อีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ ก็จะสิ้นปี 2552 และย่างเข้าสู่ปีใหม่ 2553 แล้วสื่อมวลชนทั้งหลายต่างก็สรุปเรื่องราวที่เกิดขึ้นในปี 2552 โดยเฉพาะการตั้งฉายาต่างๆ ทั้งในส่วนรัฐบาลและส่วนอื่นๆ ซึ่งไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งฉายาไปแล้วจะได้ผลอะไรขึ้นมาบ้าง
แต่อย่างน้อยก็จะทำให้เกิดความรู้สึกสนุกเฮฮาในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้บ้างไม่มากก็น้อย
แต่ในน้ำใจลึกของคนทั้งหลายนั้นย่อมอยากจะรู้ว่าบ้านเมืองของเราในปีหน้าจะเป็นประการใด ซึ่งเป็นช่องทางให้บรรดาหมอดูทั้งหลายได้โอกาสพยากรณ์ทำนายทายทักกันไปต่างๆ นานา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของเทศกาลที่จะต้องมีขึ้นในเทศกาลเช่นนี้ทุกปีมา
ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้มีความสนใจในการวิเคราะห์ความเป็นไปในบ้านเมือง จึงต้องทำหน้าที่สนองคุณแด่มวลมิตร ทำการวิเคราะห์หรือมองภาพในปีหน้าเพื่อให้เป็นที่ตั้งแห่งความคิดอ่านวิพากษ์วิจารณ์กันสืบไป
ความจริงเรื่องราวที่คนทั้งหลายอยากรู้อยากคาดหมายนั้นมีอยู่เป็นอันมาก ยากที่จะพรรณนาได้หมดจดครบถ้วน เหตุนี้ในเนื้อที่อันจำกัดจึงจำเป็นต้องกล่าวแต่บางเรื่องเท่าที่เห็นว่ามีความจำเป็นและสำคัญ
ประการแรก เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนอยากจะรู้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยังเป็นรัฐบาลต่อไปในปี 2553 หรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าถูกข่มขู่และเผชิญปัญหาสารพัด และเรื่องนี้จะส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นจึงต้องมาลองมองเรื่องนี้เสียก่อน
ดูไปแล้วรัฐบาลนี้ไม่เหมือนรัฐบาลอื่นๆ หากจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียงที่สุดก็เปรียบได้กับหอยหรือรัฐบาลหอยเหมือนที่เคยพูดถึงกันมาในช่วงปี 2519 เพราะเนื้อหอยนั้นนุ่มนิ่มปวกเปียก แต่กลับมีเปลือกหอยที่แข็งแกร่งยิ่งนัก อุปมาอย่างนี้ก็เป็นที่ให้คิดให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นเสียตั้งแต่ต้น
หรืออีกนัยหนึ่งก็เปรียบเทียบได้ว่าเป็นรัฐบาลแพหยวก พายุโหม คลื่นซัดประการใดก็ไม่จม คนบางพวกเอาตีนเหยียบก็แล้ว กระโดดกระทืบก็แล้ว แพหยวกนี้ก็ไม่ยอมจม แต่จะให้สุขสบายเหมือนนั่งบนเรือใหญ่ก็ไม่ได้เพราะผู้โดยสารพากันเปียกปอนหนาวยะเยือกอยู่ทุกวันเวลา
