ASTVผู้จัดการรายวัน - "สุรยุทธ์" โวย "วาสนา นาน่วม" สื่อคนสนิททำแสบ เล่นแผน "ลับ ลวง พราง" บิดเบือนข่าว ยันไม่เคยบอกจะเป็นคนกลางเจรจาสมานฉันท์ "นช.แม้ว" ด้าน "วาสนา" โบ้ย "ทหารลิ่วล้อแม้ว" ทำประเด็นเพี้ยน ผบ.ทอ.ขำแม้วปั้นน้ำเป็นตัว เรื่องส่ง เอฟ-16 ขึ้นบินประกบ จี้เอาผิด"ไอ้ตู่" เผยความลับที่เกี่ยวกับความมั่นคงของชาติ "เทือก"ปัดลงสัตยาบัน บอก"ไอ้ตู่"ไม่มีราคา
เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (22 ธ.ค.) ที่มูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แถลงข่าวถึงกรณีที่มีการเสนอข่าวว่า ตนรับอาสาจะเป็นคนกลางในการเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมืองว่า เหตุเกิดจากการที่ตนเดินทางไปบ้านน้ำจวง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. และได้ไปร่วมพิธีเปิดงานชาวไทยภูเขา เผ่าม้ง ซึ่งมีนักข่าวหลายคนที่รู้จักกับตนตั้งแต่รับราชการทหาร ได้เดินทางไปด้วยกัน และเคยเดินป่าด้วยกัน ก็กลับมาที่พัก ก็ได้มีการพูดคุยกัน หลายท่านก็ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กับชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง และก็เคยทำงานร่วมกับคุณพ่อของตน
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่าหลังจากเสร็จงานดังกล่าว ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับสื่อ ซึ่งสิ่งที่ตนได้พูดคุยกับนักข่าว และมีการบันทึกเสียงและภาพ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ แต่เป็นการพูดคุยกันมากกว่า
ทั้งนี้เรื่องที่ได้มีการพูดคุยกันคือ การเชิญชวนให้ประชาชนทำตามพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตนได้อธิบายหน้าที่ขององคมนตรีว่า ควรทำอะไร และไม่ควรทำอะไร โดยมีอยู่ตอนหนึ่งที่ คุณวาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหาร ได้ถามถึงการแก้ปัญหาบ้านเมือง ซึ่งตนตอบว่ามีโอกาสแก้ปัญหาได้ ทั้งเรื่องประเทศเพื่อนบ้าน และปัญหาบ้านเมือง เป็นการมองในด้านที่ดี และเจตนาที่ไม่ให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆ
" คุณวาสนายังได้ถามว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณ โทรมาหา จะคุยหรือไม่ ซึ่งด้วยเจตนาที่เปิดเผย ไม่มีอะไร ผมจึงพูดว่าผมพูดเพราะว่าที่ผ่านมาเคยพูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทางโทรศัพท์แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะทำหน้าที่เป็นผู้เจรจา หรือเป็นตัวกลางในการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องแค่การพูดคุย นั่นคือเจตนาของผม ว่าผมพร้อมจะพูดคุย และพร้อมรับฟังปัญหาต่างๆ ทุกประการ แต่ผมไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปปฏิบัติ หรือไปทำในสิ่งหนึ่งสิ่งใด" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า การที่สื่อได้นำสิ่งที่ตนได้พูดคุยไปออกอากาศ ในลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของประชาชน ขอเรียนว่าไม่ใช่สิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่สื่อควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะตนมองสื่อในแง่ที่ดี เป็นผู้ที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน
"โดยเฉพาะคุณวาสนา ซึ่งผมเคยเป็นประธานในงานแต่งงาน ดังนั้นผมจึงมีความไว้วางใจ แต่ในครั้งนี้ ทำให้ผมเห็นว่า ผมจะต้องระมัดระวัง เพราะคุณวาสนาไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว
**องคมนตรีไม่มีหน้าที่เจรจาแม้ว
เมื่อถามว่าในตำแหน่งองคมนตรี สามารถที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณเพื่อทำให้ประเทศสงบได้หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่มีหน้าที่ และไม่มีอำนาจ ผู้ที่ทำหน้าที่สมานฉันท์ คือผู้ที่มีหน้าที่ และมีอำนาจ คือรัฐบาล แต่ตนไม่มีหน้าที่ ซึ่งการที่ตนบอกว่าเคยพูดกับพ.ต.ท.ทักษิณนั้น เป็นการพูดคุยตั้งแต่ครั้งที่ตนเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
**"ป๋า"เปิดบ้านรับอวยพรปีใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 28 ธ.ค.52 เวลา 09.00 น. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เปิดบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นำ ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง พล.อ. อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ. ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เข้าร่วมอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2553
**ผบ.ทอ.ขำ"แม้ว" ปั้นนำเป็นตัว
พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ ว่า กองทัพอากาศส่งเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 ขึ้นประกบเครื่องบินส่วนตัวที่บินไปประเทศกัมพูชา ว่า พอได้ข่าวก็นึกขำ บางทีการให้ข่าว หรือคนไปเล่าให้ฟังเกินความเป็นจริง ข้อเท็จจริงไม่มีการสั่งเครื่องสกัดกั้น ข้อมูลที่ได้อาจเป็นการคิดเอาเอง หรือสร้างจินตนาการให้ดูรุนแรง อาจโยงให้เห็นว่า รัฐใช้อำนาจไม่ถูกต้องในการสั่งใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ทั้งนี้ กองทัพอากาศมีภารกิจการป้องกันราชอาณาจักร การปฏิบัติภารกิจมีหน่วยบินที่ตั้งขึ้นตามแผนการป้องกันประเทศ เรามีภารกิจที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งยุทธการย่อย อย่างต่อเนื่อง
"ภาพหรือข่าวที่ออกมาไปให้ข่าวกันจนกลายเป็นหนัง ว่ามีการประกบ เหมือนการบินเข้าไปใกล้ชิด บังคับใช้ปืนขู่ ความเป็นจริงเครื่องบินกองทัพอากาศที่บินตามภารกิจ เราไม่ได้เข้าไปใกล้ ต่างคนต่างบินตามในเส้นทางตนเอง" ผบ.ทอ.กล่าว
**"ไอ้ตู่"เผยความลับราชการต้องเอาผิด
เมื่อถามว่า น่าเป็นห่วงสังคมไทยที่คนพูดอะไรโดยไม่มีหลัก ไม่รับผิดชอบคำพูด พล.อ.อ. อิทธพร กล่าวว่า เป็นจิตสำนึกของแต่ละคน โดยเฉพาะที่เป็นข่าวว่า มีการนำเอกสารลับมาเปิดเผย ทั้งนี้ คนที่นำมาเปิดเผย ตนไม่แน่ใจว่า เขารู้หรือไม่ว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ตนไม่แน่ใจว่าผิดกฎหมายในข้อใด การนำสิ่งที่ไม่เป็นความจริง การนำเอกสารลับราชการมาเปิดเผย จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายเรื่อง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ระเบียบการรักษาความลับทางราชการ ที่หนักที่สุด คือ ประมวลกฎหมายอาญา ที่เกี่ยวข้องความมั่นคงของรัฐนอกราชอาณาจักร ตนไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ก็ชอบอ่านกฎหมาย เมื่อไปอ่านดูแล้วมีมาตราที่ 120, 123, 124,
"การที่ไปคบคิดเพื่อให้ประโยชน์ต่อรัฐต่างประเทศ หรือการกระทำอันใดที่เป็นอริเป็นปรปักษ์ต่อรัฐ หรือการนำข้อมูล หรือนำเอกสารที่ปกปิดเป็นความปลอดภัยของประเทศ มีบทลงโทษที่รุนแรง โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องความปลอดภัยของประเทศ แล้วเกิดไปเป็นประโยชน์ต่อรัฐต่างประเทศ อันนี้หนักที่สุด อย่างไรก็ตาม คิดว่าใครก็ตามที่ออกมาพูด หรือให้ข่าว ท่านต้องรับผิดชอบถ้าเกิดมีคนฟ้องร้อง ท่านจะบอกไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ทราบ ซึ่งเป็นกฎหมาย ใครก็แล้วแต่ที่ทำผิดกฎหมาย ต้องไปชี้แจงตอบตำถามต่อเจ้าพนักงาน" พล.อ.อ.อิทธพรกล่าว
**ยุแดงถ่อยลุยต่อหลังถูกปัดเจรจา
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกมาปฏิเสธเรื่องเป็นคนกลางในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาพูดชัดเจนว่าตัวเองไม่มีหน้าที่เจรจา ถ้าหากผู้ใหญ่ของบ้านเมืองรู้หน้าที่ของตัวเองตั้งแต่แรก บ้านเมืองของเราคงไม่สับสนวุ่นวายมาจนวันนี้ ซึ่ง ความจริงเราเคลือบแคลงมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า คำพูดของพล.อ.สุรยุทธ์ มีความจริงจังจริงใจแค่ไหน เพราะในอดีตจะมีบุคคลที่ถูกเรียกว่า นายหน้าค้าอำนาจ มาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ตลอด เดิมทีพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับพวกที่ยึดอำนาจ จ้องทำลายตัวท่านอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อพล.อ.สุรยุทธ์ มาปฏิเสธเรื่องการเจรจา ก็ไม่ได้ผิดหวังหรือตกใจอะไร
"เมื่อพล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาปฏิเสธก็ดี จะได้ยุติความสับสน พี่น้องประชาชนที่รักประชาธิปไตยเขาไม่ให้ความสำคัญกับการเจรจาอยู่แล้ว พวกที่ยึดอำนาจไปมักเสพติด ไม่เคยลงจากอำนาจเอง ต้องถูกถีบลงมาทั้งนั้น วันนี้ประชาชนเขาเดินมาไกลแล้ว จะต้องต่อสู้เอาประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมาอย่างสุดกำลัง และเดินหน้าขยายแนวร่วมไปเรื่อยๆ เชื่อว่าแนวร่วมประชาธิปไตยจะเพิ่มมากขึ้นแน่นอน ขณะที่แนวร่วมอำมาตย์ จะต้องน้อยลง เรื่องวันข้างหน้าสุดแต่ลิขิตฟ้าดิน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกย่ำยี ถูกกระทำต่างๆนานา ใครไม่โดนเช่นนี้ไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะโดนหนักขนาดไหนท่านก็ไม่เคยคิดทำร้ายบ้านเมือง ไม่เคยคิดที่จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย สิ่งที่ทำคือการเรียกร้องสิทธิของตัวเองเท่านั้น ดังนั้นขอให้ประชาชนคนไทยสบายใจได้ว่า อดีตนายกฯจะไม่ทำอะไรให้ชาติเสียหายแน่นอน" นายนพดล กล่าว
