่าเรากำลังดูช่องทางทุกช่องทางที่จะรักษาประโยชน์ของประชาชน บังเอิญสัญญาก็ไปเขียนค่อนข้างผูกมัดและไม่ได้เป็นอำนาจของรัฐบาล
ส่วน สัญญาที่ทำไม่เป็นธรรมหรือเปล่า นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า สัญญาตอนนั้นเข้าใจรัฐถูกกดดันจากปัญหาข้อเรียกร้องต่างๆ ซึ่งเขาบอกว่าเขาจะยุติ แต่ขณะนี้ที่เราทราบมันยังมีคดีมีการเรียกร้องอยู่ ฉะนั้นจะตรวจสอบให้ชุดเจน แต่เบื้องต้นคณะรัฐมนตรีเห็นว่าทางกระทรวงคมนาคมสามารถทำหนังสือทักท้วงได้ว่าการที่เขาขึ้นค่าผ่านทางโดยที่ยังมีปัญหากัน ไม่ยุติข้อเรียกร้องต่างๆน่าจะเป็นเรื่องที่ขัดกับสัญญา เมื่อถามว่ากระทรวงคมนาคมจะทำหนังสือทักท้วงไปหรือไม่ นาอยภิสิทธิ์ กล่าวว่า ทำ เพราะเป็นมติของคณะรัฐมนตรี
มท.1 แนะทบทวนค่าผ่านทางใหม่
นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล รมว.มหาดไทย กล่าวว่า การขึ้นราคาโทลล์เวร์แพงเกินไป แต่ขึ้นอยู่กับอุปสงค์ และอุปทาน ถ้าราคาแพง ประชาชนจะเลิกใช้ รายได้ของบริษัทดังกล่าวก็ลดลงไปเอง และขณะนี้ นายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้ไปดำเนินการเจรจาอยู่แล้ว ซึ่งคาดว่าน่าจะมีการพิจารณากันใหม่ เพราะราคาสูงเกินไป
จับเท็จ"ซาเล้ง"อ้างไม่รู้เรื่อง
ด้านนายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ ส.ส.นครนายก พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการป้องกันและปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวว่า สัญญาดังกล่าวเริ่มตั้งแต่รัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีนายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล เป็นรมว.คมนาคม โดยมีการต่อสัมปทานให้แก่บริษัทดังกล่าว แต่มีข้อแม้ว่าห้ามฟ้องร้องคดีในอนาคต และให้ถอนฟ้องคดีที่ค้างอยู่ภายใน 30 วัน และพอถึงรัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่มี พล.ร.อ.ธีระ ห้าวเจริญ เป็นรมว.คมนาคม ก็ได้ต่อสัมปทานตามข้อตกลงดังกล่าว
จนกระทั่งมาถึง ในช่วงเดือน ก.พ. 52 รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งนายโสภณ ซารัมย์ รมว.คมนาคม ได้นำผลการตัดสินของอนุญาโตตุลาการ ที่ตัดสินให้รัฐบาลชดใช้เงินให้บริษัทวอเตอร์ บา ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทดอนเมือโทลเวย์ วงเงิน 1,500 ล้านบาท เข้าครม.เป็นวาระการประชุมลับ ซึ่งถือเป็นการผิดสัญญาจากข้อตกลงเดิมที่กำหนดไว้ในข้อ 6 เพราะไม่มีการถอนฟ้องคดีที่ค้างอยู่ เท่ากับว่าผลผูกพันของสัญญาเป็นอันสิ้นสุด
นายชาญชัย กล่าวอีกว่า ดังนั้นการที่นายโสภณ บอกว่าเพิ่งรับรู้เรื่องดังกล่าวหลังจากที่นายกฯมอบหมายให้ไปศึกษา ถือเป็นการพูดเท็จ และอาจเข้าข่ายความผิดละเว้นปฏิบัติหน้าที่ มาตรา 157 และกฎหมายอาญามาตรา 341 ฐานฉ้อโกง ซึ่งคณะกรรมาธิการฯจะเร่งสรุปโดยเร็ว เพื่อส่งให้นายกฯ และครม. รวมถึงให้ประชาชนเก็บใบเสร็จค่าทางด่วน เพื่อนำมาเป็นหลักฐานในการยื่นฟ้องบริษัทฯ ทั้งทางอาญาและแพ่ง โดยขณะนี้มีกลุ่มนักกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการพิทักษ์ประโยชน์ของประชาชน ได้ทยอยมาขอข้อมูลจากตนประมาณ 4-5 กลุ่ม เพื่อนำไปศึกษาฟ้องร้องต่อไป