ลำพังแต่เนื้อหอยหรือหยวกกล้วยก็คงเป็นเหยื่อเต่า ปู ปลาไปนานแล้ว ดังนั้นใครที่เห็นรัฐบาลนี้เป็นแค่รัฐบาลเด็ก เห็นแต่เนื้อหอยหรือหยวกกล้วยจึงต้องผิดหวังผิดคาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นั่นเพราะมีคนมาแสดงเป็นตัวร้ายทำให้คนทั้งหลายเกรงกลัวว่าหากกลับมามีอำนาจแล้วจะถึงกาลสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน สิ้นกษัตริย์ คนทั้งปวงจึงยืนหยัดปกป้องสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไว้จนสุดกำลัง
ดังนั้นใครยิ่งทำตัวเป็นตัวร้าย นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ผลที่แท้จริงจึงกลายเป็นช่วยเหลือให้รัฐบาลแพหยวกนี้อยู่จีรังยั่งยืน จนตัวร้ายจะต้องพ่ายแพ้ภัยตนเองไปในที่สุด
เพราะเหตุนี้จึงได้เตือนจิตสะกิดใจให้ศึกษาทำความเข้าใจยุทธศาสตร์จากธรรมคติสั้นๆ ที่ว่า “คนฆ่าเสือไม่ใช่เพราะเกลียดเสือ แต่เพราะกลัวเสือ” ซึ่งถึงวันนี้คนบางกลุ่มบางพวกก็ไม่เข้าใจ จึงประพฤติตนเป็นเสือดุ เสือร้าย อยู่ต่อไป และหากไม่หยุดก็คงต้องถูกคนฆ่าตายเป็นแน่แท้
สองปีที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้ อดีตที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้ ในปีหน้าก็ย่อมเป็นอย่างนี้ และเพราะอย่างนี้นี่แหละจึงประมาณสถานการณ์ได้ว่า รัฐบาลแพหยวกนี้จะยังคงดำรงสถาพรไปตลอดปี 2553 อย่าได้สงสัยใดๆ เลย
และที่จะต้องสังเกตจับตาให้ดีคือ ในขณะที่รัฐบาลหอยดำรงอยู่นั้น ได้บังเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นแล้ว คือบังเกิดมุกขึ้นในเนื้อหอย และส่อเค้าว่าจะเป็นที่ยอมรับของผู้คนมากขึ้นทุกวัน จนสักวันหนึ่งมุกเม็ดนี้อาจเป็นที่ชื่นชมและได้รับการยอมรับให้ประดับบนบัลลังก์แห่งอำนาจก็ได้
ไม่เห็นหรือ การจัดงานเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ใหญ่โตมโหฬารตระการตาจนปวงประชาพากันเป็นสุขและได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีกันถ้วนหน้านั้น เป็นเพราะใครและฝีมือใคร?
ใครที่หวังว่าเปิดสภาแล้วจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วล้มรัฐบาลได้ หรือจะเปิดแนวรบที่สาม เปลี่ยนแปลงการปกครองและล้มรัฐบาลด้วยกำลังอำนาจทางอาวุธ หรือจะใช้พลังมวลชนเข้าทำการ หรือยืมมือคนต่างด้าวท้าวต่างแดนบุกรุกมาตุภูมิของตน ก็อย่าได้หมายว่าจะสำเร็จเลย
ที่พลาดพลั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งมาแล้วนั้นมิใช่เพราะคิดแบบเดินหมากรุกข้างเดียวดอกหรือ?