**เงื่อนไข"พ่อไอ้ตู่" ทำไม่ได้
จากกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เสนอให้มีการลงนามในสัตยาบันของ 4 ฝ่ายคือ กลุ่มเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงิน และรัฐบาล ตามเงื่อนไข 3 ข้อเพื่อความสมานฉันท์ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสนอมาว่าให้นำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้ ก่อนยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ หากฝ่ายใดชนะได้ปกครองประเทศ ฝ่ายที่แพ้ต้องยอมศิโรราบ ไม่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อแลกกับการเลิกชุมนุมป่วนเมืองของกลุ่มเสื้อแดง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จู่ๆจะให้นำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้เลยนั้น ไม่ได้
"การที่จะยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือฉบับปี 50 นั้นผมมองว่าไม่มีช่องทางให้ยกเลิกได้ แต่วิธีที่ทำได้คือวิธีที่คณะกรรมการสมานฉันท์เสนอรัฐบาล คือการแก้รัฐธรรมนูญปี50 จะแก้ในประเด็นใด หรืออยากให้เนื้อหาเหมือนปี 40 หรือปี 17 หรือจะให้เหมือนปีอะไรก็แล้วแต่ ก็เสนอมา และก่อนแก้ไขก็ไปถามความเห็นของประชาชนว่า เห็นด้วยหรือไม่ ผมคิดว่าถ้าทุกคนร่วมมือ ร่วมแรงกันจริงๆระยะเวลา 5-6 เดือน ก็สามารถแก้ไขได้ และเมื่อแก้รัฐธรรมนูญจนได้กฎเกณฑ์ กติกา ที่ทุกฝ่ายยอมรับแล้ว จะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่ที่ต้องทำก่อนการเลือกตั้งใหม่ คือ ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องยอมรับกฎกติกา เพื่อให้เกิดความสงบเหมือนเมื่อก่อน แต่ขณะนี้ดูแนวโน้มที่กลุ่มคนต่างๆ ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ไม่มีความมั่นใจว่า จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยได้" นายสุเทพ กล่าว
**เย้ย"ไอ้ตู่"ไม่มีราคาให้เชื่อถือ
ต่อข้อถามว่า ที่นายจตุพรถึงขั้นท้าให้ลงสัตยาบัน โดยเดิมพันว่า ฝ่ายที่ชนะจะได้เป็นรัฐบาลครองประเทศไป ส่วนฝ่ายที่แพ้ จะต้องยอมศิโรราบไม่ออกมาเคลื่อนไหว หรือสร้างความรุนแรง จะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน นายสุเทพ กล่าวว่า ตนเคยบอกไปแล้วว่าไม่เคยเชื่อถือนายจตุพร เพราะฉะนั้นนายจตุพรพูดอะไรก็เชื่อถือไม่ได้ แต่อยากบอกว่าถ้าทุกคนเคารพกฎเกณฑ์ กติกาบ้านเมือง ทุกอย่างก็เรียบร้อย ไม่ต้องมาท้าเดิมพันอะไร เมื่อก่อนก็เป็นอย่างนี้ เวลาเลือกตั้งเสร็จ คนที่ชนะก็จัดตั้งรัฐบาล ที่เหลือก็เป็นฝ่ายค้าน ทำหน้าที่กันไป เมื่อหมดสมัยก็เลือกตั้งใหม่ แต่ที่วันนี้ที่นายจตุพร และพรรคพวกออกมาดิ้นรนโวยวาย ก็เพราะการปฏิบัติตามกติกาแล้วไม่เป็นประโยชน์กับนายจตุพรและพวก ซึ่งคนที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ก็คือพวกเขาเอง
**จวก"แม้ว"ต่อรองเพื่อตัวเอง
นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวถึงเงื่อนไข 3 ข้อของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อแลกกับการหยุดเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะ เป็นการเอาผลประโยชน์ส่วนตัว มาต่อรองกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ ที่ไม่มีใครยอมรับได้
"ขณะนี้ดูเหมือนว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จำเป็นต้องเล่นไพ่ 4 หน้าในเวลาเดียวกัน คือ หน้าที่หนึ่ง ใช้พลพรรคเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยกดดันให้รัฐบาลยุบสภา เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ หน้าที่สองขอเจรจาต่อรอง โดยตั้งเงื่อนไขที่ทำลายหลักนิติธรรม และนิติรัฐทั้งหมด หน้าที่สาม เล่นเกมป่วนเมืองแบบกรณีเผาบ้านเผาเมืองเดือนเมษายน เพื่อนำไปสู่การพลิกขั้วทางการเมือง หน้าที่สี่ จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นโดยใช้กัมพูชาเป็นฐานบัญชาการ ซึ่งในโลกนี้ อาจจะมีเพียงฮุนเซน เท่านั้นที่จะรับรองรัฐบาลนั้นได้" นายประสาร กล่าว
**"ส.ว.ตวง"บอกต้องมาติดคุกก่อน
นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา ประธานอนุกรรมการศึกษาหาแนวทางการสมานฉันท์ คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ กล่าวว่า ข้อเสนอของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจินตนาการบนเงื่อนไขของตนเองทั้งสิ้น แต่ข้อเสนอให้เจรจาของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ คือ เจรจาบนพื้นฐานของความเป็นจริงในปัจจุบัน และจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร นั่นคือทุกคู่ขัดแย้ง ต้องยอมรับความจริง ต้องยอมรับระบบประเทศไทย ยอมรับ 3 อำนาจอธิปไตย หากทุกฝ่ายยอมรับ ก็สามารถมาเจรจากันได้ ซึ่งหมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกลับมารับโทษ ตามกระบวนการยุติธรรมก่อน ดูอย่างนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรมว.สาธารณสุข ที่ถูกลงโทษติดคุก ตอนนี้ออกมาแล้ว เป็นพลเมืองดีของสังคม คนก็ชื่นชม แต่สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ เรียกร้องให้คนอื่นปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ตัวเองกลับไม่ปฏิบัติ
" หากคุณทักษิณกลับมาติดคุก ก็แป๊บเดียว ออกมาแล้วก็มาเจรจากัน จะแก้รัฐธรรมนูญกี่มาตรา ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ลงสัตยาบัน ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าจะให้วกกลับไปก่อน 19 กันยาฯ 49 มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นจินตนาการบนเงื่อนไขของตัวเอง กรรมการสมานฉันท์ฯ ไม่ได้เสนอแบบนี้ แต่เสนอให้ทุกฝ่ายยอมรับความจริง แล้วถึงมาเจรจาว่าบ้านเมืองของเราทุกคนจะไปข้างหน้าอย่างไร ฝ่ายใดอยากแก้รัฐธรรมนูญกี่มาตรา ก็เอามาว่ากัน เพราะการเจรจาไม่ใช่เพื่อคุณทักษิณ เพื่อรัฐบาล หรือเพื่อใครคนหนึ่ง แต่เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นวิกฤต" นายตวง กล่าว และว่า การแก้ปัญหาตอนนี้ยังมีความเป็นไปได้ แต่ถ้าฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ ยังยืนยันการปลุกระดม เพื่อใช้กำลังคนมาสร้างความวุ่นวาย รัฐบาลก็มีความชอบธรรมที่จะปกป้องคุ้มครองประเทศ และตอนนี้รัฐบาลก็ต้องทบทวนนโยบายด้านนี้เช่นกัน ถ้าเจรจาไม่ได้ ก็ขอให้รัฐบาลเงียบ ไม่ต้องออกมาพูดอะไรมากจนกลายเป็นการต่อยอดความขัดแย้ง แต่ควรเดินหน้าสร้างความเข้าใจกับประชาชนจะดีกว่า
**"ดิเรก"โผล่หนุนเงื่อนไข"แม้ว"
นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมือง และศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงเงื่อนไข 3 ข้อ ที่พ.ต.ท. ทักษิณ เสนอมาว่า ตนมองคร่าวๆแล้วเห็นด้วย โดยข้อเสนอเรื่องการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ และ ลงสัตยาบันยอมรับผลการเลือกตั้ง และทุกฝ่ายมาตกลงว่า ต่างฝ่ายจะไม่ทำให้บ้านเมืองเกิดปัญหาอีก เป็นข้อเสนอที่ดี
ส่วนเรื่องการนำรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 มาใช้ โดยหลักก็ใช้ได้ เพียงแต่การได้มา จะมาจากไหน ซึ่งก็มีวิธีการที่ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ แต่ก็ต้องมาคุยกัน
นายดิเรก ยังกล่าวถึงแนวทางของคณะกรรมการสมานฉันท์ ว่า ข้อเสนอ กรอบ 1 เรื่องการสร้างสมานฉันท์ พูดถึงการเจรจาชัดเจน เพียงแต่เงื่อนไขที่ต่างฝ่ายต้องการ จะนำมาสู่การยุบสภาหรือไม่ ตรงนี้อยู่ที่การต่อรองกัน ส่วนกรอบที่ 2 และ 3 ว่าด้วยการปฏิรูปการเมือง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีการเสนอว่า หลังจากแก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นแล้ว ก็ให้แก้ทั้งฉบับ เพื่อให้ได้ฉบับที่มาจากประชาชนจริงๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องการให้ถูกดำเนินคดี และยึดทรัพย์ ซึ่งความต้องการนี้ ทำให้หลักนิติรัฐของประเทศเสียไป นายดิเรก กล่าวว่า อย่างเพิ่งไปถึงขั้นนั้น ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล นำสิ่งที่ตนเองต้องการมากางดูกันก่อน แล้วมาถกเถียงต่อรองโดยไม่ตั้งแง่ ซึ่งเรื่องจะจบลงได้ และสามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ อย่างร่างกฎหมายปรองดองแห่งชาตินั้น อาจจะเป็นตัวหนึ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณากันได้ ซึ่งก็ถูกต้องตามกรอบของกฎหมาย เมื่อถามว่าจำเป็นต้องอาศัยคนกลางหรือไม่ นายดิเรก กล่าวว่า ไม่จำเป็น
**ดักคอ"แม้ว"ตัดต่อเอกสารลับ
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฎิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แปลเอกสารลับกระทรวงการต่างประเทศ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ ว่า ที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์ว่า คนกลุ่มนี้เคยตัดต่อเทปเสียง หรือเอกสารที่เคยเปิดในอดีต ดังนั้นเชื่อว่าคนที่รับข้อมูลจะมีวิจารณญาณในการรับฟังข่าวสาร
อย่างไรก็ตาม เอกสารที่นายจตุพร นำมาเปิดนั้น ต้องรอกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ ซึ่งแม้จะเป็นจริง โดยเนื้อหาก็เป็นเพียงพิมพ์เขียวของกระทรวง ที่มีเป้าหมายปรับระดับความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาให้กลับมาสู่ความปกติ เพื่อให้ทั้งสองชาติกลับมาเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ไม่ได้มีจุดประสงค์ทำร้ายกัมพูชาแต่อย่างใด