อันยุทธนาการไม่ว่าทางการเมืองหรือทางการทหาร ล้วนมีคู่กระทำการแก่กัน ความคิดฝันแต่อำเภอใจข้างเดียวไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นความจริงขึ้นได้เลย หากเหมาะสำหรับนักเสพกัญชา เพ้อฝันเวลาพี้กัญชามากกว่า
ดังนั้นเมื่อรัฐบาลนี้ยังอยู่ยั้งยืนยงต่อไป อะไรๆ ที่เป็นผลิตผลของรัฐบาลนี้ดังที่ได้ประสบพบเห็นกันมาในรอบปีที่กำลังผ่านพ้น ก็ยังคงได้ยลได้สัมผัสให้อึดอัดขัดใจกันต่อไป ก็เหมือนนั่งบนแพหยวกนั่นแหละ จมมันก็ไม่จม แต่มันจะเปียกปอนหนาวเหน็บกันถ้วนหน้า
สิริรวมแล้วไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ความแตกแยก แตกสามัคคี การบ่อนทำลายสถาบันต่างๆ การฉ้อราษฎร์บังหลวง การใช้อำนาจข่มเหงรังแกกัน ยาเสพติดและการฉกชิงวิ่งราว เป็นอยู่อย่างไรในปี 2552 ก็จะเป็นไปอย่างนั้น แต่ขนาดของวิกฤตจะรุนแรงขึ้นในปี 2553 ด้วย
การปรับคณะรัฐมนตรีก็คงหวังคนดีมีฝีมือมาทำงานไม่ได้ จงทำใจไว้เถิดว่าปี 2553 คนไทยจะยังคงนั่งบนแพหยวกสืบไป จะได้ไม่ต้องผิดหวังซ้ำเติมความรู้สึกทุกข์ร้อนให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก
ประการที่สอง สถานการณ์ของโลกจะปรากฏภาพการสิ้นยุคทุนนิยมสามานย์ชัดเจนขึ้น ยุคใหม่ที่เป็นยุคแห่งการแสวงหาอาหารและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจะเป็นกระแสใหญ่ของยุค
ยุคบรรพกาลและยุคเกษตรใช้เวลานับหมื่นแสนปี ครั้นโลกปฏิวัติอุตสาหกรรมกลับมีอายุสั้นลงอย่างน่าใจหาย แค่ 300 ปี ก็ได้กลายพันธุ์ทำให้โลกเข้าสู่ยุคทุนนิยมที่ล้างผลาญตนเองประดุจดังกองไฟที่ไหม้กินฟืนไม่หยุดยั้ง และจะต้องดับไปในที่สุด
เป็นไปดังที่คาร์ลมาร์ค ปรมาจารย์ใหญ่แห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ได้กล่าวไว้ว่ากำไรซึ่งเป็นเส้นชีวิตของทุนนิยมจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกและจะเป็นตัวทำลายทุนนิยมเสียเอง
ยุคทุนนิยมใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีก็ได้ยกระดับกลายเป็นทุนข้ามภพข้ามชาติและกลายเป็นทุนนิยมสามานย์ที่ล้างผลาญทุนเล็กทุนน้อยให้ย่อยยับไปทั้งโลก บ่มเพาะคนให้กลายพันธุ์เป็นนักบริโภคที่ไม่รู้จักความพอ จึงประดุจดั่งกองไฟขนาดใหญ่ที่กินฟืนจนหมดโลก
ในที่สุดทั่วทั้งโลกจึงมีแต่ความยากจน คนยากไร้ เต็มไปด้วยหนี้สินผูกพันล่วงหน้าไปในอนาคตนับ 60-70 ปี ในที่สุดทุนนิยมก็เริ่มล่มสลายลงด้วยวิกฤตเศรษฐกิจครั้งแล้วครั้งเล่า ประดุจแผ่นดินไหวครั้งเล็กครั้งน้อยแล้วใหญ่ขึ้นทุกทีจนกำลังมาถึงวาระสุดท้ายที่ใกล้ล่มสลายทั่วโลกแล้ว