นายปณิธาน กล่าวด้วยว่า การนำเอกสารลับของทางราชการ มาเปิดเผยนั้นจะเกิดผล 3 ประการ คือ 1. ผู้ที่นำมาเปิดเผยก็ต้องมีความผิดทางอาญา ขณะที่กระทรวงต่างประเทศ ก็ต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ 2. รายละเอียดในเอกสารบางถ้อยคำ จะถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นโจมตีทางการเมือง โดยที่ผู้ที่นำมาเผยแพร่ไม่รู้ถึงที่มาที่ไป ที่แท้จริง 3. กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเป้าหมายของแผน จะได้เปรียบเรา เขามีสิทธิจะไม่ร่วมมือกับเรา หรือเดินไปอีกทางหนึ่ง ทำให้เราหลงทาง และหากกัมพูชาตีความในทางที่ผิด โดยคิดว่ารัฐบาลมีความมุ่งร้าย จะทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ลง ทั้งที่โดยภาพรวมของเอกสารแล้วไม่มีเจตนาจะคุกคามบุคคล หรือประเทศกัมพูชาเลย
**ซัด"ไอ้ตู่"จงใจบิดเบือน
กรณีที่กล่าวถึงพ.ต.ท.ทักษิณ เป็น “ภัยหลัก” นั้นก็หมายถึง เป็นปัจจัยของปัญหาซึ่งรัฐบาลก็ต้องขจัดเงื่อนไขที่ทำให้ปัจจัยนี้ดำรงอยู่ไม่ใช่กำจัดตัวบุคคลอย่างที่นายจตุพร ตีความ
"การเปิดเอกสารลับครั้งนี้ ก็เป็นแผนในการจุดกระแสเรียกคนออกมาชุมนุมร่วมกับกลุ่มเสื้อแดงที่จะมีขึ้นในต้นเดือนม.ค. เพราะรู้ว่ามวลชนทุกวันนี้จะออกมาร่วมชุมนุม ก็ต้องมีเหตุผลที่เพียงพอ หลังจากที่ประชาชน 88 เปอร์เซนต์ จากการสำรวจเชื่อว่า การจับกุมนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ เป็นการจัดฉากของพ.ต.ท.ทักษิณ" นายปณิธานกล่าว
**"แม้ว"ขยายความลับเพราะแค้น
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมาระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะแปลเอกสารลับเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ต่อไปว่า ถือเป็นการประจานตัวเอง โดยการนำเอาความลับของชาติไปเปิดเผย สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีแต่คนที่เจ็บแค้นที่กลับประเทศไทยไม่ได้ จึงทำทุกอย่างให้ประเทศป่นปี้ยังไงก็ได้ เนื่องจากตัวเองไม่สามาถกลับประเทศไทยได้อยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่นายจตุพร ออกมาท้าว่า ให้ฝ่ายที่ชนะเป็นรัฐบาล และ ให้ฝ่ายที่แพ้ยุติทุกอย่าง โดยเอาแผ่นดินเป็นเดิมพันนั้น นายเทพไท กล่าวว่า ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ และนายจตุพร เชื่อถือไม่ได้ ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็มีคำมั่นสัญญา แต่ก็ฉีกสัญญาหลายครั้ง เช่น ในการเลือกตั้งปี 49 พ.ต.ท.ทักษิณ เคยให้สัตยาบันว่าหากมีการเลือกตั้งแล้วจะร่วมมือแก้รัฐธรรมนูญ 40 แต่เอาเข้าจริง กลับเบี้ยว ไปนำพรรคการเมืองเล็กๆที่ไม่มีที่นั่งในสภามาทำสัญญา จนกลายเป็นที่มาของคำว่าสภาโจ๊ก หรือกรณีที่วิปฝ่ายค้านให้สัญญาในที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็ถอนตัวไม่ร่วมแก้ ล่าสุดพรรคเพื่อไทย เคยให้สัญญาว่าจะพักรบ แต่สุดท้ายก็ออกมาชุมนุมในวันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมา
**การต่างประเทศต้องคู่ความมั่นคง
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาธิการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณี นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เอกสารลับกระทรวงการต่างประเทศ ว่า เนื้อหาบางส่วนไม่ได้อยู่ขอบข่ายงานของกระทรวงการต่างประเทศ อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ต้องเข้าใจว่าขณะนี้สถานการณ์ไม่ปกติ โดยเฉพาะด้านความมั่นคง เมื่อมีการนำความลับไปเผยแพร่ ก็ต้องมีการแก้ไขปัญหา เพราะจากปัญหาที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ เป็นเรื่องที่กระทรวงก็ต้องมีการหารือกัน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันแยกกันไม่ออกจากความมั่นคง
วันนี้อยากให้มองถึงสถานการณ์ด้วย เพราะเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต เพราะฉะนั้นเรื่องของยุทธศาสตร์ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป กับหน่วยงานด้านความมั่นคง ก็มีการทำงานร่วมกันมาโดยตลอดอยู่แล้ว ต้องมีการวิเคราะห์เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ ส่วนตัวเอกสาร เมื่อถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว และนายกฯจะส่งให้ใครต่อตนก็ไม่ทราบได้ ซึ่งก็ต้องมาตรวจสอบกันก่อนว่าไปรั่วไหลที่ตรงไหน
ส่วนที่ กมธ.ต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เรียกให้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงในเรื่องของเอกสารลับในวันพฤหัสบดีที่ 24 ธ.ค. นี้นั้น คงต้องบอกว่าโชคไม่ดี เพราะรมว.ต่างประเทศ มีภารกิจที่ต้องเดินทางไปประเทศจีน และอินเดียพอดี รวมถึงที่ผ่านมา ที่ไม่ได้ไปชี้แจงต่อกรรมาธิการฯ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ ก็คงต้องให้เจ้าหน้าที่ไปชี้แจงแทน
**อาเซียนห่วงปัญหาไทย-เขมร
นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.สัดส่วน และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ถึงท่าทีของสมาชิกกลุ่มชาติอาเซียน ต่อกรณีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของสมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา กับนายกรัฐมนตรีไทย ว่า ท่าทีของประเทศสมาชิกอาเซียน มีความเป็นห่วงต่อปัญหาความไม่ลงรอยครั้งนี้ เพราะแทนที่จะร่วมมือกันสมานฉันท์ในนามของกลุ่มประเทศอาเซียน จับมือกันต่อรองบนเวทีโลกด้านเศรษฐกิจ เช่น การเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ แต่กลุ่มอาเซียนต้องมาชะงัก ทุกประเทศก็อยากให้ความสัมพันธ์กลับมาเป็นเช่นเดิม แต่เชื่อว่าความสัมพันธ์โดยรวม ยังดำเนินต่อไปได้ ไม่ถึงกับตัดขาดจากกัน โดยเฉพาะการค้าและการติดต่อไปมาของทั้ง 2 ประเทศ
นายไกรศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวได้พูดคุยกับนายกษิต และแสดงความเห็นว่า สมเด็จฮุนเซน อยู่ในภาวะที่ลำบาก โดยเฉพาะกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่มีรายงานมากระปริบกระปรอยมาตลอด จนสุดท้ายถึงกรณีการจะจัดส่งชาวอุ๋ยเกอร์ ซึ่งหลบหนีมาจากซินเกียง คืนให้รัฐบาลจีน โดยไม่คำนึงถึงหลักสากล และสิทธิมนุษยชน เพราะคาดว่าจีนจะจัดการปัญหาดังกล่าวอย่างรุนแรงกับชาวอุ๋ยเกอร์ ทางการกัมพูชา น่าจะพิจารณาตามหลักสากลด้วยความเป็นธรรมก่อนจะส่งบุคคลดังกล่าวกลับจีน
สำหรับการที่รัฐบาลกัมพูชาสนับสนุนบุคคลที่ตั้งใจ และมีส่วนร่วมในการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากในสภา และใช้กำลังนอกสภา ถือเป็นการกระทำที่ผิดมารยาทอย่างยิ่ง หากจะเทียบกับกรณีที่ไทย อนุญาตให้ประชาชนชาวพม่า ที่ต่อต้านเผด็จการในพม่า ก็ถือเป็นคนละเรื่อง เพราะบุคคลดังกล่าวไม่มีคดีทางการเมือง และไม่มีการพาดพิงถึงกระบวนการยุติธรรมของไทย หรือแทรกแซงกิจการภายในของไทยแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากนโยบายของกระทรวงการต่างประเทศที่ดำเนินการอยู่ขณะนี้ ถือว่ามีจุดบกพร่องที่ต้องแก้ไขหรือไม่ นายไกรศักดิ์ เลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม แต่กลับระบุว่า ส่วนตัวเห็นว่าความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ยังดำเนินต่อไปโดยไม่กระทบกับประชาชน โดยถ้อยทีถ้อยอาศัยไป เพราะสมเด็จฮุนเซน แค่เพียงหลงผิดที่ไปเชื่อข้อมูลที่ผิดพลาด และถูกบิดเบือน โดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะสามารถกลับมาล้มทุกสถาบันฯในชาติไทยได้ เช่น รัฐบาล ศาล หรือสถาบันสำคัญๆ ที่เป็นหลักชองชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะประเทศกัมพูชา ก็ไม่มีปีกที่จะบินไปไหน ไทยก็เช่นกัน ไม่สามารถย้ายหนีไปได้ ทั้ง 2 ประเทศต้องอยู่ติดกัน ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลนายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยินดีรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างปกติ หากไม่ถูกแทรกแซงกิจการภายใน
เมื่อถามถึงเอกสารลับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าจะนำไปแปล และโพสต์ลงเว็บไซต์ นั้น นายไกรศักดิ์ กล่าวว่า เอกสารลับดังกล่าวเป็นเพียงมาตรการการสรุปสถานการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเสนอแนะให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องรับทราบขั้นตอนต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็นว่า ครม.หรือรัฐบาลต้องปฏิบัติตาม ขึ้นอยู่กับที่ประชุม ครม.และนายกฯ สำหรับเอกสารที่หลุดรอดออกมาได้ ต่อไปก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น
**ต่างชาติพอใจสัมพันธ์ไทย-มาเลย์
นายไกรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้รายงานให้นายกษิต ทราบว่า ในสายตาของสื่อต่างประเทศ และต่างชาติ ต่างพอใจกรณีการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-มาเลเซีย ที่มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ที่นาย นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เดินทางมาเยือน และร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเมื่อเทียบกับสมัยที่นายบันดาวี อดีตนายกฯ มาเลเซีย กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต่างมีข่าวออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันและกัน จะเห็นได้ว่าขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศ มีการร่วมมือที่ดีต่อกัน เพราะมีการกำหนดบทบาทชัดเจนว่า ทางการมาเลเซีย พร้อมสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง โดยให้รัฐบาลไทยดำเนินการต่อปัญหาดังกล่าวกับกลุ่มผู้ก่อการ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือ เป็นหลังมือ.
"วาสนา"โบ้ย"สุเมธ"ทำประเด็นเพี้ยน!
น.ส.วาสนา นาน่วม พิธีกรในรายการ "ลับ ลวง พราง" ซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่าในรายการได้นำเทปบันทึกเสียงที่เป็นคำพูดของ พล.อ.สุรยุทธ์ ปล่อยเสียงยาว 20 นาที ซึ่งมีการพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่สองช่วง คือช่วงแรกที่มีการบันทึกเทปรวมกับส่วนที่ตนเองได้ไปขอสัมภาษณ์เพิ่มเติม เกี่ยวกับไลฟ์ สไตล์ และได้ถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่าในฐานะที่เป็นนักข่าวมา 20 กว่าปี ในส่วนที่พูดในรายการ ตนไม่ได้ชี้นำว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จะเป็นตัวกลางในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มีการสัมภาษณ์ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตรงนั้นอาจทำให้ประเด็นเพี้ยนไป เพราะ พล.อ.อ.สุเมธ ไปเข้าใจว่า ท่านจะเป็นตัวกลางเจรจา แต่ยืนยันว่าการตั้งคำถามกับ พล.อ.อ.สุเมธ กลับไป ได้ถามไปตามที่ พล.อ.สุรยุทธ์ พูด ส่วนคำถามตอนหลังที่พูดเรื่องคนกลาง เป็นการถามหลังจาก พล.อ.อ.สุเมธ ได้พูดคำว่า คนกลางออกมาก่อน
**ยอมเป็นกระโถน
"ยืนยันว่า ในรายการไม่ได้ไปวิเคราะห์ หรือพูดทำนองว่า มีไฟเขียวลงมา เท่าที่ทราบท่านไม่ได้ฟังรายการด้วยตัวเอง แต่คนใกล้ชิดไปเล่าให้ท่านฟัง จากนั้นพอข่าวเป็นประเด็นขึ้นมา ก็คิดว่ามีการบิดเบือนข่าว แต่ก็เข้าใจว่าท่านคงโดนตำหนิ โดนอัดเยอะ และคิดว่าเราเป็นต้นเหตุ ก็ขอยอมเป็นกระโถน แต่ขอให้รับทราบว่า ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้น หรือมีการชี้นำประเด็นให้เกิดขึ้น เข้าใจว่าฝ่ายเพื่อไทย หรือ เสื้อแดง เมื่อมีประเด็นนี้ออกมา ก็กระโดดมาตะครุบเลยทันที จึงเป็นเรื่องเป็นราว โดยนำประเด็นเรื่องนี้ไปขยายผลเพื่อตนเอง เท่าที่ฟัง พล.อ.สุรยุทธ์ บอกว่า เราไม่ใช่วาสนา คนเดิม แสดงว่าท่านคิดว่าเมื่อก่อนเป็นพวกท่าน แล้วตอนนี้เป็นพวกทักษิณ หรือยังไง ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นพวกใคร ท่านน่าจะรู้จักวาสนาดี เป็นนักข่าวต้องมีแหล่งข่าวสองด้าน ทุกสี ถ้าตนเองรู้จักกันกับพ.ต.ท.ทักษิณในการจุดประเด็นนี้ขึ้นมา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ควรจะกระโดดตะครุบแล้ว แต่นี่กลับมาประชดประชัน พล.อ.สุรยุทธ์ และยื่นข้อเสนอถึง 3 ข้อ ถือว่าการเจรจา ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ตายตั้งแต่ยังไม่เกิด" น.ส.วาสนากล่าว
**ผิดหวังสุรยุทธ์นายกฯจากปฏิวัติ
น.ส.วาสนา กล่าวด้วยว่า ตนไม่มีอคติต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ แต่ก็ยอมรับว่า รู้สึกผิดหวังกับท่านบ้าง เพราะเคยชื่นชมในความเป็นทหารอาชีพ และตัวเองก็เป็นคนที่นิยมในประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ แต่ตอนหลังท่านดันไปเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากการปฏิวัติ ก็เลยผิดหวังนิดๆ แต่ก็ไม่ตำหนิท่าน เข้าใจในความจำเป็น ก็พยายามเข้าไปพูดคุย ถามคำถามตามปกติ แต่ท่านเองกลับรู้สึกหวาดระแวง บางเรื่องถามไปท่านก็ไม่พูด ทำให้เห็นว่า ท่านอาจรู้สึกไม่ดีกับตน ทั้งที่ตนไม่ได้ไปอยู่ข้างทักษิณ อย่างที่ท่านมอง หรือถูกคนอื่นมอง ตอนนี้ได้ติดต่อขอพูดคุยกับ พล.อ.สุรยุทธ์แล้ว แต่ท่านไม่คุย ทั้งนี้ไม่ได้โกรธอะไร เพราะเข้าใจว่าท่านได้รับความกดดันมา หากท่านมีบุญคุณอะไร ก็ขอยอมเป็นกระโถนให้ ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ" น.ส.วาสนากล่าว.