ในขณะที่ทุนนิยมกำลังล่มสลาย ประชากรโลกก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง อัตราการบริโภคพุ่งสูงจนผลิตไม่ทันกิน ไม่จำสิ้นก็ต้องสิ้นวาระยุคสมัย เพราะสภาพเช่นนี้ได้กำหนดและก่อเกิดสภาพใหม่ที่ทั่วทั้งโลกกำลังขาดแคลนอาหารและเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายใหญ่หลวงของสภาพแวดล้อมทั้งผืนดิน แผ่นน้ำ และแผ่นฟ้า
จนถึงกับคนบ้าเพ้อฝันบางจำพวกได้ฉกฉวยเป็นโอกาสสร้างเรื่องราวหรือภาพยนตร์เกี่ยวกับวันสิ้นโลกออกมาทำมาหากินกันอย่างครึกโครม ซึ่งแม้ยังไม่เป็นความจริงในวันนี้แต่มันได้สะท้อนให้เห็นถึงอันตรายด้านสภาพแวดล้อมที่กำลังคุกคามมนุษย์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติของมนุษยชาติ
มันกำหนดให้ยุคสมัยต้องเป็นไปตามสภาพที่เป็นจริง นั่นคือมันได้เปิดฉากยุคสมัยใหม่ที่ทั่วทั้งโลกต้องฝักใฝ่แสวงหาอาหารและน้ำ ตลอดจนการพิทักษ์รักษาทรัพยากรสิ่งแวดล้อมให้ดำรงคงอยู่ให้ดีที่สุดและให้นานที่สุด
เพราะเหตุนั้นทั่วทั้งโลกจึงมุ่งโฉมหน้ามายังประเทศไทยของเรา ซึ่งเป็น 1 ใน 6 ของประเทศที่ผลิตธัญญาหารหล่อเลี้ยงพลโลก และยังมีสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในโลก
ประเทศไทยจะกลายเป็นสมรภูมิใหญ่ในการช่วงชิงอาหาร น้ำ และอากาศ ผืนแผ่นดินประเทศไทยจะมีคุณค่ามากกว่าทุกระยะที่ผ่านมา นี่คือชะตากรรมของประเทศไทยและคนไทยที่จะต้องพิทักษ์รักษาหวงแหนและจะต้องทำให้ดินแดนแห่งนี้เป็นศูนย์กลางโลกยุคใหม่ให้จงได้.
แต่อย่างน้อยก็จะทำให้เกิดความรู้สึกสนุกเฮฮาในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ได้บ้างไม่มากก็น้อย
แต่ในน้ำใจลึกของคนทั้งหลายนั้นย่อมอยากจะรู้ว่าบ้านเมืองของเราในปีหน้าจะเป็นประการใด ซึ่งเป็นช่องทางให้บรรดาหมอดูทั้งหลายได้โอกาสพยากรณ์ทำนายทายทักกันไปต่างๆ นานา ซึ่งจะว่าไปแล้วก็เป็นเรื่องของเทศกาลที่จะต้องมีขึ้นในเทศกาลเช่นนี้ทุกปีมา
ดังนั้นในฐานะที่เป็นผู้มีความสนใจในการวิเคราะห์ความเป็นไปในบ้านเมือง จึงต้องทำหน้าที่สนองคุณแด่มวลมิตร ทำการวิเคราะห์หรือมองภาพในปีหน้าเพื่อให้เป็นที่ตั้งแห่งความคิดอ่านวิพากษ์วิจารณ์กันสืบไป
ความจริงเรื่องราวที่คนทั้งหลายอยากรู้อยากคาดหมายนั้นมีอยู่เป็นอันมาก ยากที่จะพรรณนาได้หมดจดครบถ้วน เหตุนี้ในเนื้อที่อันจำกัดจึงจำเป็นต้องกล่าวแต่บางเรื่องเท่าที่เห็นว่ามีความจำเป็นและสำคัญ
ประการแรก เป็นเรื่องที่คนไทยทุกคนอยากจะรู้ว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะยังเป็นรัฐบาลต่อไปในปี 2553 หรือไม่ เพราะดูเหมือนว่าถูกข่มขู่และเผชิญปัญหาสารพัด และเรื่องนี้จะส่งผลต่อเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย ดังนั้นจึงต้องมาลองมองเรื่องนี้เสียก่อน