เมื่อเวลา 11.30 น. วานนี้ (22 ธ.ค.) ที่มูลนิธิรัฐบุรุษ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี แถลงข่าวถึงกรณีที่มีการเสนอข่าวว่า ตนรับอาสาจะเป็นคนกลางในการเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งของบ้านเมืองว่า เหตุเกิดจากการที่ตนเดินทางไปบ้านน้ำจวง จ.พิษณุโลก เมื่อวันที่ 18 ธ.ค. และได้ไปร่วมพิธีเปิดงานชาวไทยภูเขา เผ่าม้ง ซึ่งมีนักข่าวหลายคนที่รู้จักกับตนตั้งแต่รับราชการทหาร ได้เดินทางไปด้วยกัน และเคยเดินป่าด้วยกัน ก็กลับมาที่พัก ก็ได้มีการพูดคุยกัน หลายท่านก็ได้มีโอกาสได้พูดคุยกับผู้ร่วมพัฒนาชาติไทย กับชาวไทยภูเขาเผ่าม้ง และก็เคยทำงานร่วมกับคุณพ่อของตน
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่าหลังจากเสร็จงานดังกล่าว ก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับสื่อ ซึ่งสิ่งที่ตนได้พูดคุยกับนักข่าว และมีการบันทึกเสียงและภาพ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นการให้สัมภาษณ์ แต่เป็นการพูดคุยกันมากกว่า
ทั้งนี้เรื่องที่ได้มีการพูดคุยกันคือ การเชิญชวนให้ประชาชนทำตามพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งตนได้อธิบายหน้าที่ขององคมนตรีว่า ควรทำอะไร และไม่ควรทำอะไร โดยมีอยู่ตอนหนึ่งที่ คุณวาสนา นาน่วม นักข่าวสายทหาร ได้ถามถึงการแก้ปัญหาบ้านเมือง ซึ่งตนตอบว่ามีโอกาสแก้ปัญหาได้ ทั้งเรื่องประเทศเพื่อนบ้าน และปัญหาบ้านเมือง เป็นการมองในด้านที่ดี และเจตนาที่ไม่ให้เกิดปัญหาในด้านต่างๆ
" คุณวาสนายังได้ถามว่าหากพ.ต.ท.ทักษิณ โทรมาหา จะคุยหรือไม่ ซึ่งด้วยเจตนาที่เปิดเผย ไม่มีอะไร ผมจึงพูดว่าผมพูดเพราะว่าที่ผ่านมาเคยพูดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ทางโทรศัพท์แต่ไม่ได้หมายความว่า ผมจะทำหน้าที่เป็นผู้เจรจา หรือเป็นตัวกลางในการเจรจาใดๆ ทั้งสิ้น เป็นเรื่องแค่การพูดคุย นั่นคือเจตนาของผม ว่าผมพร้อมจะพูดคุย และพร้อมรับฟังปัญหาต่างๆ ทุกประการ แต่ผมไม่มีหน้าที่ที่จะต้องไปปฏิบัติ หรือไปทำในสิ่งหนึ่งสิ่งใด" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว
พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า การที่สื่อได้นำสิ่งที่ตนได้พูดคุยไปออกอากาศ ในลักษณะที่ทำให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนของประชาชน ขอเรียนว่าไม่ใช่สิ่งที่ดีงาม เป็นสิ่งที่สื่อควรพิจารณาให้รอบคอบ เพราะตนมองสื่อในแง่ที่ดี เป็นผู้ที่เคยไปไหนมาไหนด้วยกัน
"โดยเฉพาะคุณวาสนา ซึ่งผมเคยเป็นประธานในงานแต่งงาน ดังนั้นผมจึงมีความไว้วางใจ แต่ในครั้งนี้ ทำให้ผมเห็นว่า ผมจะต้องระมัดระวัง เพราะคุณวาสนาไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว" พล.อ.สุรยุทธ์กล่าว
**องคมนตรีไม่มีหน้าที่เจรจาแม้ว
เมื่อถามว่าในตำแหน่งองคมนตรี สามารถที่จะทำหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจากับพ.ต.ท.ทักษิณเพื่อทำให้ประเทศสงบได้หรือไม่ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่า ตนไม่มีหน้าที่ และไม่มีอำนาจ ผู้ที่ทำหน้าที่สมานฉันท์ คือผู้ที่มีหน้าที่ และมีอำนาจ คือรัฐบาล แต่ตนไม่มีหน้าที่ ซึ่งการที่ตนบอกว่าเคยพูดกับพ.ต.ท.ทักษิณนั้น เป็นการพูดคุยตั้งแต่ครั้งที่ตนเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
**"ป๋า"เปิดบ้านรับอวยพรปีใหม่
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันที่ 28 ธ.ค.52 เวลา 09.00 น. พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ เปิดบ้านพักสี่เสาเทเวศร์ ให้ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม นำ ผบ.เหล่าทัพ ทั้ง พล.อ. อภิชาต เพ็ญกิตติ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ. ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก พล.ร.อ. กำธร พุ่มหิรัญ ผู้บัญชาการทหารเรือ พล.อ.อ. อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ เข้าร่วมอวยพรเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ 2553
**ผบ.ทอ.ขำ"แม้ว" ปั้นนำเป็นตัว
พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผู้บัญชาการทหารอากาศ กล่าวถึงกรณี พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุ ว่า กองทัพอากาศส่งเครื่องบินขับไล่เอฟ 16 ขึ้นประกบเครื่องบินส่วนตัวที่บินไปประเทศกัมพูชา ว่า พอได้ข่าวก็นึกขำ บางทีการให้ข่าว หรือคนไปเล่าให้ฟังเกินความเป็นจริง ข้อเท็จจริงไม่มีการสั่งเครื่องสกัดกั้น ข้อมูลที่ได้อาจเป็นการคิดเอาเอง หรือสร้างจินตนาการให้ดูรุนแรง อาจโยงให้เห็นว่า รัฐใช้อำนาจไม่ถูกต้องในการสั่งใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพ ทั้งนี้ กองทัพอากาศมีภารกิจการป้องกันราชอาณาจักร การปฏิบัติภารกิจมีหน่วยบินที่ตั้งขึ้นตามแผนการป้องกันประเทศ เรามีภารกิจที่ต้องปฏิบัติตามคำสั่งยุทธการย่อย อย่างต่อเนื่อง
"ภาพหรือข่าวที่ออกมาไปให้ข่าวกันจนกลายเป็นหนัง ว่ามีการประกบ เหมือนการบินเข้าไปใกล้ชิด บังคับใช้ปืนขู่ ความเป็นจริงเครื่องบินกองทัพอากาศที่บินตามภารกิจ เราไม่ได้เข้าไปใกล้ ต่างคนต่างบินตามในเส้นทางตนเอง" ผบ.ทอ.กล่าว
**"ไอ้ตู่"เผยความลับราชการต้องเอาผิด
เมื่อถามว่า น่าเป็นห่วงสังคมไทยที่คนพูดอะไรโดยไม่มีหลัก ไม่รับผิดชอบคำพูด พล.อ.อ. อิทธพร กล่าวว่า เป็นจิตสำนึกของแต่ละคน โดยเฉพาะที่เป็นข่าวว่า มีการนำเอกสารลับมาเปิดเผย ทั้งนี้ คนที่นำมาเปิดเผย ตนไม่แน่ใจว่า เขารู้หรือไม่ว่าเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย แต่ตนไม่แน่ใจว่าผิดกฎหมายในข้อใด การนำสิ่งที่ไม่เป็นความจริง การนำเอกสารลับราชการมาเปิดเผย จะมีกฎหมายที่เกี่ยวข้องหลายเรื่อง พ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสาร ระเบียบการรักษาความลับทางราชการ ที่หนักที่สุด คือ ประมวลกฎหมายอาญา ที่เกี่ยวข้องความมั่นคงของรัฐนอกราชอาณาจักร ตนไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ก็ชอบอ่านกฎหมาย เมื่อไปอ่านดูแล้วมีมาตราที่ 120, 123, 124,
"การที่ไปคบคิดเพื่อให้ประโยชน์ต่อรัฐต่างประเทศ หรือการกระทำอันใดที่เป็นอริเป็นปรปักษ์ต่อรัฐ หรือการนำข้อมูล หรือนำเอกสารที่ปกปิดเป็นความปลอดภัยของประเทศ มีบทลงโทษที่รุนแรง โดยเฉพาะเอกสารที่เกี่ยวข้องความปลอดภัยของประเทศ แล้วเกิดไปเป็นประโยชน์ต่อรัฐต่างประเทศ อันนี้หนักที่สุด อย่างไรก็ตาม คิดว่าใครก็ตามที่ออกมาพูด หรือให้ข่าว ท่านต้องรับผิดชอบถ้าเกิดมีคนฟ้องร้อง ท่านจะบอกไม่ได้ตั้งใจ หรือไม่ทราบ ซึ่งเป็นกฎหมาย ใครก็แล้วแต่ที่ทำผิดกฎหมาย ต้องไปชี้แจงตอบตำถามต่อเจ้าพนักงาน" พล.อ.อ.อิทธพรกล่าว
**ยุแดงถ่อยลุยต่อหลังถูกปัดเจรจา
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวถึงกรณีพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ออกมาปฏิเสธเรื่องเป็นคนกลางในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า เป็นเรื่องที่ดีที่ พล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาพูดชัดเจนว่าตัวเองไม่มีหน้าที่เจรจา ถ้าหากผู้ใหญ่ของบ้านเมืองรู้หน้าที่ของตัวเองตั้งแต่แรก บ้านเมืองของเราคงไม่สับสนวุ่นวายมาจนวันนี้ ซึ่ง ความจริงเราเคลือบแคลงมาตั้งแต่ต้นแล้วว่า คำพูดของพล.อ.สุรยุทธ์ มีความจริงจังจริงใจแค่ไหน เพราะในอดีตจะมีบุคคลที่ถูกเรียกว่า นายหน้าค้าอำนาจ มาพูดอย่างนั้นอย่างนี้ตลอด เดิมทีพ.ต.ท.ทักษิณ ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรกับพวกที่ยึดอำนาจ จ้องทำลายตัวท่านอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อพล.อ.สุรยุทธ์ มาปฏิเสธเรื่องการเจรจา ก็ไม่ได้ผิดหวังหรือตกใจอะไร
"เมื่อพล.อ.สุรยุทธ์ ออกมาปฏิเสธก็ดี จะได้ยุติความสับสน พี่น้องประชาชนที่รักประชาธิปไตยเขาไม่ให้ความสำคัญกับการเจรจาอยู่แล้ว พวกที่ยึดอำนาจไปมักเสพติด ไม่เคยลงจากอำนาจเอง ต้องถูกถีบลงมาทั้งนั้น วันนี้ประชาชนเขาเดินมาไกลแล้ว จะต้องต่อสู้เอาประชาธิปไตยที่แท้จริงกลับคืนมาอย่างสุดกำลัง และเดินหน้าขยายแนวร่วมไปเรื่อยๆ เชื่อว่าแนวร่วมประชาธิปไตยจะเพิ่มมากขึ้นแน่นอน ขณะที่แนวร่วมอำมาตย์ จะต้องน้อยลง เรื่องวันข้างหน้าสุดแต่ลิขิตฟ้าดิน อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด พ.ต.ท.ทักษิณ ถูกย่ำยี ถูกกระทำต่างๆนานา ใครไม่โดนเช่นนี้ไม่รู้ แต่ไม่ว่าจะโดนหนักขนาดไหนท่านก็ไม่เคยคิดทำร้ายบ้านเมือง ไม่เคยคิดที่จะสร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย สิ่งที่ทำคือการเรียกร้องสิทธิของตัวเองเท่านั้น ดังนั้นขอให้ประชาชนคนไทยสบายใจได้ว่า อดีตนายกฯจะไม่ทำอะไรให้ชาติเสียหายแน่นอน" นายนพดล กล่าว
**เงื่อนไข"พ่อไอ้ตู่" ทำไม่ได้
จากกรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วน พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดง เสนอให้มีการลงนามในสัตยาบันของ 4 ฝ่ายคือ กลุ่มเสื้อแดง เสื้อเหลือง เสื้อน้ำเงิน และรัฐบาล ตามเงื่อนไข 3 ข้อเพื่อความสมานฉันท์ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เสนอมาว่าให้นำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้ ก่อนยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ หากฝ่ายใดชนะได้ปกครองประเทศ ฝ่ายที่แพ้ต้องยอมศิโรราบ ไม่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อแลกกับการเลิกชุมนุมป่วนเมืองของกลุ่มเสื้อแดง
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า จู่ๆจะให้นำรัฐธรรมนูญปี 40 มาใช้เลยนั้น ไม่ได้
"การที่จะยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน คือฉบับปี 50 นั้นผมมองว่าไม่มีช่องทางให้ยกเลิกได้ แต่วิธีที่ทำได้คือวิธีที่คณะกรรมการสมานฉันท์เสนอรัฐบาล คือการแก้รัฐธรรมนูญปี50 จะแก้ในประเด็นใด หรืออยากให้เนื้อหาเหมือนปี 40 หรือปี 17 หรือจะให้เหมือนปีอะไรก็แล้วแต่ ก็เสนอมา และก่อนแก้ไขก็ไปถามความเห็นของประชาชนว่า เห็นด้วยหรือไม่ ผมคิดว่าถ้าทุกคนร่วมมือ ร่วมแรงกันจริงๆระยะเวลา 5-6 เดือน ก็สามารถแก้ไขได้ และเมื่อแก้รัฐธรรมนูญจนได้กฎเกณฑ์ กติกา ที่ทุกฝ่ายยอมรับแล้ว จะยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ ก็ไม่มีใครว่าอะไร แต่ที่ต้องทำก่อนการเลือกตั้งใหม่ คือ ทุกคน ทุกฝ่าย ต้องยอมรับกฎกติกา เพื่อให้เกิดความสงบเหมือนเมื่อก่อน แต่ขณะนี้ดูแนวโน้มที่กลุ่มคนต่างๆ ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ ไม่มีความมั่นใจว่า จะทำให้การเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อยได้" นายสุเทพ กล่าว
**เย้ย"ไอ้ตู่"ไม่มีราคาให้เชื่อถือ
ต่อข้อถามว่า ที่นายจตุพรถึงขั้นท้าให้ลงสัตยาบัน โดยเดิมพันว่า ฝ่ายที่ชนะจะได้เป็นรัฐบาลครองประเทศไป ส่วนฝ่ายที่แพ้ จะต้องยอมศิโรราบไม่ออกมาเคลื่อนไหว หรือสร้างความรุนแรง จะเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน นายสุเทพ กล่าวว่า ตนเคยบอกไปแล้วว่าไม่เคยเชื่อถือนายจตุพร เพราะฉะนั้นนายจตุพรพูดอะไรก็เชื่อถือไม่ได้ แต่อยากบอกว่าถ้าทุกคนเคารพกฎเกณฑ์ กติกาบ้านเมือง ทุกอย่างก็เรียบร้อย ไม่ต้องมาท้าเดิมพันอะไร เมื่อก่อนก็เป็นอย่างนี้ เวลาเลือกตั้งเสร็จ คนที่ชนะก็จัดตั้งรัฐบาล ที่เหลือก็เป็นฝ่ายค้าน ทำหน้าที่กันไป เมื่อหมดสมัยก็เลือกตั้งใหม่ แต่ที่วันนี้ที่นายจตุพร และพรรคพวกออกมาดิ้นรนโวยวาย ก็เพราะการปฏิบัติตามกติกาแล้วไม่เป็นประโยชน์กับนายจตุพรและพวก ซึ่งคนที่ฝ่าฝืนกฎเกณฑ์ ก็คือพวกเขาเอง
**จวก"แม้ว"ต่อรองเพื่อตัวเอง
นายประสาร มฤคพิทักษ์ ส.ว.สรรหา กล่าวถึงเงื่อนไข 3 ข้อของ พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อแลกกับการหยุดเคลื่อนไหวของกลุ่มคนเสื้อแดง ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เพราะ เป็นการเอาผลประโยชน์ส่วนตัว มาต่อรองกับผลประโยชน์ของประเทศชาติ ที่ไม่มีใครยอมรับได้
"ขณะนี้ดูเหมือนว่าพ.ต.ท.ทักษิณ จำเป็นต้องเล่นไพ่ 4 หน้าในเวลาเดียวกัน คือ หน้าที่หนึ่ง ใช้พลพรรคเสื้อแดงและพรรคเพื่อไทยกดดันให้รัฐบาลยุบสภา เพื่อเปิดทางให้มีการเลือกตั้งใหม่ หน้าที่สองขอเจรจาต่อรอง โดยตั้งเงื่อนไขที่ทำลายหลักนิติธรรม และนิติรัฐทั้งหมด หน้าที่สาม เล่นเกมป่วนเมืองแบบกรณีเผาบ้านเผาเมืองเดือนเมษายน เพื่อนำไปสู่การพลิกขั้วทางการเมือง หน้าที่สี่ จัดตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นโดยใช้กัมพูชาเป็นฐานบัญชาการ ซึ่งในโลกนี้ อาจจะมีเพียงฮุนเซน เท่านั้นที่จะรับรองรัฐบาลนั้นได้" นายประสาร กล่าว
**"ส.ว.ตวง"บอกต้องมาติดคุกก่อน
นายตวง อันทะไชย ส.ว.สรรหา ประธานอนุกรรมการศึกษาหาแนวทางการสมานฉันท์ คณะกรรมการสมานฉันท์ฯ กล่าวว่า ข้อเสนอของพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นจินตนาการบนเงื่อนไขของตนเองทั้งสิ้น แต่ข้อเสนอให้เจรจาของคณะกรรมการสมานฉันท์ฯ คือ เจรจาบนพื้นฐานของความเป็นจริงในปัจจุบัน และจะก้าวไปข้างหน้าอย่างไร นั่นคือทุกคู่ขัดแย้ง ต้องยอมรับความจริง ต้องยอมรับระบบประเทศไทย ยอมรับ 3 อำนาจอธิปไตย หากทุกฝ่ายยอมรับ ก็สามารถมาเจรจากันได้ ซึ่งหมายความว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องกลับมารับโทษ ตามกระบวนการยุติธรรมก่อน ดูอย่างนายรักเกียรติ สุขธนะ อดีตรมว.สาธารณสุข ที่ถูกลงโทษติดคุก ตอนนี้ออกมาแล้ว เป็นพลเมืองดีของสังคม คนก็ชื่นชม แต่สำหรับพ.ต.ท.ทักษิณ เรียกร้องให้คนอื่นปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ตัวเองกลับไม่ปฏิบัติ
" หากคุณทักษิณกลับมาติดคุก ก็แป๊บเดียว ออกมาแล้วก็มาเจรจากัน จะแก้รัฐธรรมนูญกี่มาตรา ยุบสภา เลือกตั้งใหม่ ลงสัตยาบัน ก็ไม่มีใครว่า แต่ถ้าจะให้วกกลับไปก่อน 19 กันยาฯ 49 มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นจินตนาการบนเงื่อนไขของตัวเอง กรรมการสมานฉันท์ฯ ไม่ได้เสนอแบบนี้ แต่เสนอให้ทุกฝ่ายยอมรับความจริง แล้วถึงมาเจรจาว่าบ้านเมืองของเราทุกคนจะไปข้างหน้าอย่างไร ฝ่ายใดอยากแก้รัฐธรรมนูญกี่มาตรา ก็เอามาว่ากัน เพราะการเจรจาไม่ใช่เพื่อคุณทักษิณ เพื่อรัฐบาล หรือเพื่อใครคนหนึ่ง แต่เพื่อให้ประเทศหลุดพ้นวิกฤต" นายตวง กล่าว และว่า การแก้ปัญหาตอนนี้ยังมีความเป็นไปได้ แต่ถ้าฝ่ายพ.ต.ท.ทักษิณ ยังยืนยันการปลุกระดม เพื่อใช้กำลังคนมาสร้างความวุ่นวาย รัฐบาลก็มีความชอบธรรมที่จะปกป้องคุ้มครองประเทศ และตอนนี้รัฐบาลก็ต้องทบทวนนโยบายด้านนี้เช่นกัน ถ้าเจรจาไม่ได้ ก็ขอให้รัฐบาลเงียบ ไม่ต้องออกมาพูดอะไรมากจนกลายเป็นการต่อยอดความขัดแย้ง แต่ควรเดินหน้าสร้างความเข้าใจกับประชาชนจะดีกว่า
**"ดิเรก"โผล่หนุนเงื่อนไข"แม้ว"
นายดิเรก ถึงฝั่ง ส.ว.นนทบุรี ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์ เพื่อการปฏิรูปการเมือง และศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กล่าวถึงเงื่อนไข 3 ข้อ ที่พ.ต.ท. ทักษิณ เสนอมาว่า ตนมองคร่าวๆแล้วเห็นด้วย โดยข้อเสนอเรื่องการยุบสภา และเลือกตั้งใหม่ และ ลงสัตยาบันยอมรับผลการเลือกตั้ง และทุกฝ่ายมาตกลงว่า ต่างฝ่ายจะไม่ทำให้บ้านเมืองเกิดปัญหาอีก เป็นข้อเสนอที่ดี