ดูไปแล้วรัฐบาลนี้ไม่เหมือนรัฐบาลอื่นๆ หากจะเปรียบเทียบให้ใกล้เคียงที่สุดก็เปรียบได้กับหอยหรือรัฐบาลหอยเหมือนที่เคยพูดถึงกันมาในช่วงปี 2519 เพราะเนื้อหอยนั้นนุ่มนิ่มปวกเปียก แต่กลับมีเปลือกหอยที่แข็งแกร่งยิ่งนัก อุปมาอย่างนี้ก็เป็นที่ให้คิดให้เห็นได้ชัดเจนขึ้นเสียตั้งแต่ต้น
หรืออีกนัยหนึ่งก็เปรียบเทียบได้ว่าเป็นรัฐบาลแพหยวก พายุโหม คลื่นซัดประการใดก็ไม่จม คนบางพวกเอาตีนเหยียบก็แล้ว กระโดดกระทืบก็แล้ว แพหยวกนี้ก็ไม่ยอมจม แต่จะให้สุขสบายเหมือนนั่งบนเรือใหญ่ก็ไม่ได้เพราะผู้โดยสารพากันเปียกปอนหนาวยะเยือกอยู่ทุกวันเวลา
ลำพังแต่เนื้อหอยหรือหยวกกล้วยก็คงเป็นเหยื่อเต่า ปู ปลาไปนานแล้ว ดังนั้นใครที่เห็นรัฐบาลนี้เป็นแค่รัฐบาลเด็ก เห็นแต่เนื้อหอยหรือหยวกกล้วยจึงต้องผิดหวังผิดคาดซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นั่นเพราะมีคนมาแสดงเป็นตัวร้ายทำให้คนทั้งหลายเกรงกลัวว่าหากกลับมามีอำนาจแล้วจะถึงกาลสิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน สิ้นกษัตริย์ คนทั้งปวงจึงยืนหยัดปกป้องสถานการณ์ที่เป็นอยู่ไว้จนสุดกำลัง
ดังนั้นใครยิ่งทำตัวเป็นตัวร้าย นอกจากจะไม่ได้ผลแล้ว ผลที่แท้จริงจึงกลายเป็นช่วยเหลือให้รัฐบาลแพหยวกนี้อยู่จีรังยั่งยืน จนตัวร้ายจะต้องพ่ายแพ้ภัยตนเองไปในที่สุด
เพราะเหตุนี้จึงได้เตือนจิตสะกิดใจให้ศึกษาทำความเข้าใจยุทธศาสตร์จากธรรมคติสั้นๆ ที่ว่า “คนฆ่าเสือไม่ใช่เพราะเกลียดเสือ แต่เพราะกลัวเสือ” ซึ่งถึงวันนี้คนบางกลุ่มบางพวกก็ไม่เข้าใจ จึงประพฤติตนเป็นเสือดุ เสือร้าย อยู่ต่อไป และหากไม่หยุดก็คงต้องถูกคนฆ่าตายเป็นแน่แท้
สองปีที่ผ่านมาเป็นอย่างนี้ อดีตที่ผ่านมาก็เป็นอย่างนี้ ในปีหน้าก็ย่อมเป็นอย่างนี้ และเพราะอย่างนี้นี่แหละจึงประมาณสถานการณ์ได้ว่า รัฐบาลแพหยวกนี้จะยังคงดำรงสถาพรไปตลอดปี 2553 อย่าได้สงสัยใดๆ เลย
และที่จะต้องสังเกตจับตาให้ดีคือ ในขณะที่รัฐบาลหอยดำรงอยู่นั้น ได้บังเกิดสิ่งมหัศจรรย์ขึ้นแล้ว คือบังเกิดมุกขึ้นในเนื้อหอย และส่อเค้าว่าจะเป็นที่ยอมรับของผู้คนมากขึ้นทุกวัน จนสักวันหนึ่งมุกเม็ดนี้อาจเป็นที่ชื่นชมและได้รับการยอมรับให้ประดับบนบัลลังก์แห่งอำนาจก็ได้
ไม่เห็นหรือ การจัดงานเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษาที่ใหญ่โตมโหฬารตระการตาจนปวงประชาพากันเป็นสุขและได้มีโอกาสถวายความจงรักภักดีกันถ้วนหน้านั้น เป็นเพราะใครและฝีมือใคร?
ใครที่หวังว่าเปิดสภาแล้วจะมีการอภิปรายไม่ไว้วางใจแล้วล้มรัฐบาลได้ หรือจะเปิดแนวรบที่สาม เปลี่ยนแปลงการปกครองและล้มรัฐบาลด้วยกำลังอำนาจทางอาวุธ หรือจะใช้พลังมวลชนเข้าทำการ หรือยืมมือคนต่างด้าวท้าวต่างแดนบุกรุกมาตุภูมิของตน ก็อย่าได้หมายว่าจะสำเร็จเลย
ที่พลาดพลั้งกี่ครั้งต่อกี่ครั้งมาแล้วนั้นมิใช่เพราะคิดแบบเดินหมากรุกข้างเดียวดอกหรือ?
อันยุทธนาการไม่ว่าทางการเมืองหรือทางการทหาร ล้วนมีคู่กระทำการแก่กัน ความคิดฝันแต่อำเภอใจข้างเดียวไม่ใช่ฐานะที่จะเป็นความจริงขึ้นได้เลย หากเหมาะสำหรับนักเสพกัญชา เพ้อฝันเวลาพี้กัญชามากกว่า
ดังนั้นเมื่อรัฐบาลนี้ยังอยู่ยั้งยืนยงต่อไป อะไรๆ ที่เป็นผลิตผลของรัฐบาลนี้ดังที่ได้ประสบพบเห็นกันมาในรอบปีที่กำลังผ่านพ้น ก็ยังคงได้ยลได้สัมผัสให้อึดอัดขัดใจกันต่อไป ก็เหมือนนั่งบนแพหยวกนั่นแหละ จมมันก็ไม่จม แต่มันจะเปียกปอนหนาวเหน็บกันถ้วนหน้า
สิริรวมแล้วไม่ว่าด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ความแตกแยก แตกสามัคคี การบ่อนทำลายสถาบันต่างๆ การฉ้อราษฎร์บังหลวง การใช้อำนาจข่มเหงรังแกกัน ยาเสพติดและการฉกชิงวิ่งราว เป็นอยู่อย่างไรในปี 2552 ก็จะเป็นไปอย่างนั้น แต่ขนาดของวิกฤตจะรุนแรงขึ้นในปี 2553 ด้วย
การปรับคณะรัฐมนตรีก็คงหวังคนดีมีฝีมือมาทำงานไม่ได้ จงทำใจไว้เถิดว่าปี 2553 คนไทยจะยังคงนั่งบนแพหยวกสืบไป จะได้ไม่ต้องผิดหวังซ้ำเติมความรู้สึกทุกข์ร้อนให้มากขึ้นกว่าเดิมอีก
ประการที่สอง สถานการณ์ของโลกจะปรากฏภาพการสิ้นยุคทุนนิยมสามานย์ชัดเจนขึ้น ยุคใหม่ที่เป็นยุคแห่งการแสวงหาอาหารและสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยจะเป็นกระแสใหญ่ของยุค
ยุคบรรพกาลและยุคเกษตรใช้เวลานับหมื่นแสนปี ครั้นโลกปฏิวัติอุตสาหกรรมกลับมีอายุสั้นลงอย่างน่าใจหาย แค่ 300 ปี ก็ได้กลายพันธุ์ทำให้โลกเข้าสู่ยุคทุนนิยมที่ล้างผลาญตนเองประดุจดังกองไฟที่ไหม้กินฟืนไม่หยุดยั้ง และจะต้องดับไปในที่สุด
เป็นไปดังที่คาร์ลมาร์ค ปรมาจารย์ใหญ่แห่งลัทธิคอมมิวนิสต์ได้กล่าวไว้ว่ากำไรซึ่งเป็นเส้นชีวิตของทุนนิยมจะเป็นปัญหาที่แก้ไม่ตกและจะเป็นตัวทำลายทุนนิยมเสียเอง