ส่วนเรื่องการนำรัฐธรรมนูญฉบับปี 40 มาใช้ โดยหลักก็ใช้ได้ เพียงแต่การได้มา จะมาจากไหน ซึ่งก็มีวิธีการที่ทำให้ถูกต้องตามกฎหมายได้ แต่ก็ต้องมาคุยกัน
นายดิเรก ยังกล่าวถึงแนวทางของคณะกรรมการสมานฉันท์ ว่า ข้อเสนอ กรอบ 1 เรื่องการสร้างสมานฉันท์ พูดถึงการเจรจาชัดเจน เพียงแต่เงื่อนไขที่ต่างฝ่ายต้องการ จะนำมาสู่การยุบสภาหรือไม่ ตรงนี้อยู่ที่การต่อรองกัน ส่วนกรอบที่ 2 และ 3 ว่าด้วยการปฏิรูปการเมือง และแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีการเสนอว่า หลังจากแก้รัฐธรรมนูญ 6 ประเด็นแล้ว ก็ให้แก้ทั้งฉบับ เพื่อให้ได้ฉบับที่มาจากประชาชนจริงๆ
ผู้สื่อข่าวถามว่า แต่พ.ต.ท.ทักษิณไม่ต้องการให้ถูกดำเนินคดี และยึดทรัพย์ ซึ่งความต้องการนี้ ทำให้หลักนิติรัฐของประเทศเสียไป นายดิเรก กล่าวว่า อย่างเพิ่งไปถึงขั้นนั้น ฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล นำสิ่งที่ตนเองต้องการมากางดูกันก่อน แล้วมาถกเถียงต่อรองโดยไม่ตั้งแง่ ซึ่งเรื่องจะจบลงได้ และสามารถทำให้ถูกกฎหมายได้ อย่างร่างกฎหมายปรองดองแห่งชาตินั้น อาจจะเป็นตัวหนึ่งที่ถูกหยิบขึ้นมาพิจารณากันได้ ซึ่งก็ถูกต้องตามกรอบของกฎหมาย เมื่อถามว่าจำเป็นต้องอาศัยคนกลางหรือไม่ นายดิเรก กล่าวว่า ไม่จำเป็น
**ดักคอ"แม้ว"ตัดต่อเอกสารลับ
นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ปฎิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการที่ พ.ต.ท.ทักษิณ แปลเอกสารลับกระทรวงการต่างประเทศ เผยแพร่ทางเว็บไซต์ ว่า ที่ผ่านมาเรามีประสบการณ์ว่า คนกลุ่มนี้เคยตัดต่อเทปเสียง หรือเอกสารที่เคยเปิดในอดีต ดังนั้นเชื่อว่าคนที่รับข้อมูลจะมีวิจารณญาณในการรับฟังข่าวสาร
อย่างไรก็ตาม เอกสารที่นายจตุพร นำมาเปิดนั้น ต้องรอกระทรวงการต่างประเทศยืนยันว่าเป็นเอกสารจริงหรือไม่ ซึ่งแม้จะเป็นจริง โดยเนื้อหาก็เป็นเพียงพิมพ์เขียวของกระทรวง ที่มีเป้าหมายปรับระดับความสัมพันธ์ไทยกับกัมพูชาให้กลับมาสู่ความปกติ เพื่อให้ทั้งสองชาติกลับมาเป็นเพื่อนบ้านที่ดีต่อกัน ไม่ได้มีจุดประสงค์ทำร้ายกัมพูชาแต่อย่างใด
นายปณิธาน กล่าวด้วยว่า การนำเอกสารลับของทางราชการ มาเปิดเผยนั้นจะเกิดผล 3 ประการ คือ 1. ผู้ที่นำมาเปิดเผยก็ต้องมีความผิดทางอาญา ขณะที่กระทรวงต่างประเทศ ก็ต้องปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ 2. รายละเอียดในเอกสารบางถ้อยคำ จะถูกหยิบขึ้นมาเป็นประเด็นโจมตีทางการเมือง โดยที่ผู้ที่นำมาเผยแพร่ไม่รู้ถึงที่มาที่ไป ที่แท้จริง 3. กัมพูชาซึ่งเป็นประเทศเป้าหมายของแผน จะได้เปรียบเรา เขามีสิทธิจะไม่ร่วมมือกับเรา หรือเดินไปอีกทางหนึ่ง ทำให้เราหลงทาง และหากกัมพูชาตีความในทางที่ผิด โดยคิดว่ารัฐบาลมีความมุ่งร้าย จะทำให้ความสัมพันธ์ย่ำแย่ลง ทั้งที่โดยภาพรวมของเอกสารแล้วไม่มีเจตนาจะคุกคามบุคคล หรือประเทศกัมพูชาเลย
**ซัด"ไอ้ตู่"จงใจบิดเบือน
กรณีที่กล่าวถึงพ.ต.ท.ทักษิณ เป็น “ภัยหลัก” นั้นก็หมายถึง เป็นปัจจัยของปัญหาซึ่งรัฐบาลก็ต้องขจัดเงื่อนไขที่ทำให้ปัจจัยนี้ดำรงอยู่ไม่ใช่กำจัดตัวบุคคลอย่างที่นายจตุพร ตีความ
"การเปิดเอกสารลับครั้งนี้ ก็เป็นแผนในการจุดกระแสเรียกคนออกมาชุมนุมร่วมกับกลุ่มเสื้อแดงที่จะมีขึ้นในต้นเดือนม.ค. เพราะรู้ว่ามวลชนทุกวันนี้จะออกมาร่วมชุมนุม ก็ต้องมีเหตุผลที่เพียงพอ หลังจากที่ประชาชน 88 เปอร์เซนต์ จากการสำรวจเชื่อว่า การจับกุมนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ เป็นการจัดฉากของพ.ต.ท.ทักษิณ" นายปณิธานกล่าว
**"แม้ว"ขยายความลับเพราะแค้น
นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ออกมาระบุว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะแปลเอกสารลับเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อเผยแพร่ต่อไปว่า ถือเป็นการประจานตัวเอง โดยการนำเอาความลับของชาติไปเปิดเผย สร้างความเสียหายให้กับประเทศชาติ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่มีแต่คนที่เจ็บแค้นที่กลับประเทศไทยไม่ได้ จึงทำทุกอย่างให้ประเทศป่นปี้ยังไงก็ได้ เนื่องจากตัวเองไม่สามาถกลับประเทศไทยได้อยู่แล้ว
ส่วนกรณีที่นายจตุพร ออกมาท้าว่า ให้ฝ่ายที่ชนะเป็นรัฐบาล และ ให้ฝ่ายที่แพ้ยุติทุกอย่าง โดยเอาแผ่นดินเป็นเดิมพันนั้น นายเทพไท กล่าวว่า ทั้งพ.ต.ท.ทักษิณ และนายจตุพร เชื่อถือไม่ได้ ที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยก็มีคำมั่นสัญญา แต่ก็ฉีกสัญญาหลายครั้ง เช่น ในการเลือกตั้งปี 49 พ.ต.ท.ทักษิณ เคยให้สัตยาบันว่าหากมีการเลือกตั้งแล้วจะร่วมมือแก้รัฐธรรมนูญ 40 แต่เอาเข้าจริง กลับเบี้ยว ไปนำพรรคการเมืองเล็กๆที่ไม่มีที่นั่งในสภามาทำสัญญา จนกลายเป็นที่มาของคำว่าสภาโจ๊ก หรือกรณีที่วิปฝ่ายค้านให้สัญญาในที่ประชุมวิป 3 ฝ่าย ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญ แต่สุดท้ายก็ถอนตัวไม่ร่วมแก้ ล่าสุดพรรคเพื่อไทย เคยให้สัญญาว่าจะพักรบ แต่สุดท้ายก็ออกมาชุมนุมในวันที่ 10 ธ.ค. ที่ผ่านมา
**การต่างประเทศต้องคู่ความมั่นคง
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต เลขาธิการ รมว.ต่างประเทศ กล่าวถึงกรณี นายสุรเกียรติ์ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศ ออกมาวิพากษ์วิจารณ์เอกสารลับกระทรวงการต่างประเทศ ว่า เนื้อหาบางส่วนไม่ได้อยู่ขอบข่ายงานของกระทรวงการต่างประเทศ อาจจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศนั้น ต้องเข้าใจว่าขณะนี้สถานการณ์ไม่ปกติ โดยเฉพาะด้านความมั่นคง เมื่อมีการนำความลับไปเผยแพร่ ก็ต้องมีการแก้ไขปัญหา เพราะจากปัญหาที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ เป็นเรื่องที่กระทรวงก็ต้องมีการหารือกัน เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นมันแยกกันไม่ออกจากความมั่นคง
วันนี้อยากให้มองถึงสถานการณ์ด้วย เพราะเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้ยังไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในอดีต เพราะฉะนั้นเรื่องของยุทธศาสตร์ ก็ต้องเปลี่ยนแปลงไป กับหน่วยงานด้านความมั่นคง ก็มีการทำงานร่วมกันมาโดยตลอดอยู่แล้ว ต้องมีการวิเคราะห์เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบ ส่วนตัวเอกสาร เมื่อถึงนายกรัฐมนตรีแล้ว และนายกฯจะส่งให้ใครต่อตนก็ไม่ทราบได้ ซึ่งก็ต้องมาตรวจสอบกันก่อนว่าไปรั่วไหลที่ตรงไหน
ส่วนที่ กมธ.ต่างประเทศ สภาผู้แทนราษฎร เรียกให้ นายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ชี้แจงในเรื่องของเอกสารลับในวันพฤหัสบดีที่ 24 ธ.ค. นี้นั้น คงต้องบอกว่าโชคไม่ดี เพราะรมว.ต่างประเทศ มีภารกิจที่ต้องเดินทางไปประเทศจีน และอินเดียพอดี รวมถึงที่ผ่านมา ที่ไม่ได้ไปชี้แจงต่อกรรมาธิการฯ ก็เป็นจังหวะเดียวกับที่รัฐมนตรีเดินทางไปต่างประเทศ ก็คงต้องให้เจ้าหน้าที่ไปชี้แจงแทน
**อาเซียนห่วงปัญหาไทย-เขมร
นายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ ส.ส.สัดส่วน และรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยภายหลังหารือร่วมกับนายกษิต ภิรมย์ รมว.ต่างประเทศ ถึงท่าทีของสมาชิกกลุ่มชาติอาเซียน ต่อกรณีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของสมเด็จฮุนเซน นายกฯกัมพูชา กับนายกรัฐมนตรีไทย ว่า ท่าทีของประเทศสมาชิกอาเซียน มีความเป็นห่วงต่อปัญหาความไม่ลงรอยครั้งนี้ เพราะแทนที่จะร่วมมือกันสมานฉันท์ในนามของกลุ่มประเทศอาเซียน จับมือกันต่อรองบนเวทีโลกด้านเศรษฐกิจ เช่น การเปิดเขตการค้าเสรีกับประเทศต่างๆ แต่กลุ่มอาเซียนต้องมาชะงัก ทุกประเทศก็อยากให้ความสัมพันธ์กลับมาเป็นเช่นเดิม แต่เชื่อว่าความสัมพันธ์โดยรวม ยังดำเนินต่อไปได้ ไม่ถึงกับตัดขาดจากกัน โดยเฉพาะการค้าและการติดต่อไปมาของทั้ง 2 ประเทศ