ยุคทุนนิยมใช้เวลาไม่ถึงร้อยปีก็ได้ยกระดับกลายเป็นทุนข้ามภพข้ามชาติและกลายเป็นทุนนิยมสามานย์ที่ล้างผลาญทุนเล็กทุนน้อยให้ย่อยยับไปทั้งโลก บ่มเพาะคนให้กลายพันธุ์เป็นนักบริโภคที่ไม่รู้จักความพอ จึงประดุจดั่งกองไฟขนาดใหญ่ที่กินฟืนจนหมดโลก
ในที่สุดทั่วทั้งโลกจึงมีแต่ความยากจน คนยากไร้ เต็มไปด้วยหนี้สินผูกพันล่วงหน้าไปในอนาคตนับ 60-70 ปี ในที่สุดทุนนิยมก็เริ่มล่มสลายลงด้วยวิกฤตเศรษฐกิจครั้งแล้วครั้งเล่า ประดุจแผ่นดินไหวครั้งเล็กครั้งน้อยแล้วใหญ่ขึ้นทุกทีจนกำลังมาถึงวาระสุดท้ายที่ใกล้ล่มสลายทั่วโลกแล้ว
ในขณะที่ทุนนิยมกำลังล่มสลาย ประชากรโลกก็เพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง อัตราการบริโภคพุ่งสูงจนผลิตไม่ทันกิน ไม่จำสิ้นก็ต้องสิ้นวาระยุคสมัย เพราะสภาพเช่นนี้ได้กำหนดและก่อเกิดสภาพใหม่ที่ทั่วทั้งโลกกำลังขาดแคลนอาหารและเผชิญหน้าอยู่กับอันตรายใหญ่หลวงของสภาพแวดล้อมทั้งผืนดิน แผ่นน้ำ และแผ่นฟ้า
จนถึงกับคนบ้าเพ้อฝันบางจำพวกได้ฉกฉวยเป็นโอกาสสร้างเรื่องราวหรือภาพยนตร์เกี่ยวกับวันสิ้นโลกออกมาทำมาหากินกันอย่างครึกโครม ซึ่งแม้ยังไม่เป็นความจริงในวันนี้แต่มันได้สะท้อนให้เห็นถึงอันตรายด้านสภาพแวดล้อมที่กำลังคุกคามมนุษย์ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติของมนุษยชาติ
มันกำหนดให้ยุคสมัยต้องเป็นไปตามสภาพที่เป็นจริง นั่นคือมันได้เปิดฉากยุคสมัยใหม่ที่ทั่วทั้งโลกต้องฝักใฝ่แสวงหาอาหารและน้ำ ตลอดจนการพิทักษ์รักษาทรัพยากรสิ่งแวดล้อมให้ดำรงคงอยู่ให้ดีที่สุดและให้นานที่สุด
เพราะเหตุนั้นทั่วทั้งโลกจึงมุ่งโฉมหน้ามายังประเทศไทยของเรา ซึ่งเป็น 1 ใน 6 ของประเทศที่ผลิตธัญญาหารหล่อเลี้ยงพลโลก และยังมีสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดเมื่อเทียบกับประเทศส่วนใหญ่ในโลก
ประเทศไทยจะกลายเป็นสมรภูมิใหญ่ในการช่วงชิงอาหาร น้ำ และอากาศ ผืนแผ่นดินประเทศไทยจะมีคุณค่ามากกว่าทุกระยะที่ผ่านมา นี่คือชะตากรรมของประเทศไทยและคนไทยที่จะต้องพิทักษ์รักษาหวงแหนและจะต้องทำให้ดินแดนแห่งนี้เป็นศูนย์กลางโลกยุคใหม่ให้จงได้.