นายไกรศักดิ์ กล่าวว่า ส่วนตัวได้พูดคุยกับนายกษิต และแสดงความเห็นว่า สมเด็จฮุนเซน อยู่ในภาวะที่ลำบาก โดยเฉพาะกรณีการละเมิดสิทธิมนุษยชน ที่มีรายงานมากระปริบกระปรอยมาตลอด จนสุดท้ายถึงกรณีการจะจัดส่งชาวอุ๋ยเกอร์ ซึ่งหลบหนีมาจากซินเกียง คืนให้รัฐบาลจีน โดยไม่คำนึงถึงหลักสากล และสิทธิมนุษยชน เพราะคาดว่าจีนจะจัดการปัญหาดังกล่าวอย่างรุนแรงกับชาวอุ๋ยเกอร์ ทางการกัมพูชา น่าจะพิจารณาตามหลักสากลด้วยความเป็นธรรมก่อนจะส่งบุคคลดังกล่าวกลับจีน
สำหรับการที่รัฐบาลกัมพูชาสนับสนุนบุคคลที่ตั้งใจ และมีส่วนร่วมในการโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเสียงข้างมากในสภา และใช้กำลังนอกสภา ถือเป็นการกระทำที่ผิดมารยาทอย่างยิ่ง หากจะเทียบกับกรณีที่ไทย อนุญาตให้ประชาชนชาวพม่า ที่ต่อต้านเผด็จการในพม่า ก็ถือเป็นคนละเรื่อง เพราะบุคคลดังกล่าวไม่มีคดีทางการเมือง และไม่มีการพาดพิงถึงกระบวนการยุติธรรมของไทย หรือแทรกแซงกิจการภายในของไทยแต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวถามว่า จากนโยบายของกระทรวงการต่างประเทศที่ดำเนินการอยู่ขณะนี้ ถือว่ามีจุดบกพร่องที่ต้องแก้ไขหรือไม่ นายไกรศักดิ์ เลี่ยงที่จะไม่ตอบคำถาม แต่กลับระบุว่า ส่วนตัวเห็นว่าความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศ ยังดำเนินต่อไปโดยไม่กระทบกับประชาชน โดยถ้อยทีถ้อยอาศัยไป เพราะสมเด็จฮุนเซน แค่เพียงหลงผิดที่ไปเชื่อข้อมูลที่ผิดพลาด และถูกบิดเบือน โดยเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะสามารถกลับมาล้มทุกสถาบันฯในชาติไทยได้ เช่น รัฐบาล ศาล หรือสถาบันสำคัญๆ ที่เป็นหลักชองชาติ ซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เพราะประเทศกัมพูชา ก็ไม่มีปีกที่จะบินไปไหน ไทยก็เช่นกัน ไม่สามารถย้ายหนีไปได้ ทั้ง 2 ประเทศต้องอยู่ติดกัน ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลนายอภสิทธิ์ เวชชาชีวะ ยินดีรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับกัมพูชาอย่างปกติ หากไม่ถูกแทรกแซงกิจการภายใน
เมื่อถามถึงเอกสารลับที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าจะนำไปแปล และโพสต์ลงเว็บไซต์ นั้น นายไกรศักดิ์ กล่าวว่า เอกสารลับดังกล่าวเป็นเพียงมาตรการการสรุปสถานการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเสนอแนะให้ฝ่ายที่เกี่ยวข้องรับทราบขั้นตอนต่างๆ ซึ่งไม่จำเป็นว่า ครม.หรือรัฐบาลต้องปฏิบัติตาม ขึ้นอยู่กับที่ประชุม ครม.และนายกฯ สำหรับเอกสารที่หลุดรอดออกมาได้ ต่อไปก็ต้องระมัดระวังให้มากขึ้น
**ต่างชาติพอใจสัมพันธ์ไทย-มาเลย์
นายไกรศักดิ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้รายงานให้นายกษิต ทราบว่า ในสายตาของสื่อต่างประเทศ และต่างชาติ ต่างพอใจกรณีการกระชับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทย-มาเลเซีย ที่มีการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี ที่นาย นาจิบ ราซัค นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย เดินทางมาเยือน และร่วมมือในการแก้ไขปัญหาการก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะเมื่อเทียบกับสมัยที่นายบันดาวี อดีตนายกฯ มาเลเซีย กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ต่างมีข่าวออกมาวิพากษ์วิจารณ์กันและกัน จะเห็นได้ว่าขณะนี้ทั้ง 2 ประเทศ มีการร่วมมือที่ดีต่อกัน เพราะมีการกำหนดบทบาทชัดเจนว่า ทางการมาเลเซีย พร้อมสนับสนุนอยู่เบื้องหลัง โดยให้รัฐบาลไทยดำเนินการต่อปัญหาดังกล่าวกับกลุ่มผู้ก่อการ ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงจากหน้ามือ เป็นหลังมือ.
"วาสนา"โบ้ย"สุเมธ"ทำประเด็นเพี้ยน!
น.ส.วาสนา นาน่วม พิธีกรในรายการ "ลับ ลวง พราง" ซึ่งเป็นผู้สัมภาษณ์ พล.อ.สุรยุทธ์ กล่าวว่าในรายการได้นำเทปบันทึกเสียงที่เป็นคำพูดของ พล.อ.สุรยุทธ์ ปล่อยเสียงยาว 20 นาที ซึ่งมีการพูดถึง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่สองช่วง คือช่วงแรกที่มีการบันทึกเทปรวมกับส่วนที่ตนเองได้ไปขอสัมภาษณ์เพิ่มเติม เกี่ยวกับไลฟ์ สไตล์ และได้ถามเพิ่มเติมเกี่ยวกับประเด็น พ.ต.ท.ทักษิณ ยืนยันว่าในฐานะที่เป็นนักข่าวมา 20 กว่าปี ในส่วนที่พูดในรายการ ตนไม่ได้ชี้นำว่า พล.อ.สุรยุทธ์ จะเป็นตัวกลางในการเจรจากับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่มีการสัมภาษณ์ พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี เพื่อนเตรียมทหารรุ่น 10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งตรงนั้นอาจทำให้ประเด็นเพี้ยนไป เพราะ พล.อ.อ.สุเมธ ไปเข้าใจว่า ท่านจะเป็นตัวกลางเจรจา แต่ยืนยันว่าการตั้งคำถามกับ พล.อ.อ.สุเมธ กลับไป ได้ถามไปตามที่ พล.อ.สุรยุทธ์ พูด ส่วนคำถามตอนหลังที่พูดเรื่องคนกลาง เป็นการถามหลังจาก พล.อ.อ.สุเมธ ได้พูดคำว่า คนกลางออกมาก่อน
**ยอมเป็นกระโถน
"ยืนยันว่า ในรายการไม่ได้ไปวิเคราะห์ หรือพูดทำนองว่า มีไฟเขียวลงมา เท่าที่ทราบท่านไม่ได้ฟังรายการด้วยตัวเอง แต่คนใกล้ชิดไปเล่าให้ท่านฟัง จากนั้นพอข่าวเป็นประเด็นขึ้นมา ก็คิดว่ามีการบิดเบือนข่าว แต่ก็เข้าใจว่าท่านคงโดนตำหนิ โดนอัดเยอะ และคิดว่าเราเป็นต้นเหตุ ก็ขอยอมเป็นกระโถน แต่ขอให้รับทราบว่า ไม่ได้มีวาระซ่อนเร้น หรือมีการชี้นำประเด็นให้เกิดขึ้น เข้าใจว่าฝ่ายเพื่อไทย หรือ เสื้อแดง เมื่อมีประเด็นนี้ออกมา ก็กระโดดมาตะครุบเลยทันที จึงเป็นเรื่องเป็นราว โดยนำประเด็นเรื่องนี้ไปขยายผลเพื่อตนเอง เท่าที่ฟัง พล.อ.สุรยุทธ์ บอกว่า เราไม่ใช่วาสนา คนเดิม แสดงว่าท่านคิดว่าเมื่อก่อนเป็นพวกท่าน แล้วตอนนี้เป็นพวกทักษิณ หรือยังไง ทั้งที่ความจริงไม่ได้เป็นพวกใคร ท่านน่าจะรู้จักวาสนาดี เป็นนักข่าวต้องมีแหล่งข่าวสองด้าน ทุกสี ถ้าตนเองรู้จักกันกับพ.ต.ท.ทักษิณในการจุดประเด็นนี้ขึ้นมา พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ควรจะกระโดดตะครุบแล้ว แต่นี่กลับมาประชดประชัน พล.อ.สุรยุทธ์ และยื่นข้อเสนอถึง 3 ข้อ ถือว่าการเจรจา ก็ไม่มีทางเกิดขึ้นแน่นอน ตายตั้งแต่ยังไม่เกิด" น.ส.วาสนากล่าว
**ผิดหวังสุรยุทธ์นายกฯจากปฏิวัติ
น.ส.วาสนา กล่าวด้วยว่า ตนไม่มีอคติต่อ พล.อ.สุรยุทธ์ แต่ก็ยอมรับว่า รู้สึกผิดหวังกับท่านบ้าง เพราะเคยชื่นชมในความเป็นทหารอาชีพ และตัวเองก็เป็นคนที่นิยมในประชาธิปไตย ไม่เห็นด้วยกับการปฏิวัติ แต่ตอนหลังท่านดันไปเป็นนายกรัฐมนตรี หลังจากการปฏิวัติ ก็เลยผิดหวังนิดๆ แต่ก็ไม่ตำหนิท่าน เข้าใจในความจำเป็น ก็พยายามเข้าไปพูดคุย ถามคำถามตามปกติ แต่ท่านเองกลับรู้สึกหวาดระแวง บางเรื่องถามไปท่านก็ไม่พูด ทำให้เห็นว่า ท่านอาจรู้สึกไม่ดีกับตน ทั้งที่ตนไม่ได้ไปอยู่ข้างทักษิณ อย่างที่ท่านมอง หรือถูกคนอื่นมอง ตอนนี้ได้ติดต่อขอพูดคุยกับ พล.อ.สุรยุทธ์แล้ว แต่ท่านไม่คุย ทั้งนี้ไม่ได้โกรธอะไร เพราะเข้าใจว่าท่านได้รับความกดดันมา หากท่านมีบุญคุณอะไร ก็ขอยอมเป็นกระโถนให้ ถือว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณ" น.ส.วาสนากล่าว.