“พรรคการเมืองใหม่สู่ธรรมาธิปไตย แก้ไขเหตุวิกฤตชาติ บรรลุประเทศมหาอำนาจเกษตรอุตสาหกรรม เชิดชูสัจธรรมก้องโลก”
มีประชาชนหลายคนทนไม่ได้ ที่คุณทักษิณ โฟนอินอย่างโกหก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขยายความแนวคิดของคุณทักษิณ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ในหลายๆ ประเด็น และเป็นภัยต่อสถาบันหลักของชาติ ดึงสถาบันหลักของชาติมาเป็นประโยชน์ อีกด้านหนึ่งก็ตีตนเสมอ และลิดรอนบ่อนทำลายลงในที่สุด รู้ได้จากแนวคิดของเขาที่ซ่อนอยู่ ซึ่งประชาชนคนธรรมดา ยากที่จะรู้ทัน โปรดติดตาม
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินมาที่กลุ่มแนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง บริเวณสนามหลวง เพื่อเตรียมนำรายชื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับตัวคุณทักษิณเอง เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา ดังข้อความบางตอนตั้งต่อไปนี้
“พี่น้องครับวันนี้พี่น้องมาที่นี่คงไม่ใช่แต่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวผมเพียงลำพังเท่านั้น การมาครั้งนี้พี่น้องครับพี่น้องได้สั่งสมความรู้สึกตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เสียงของท่านถูกโยนทิ้งเมื่อคราวปฏิวัติ การปฏิวัติได้ช่วยเปลี่ยนการปกครองโดยคนส่วนใหญ่เป็นคนส่วนน้อย ความยุติความไม่ยุติธรรมได้เกิดขึ้น ระบบสองมาตรฐานได้เกิดขึ้น ผมเป็นเหยื่อของการถูกรังแก ถูกใส่ร้าย ทำให้พี่น้องต้องเดือดร้อน เพราะพี่น้องมีความทุกข์ พี่น้องอยากมีความสุข พี่น้องก็เดินทางมาพึ่งพระบารมี เพราะพระเจ้าอยู่หัวเป็นของคนไทยทุกคน”
แท้จริง ประเด็นที่หนึ่ง เป็นเรื่องของคุณทักษิณ เพียงคนคนเดียว ไม่มีใครรังแก ไม่มีใครใส่ร้ายคุณทักษิณ จะมีแต่คุณทักษิณ รังแกประชาชนและเอาสมบัติของชาติ ไปเป็นของตน คุณทักษิณทำผิดกฎหมาย และคุณไม่ยอมรับผิด คุณทักษิณเป็นคนพาล และเห็นว่าตนมีเงินมหาศาล จึงดำเนินการทุกอย่างเพื่อตน ขอย้ำว่า การเรียกร้องทางการเมืองเพื่อตนเอง เพื่อคนคนเดียว ย่อมเป็นแนวทางที่ล้าหลัง เป็นแนวทางที่สกปรก
ประเด็นที่สอง คุณทักษิณ ยังเห็นผิด พูดผิด และทำผิด คือ เห็นระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย เห็นรัฐประหารเป็นปฏิวัติ ยังไม่เข้าใจว่าความต่างระหว่างรัฐประหาร (Coup หรือ Coup d’etat) กับการปฏิวัติ (Revolution) สองคำนี้ มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดุจดัง “ดำกับขาวหรือนรกกับสวรรค์” รัฐประหาร ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอในระบอบเผด็จการแบบใดแบบหนึ่ง แต่จะไม่เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างเด็ดขาด เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา อินเดีย เป็นต้น
ในยุคทักษิณ หรือใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 นั้น ความเป็นจริงทางรัฐศาสตร์ เป็นระบอบเผด็จการระบบกึ่ง-ประธานาธิบดี (Semi-Presidential System) หมายความว่า เป็นรูปแบบการปกครองที่มีลักษณะกึ่งแยก กึ่งรวมศูนย์อำนาจ โดยย่อก็คือว่า ฝ่ายบริหารกับฝ่าย นิติบัญญัติแยกกันอยู่ ฝ่ายนิติบัญญัติจะไปเป็นรัฐมนตรี หรือฝ่ายบริหารไม่ได้
เมื่อเนื้อแท้ของการปกครองในยุคทักษิณ เป็นระบอบเผด็จการรูปแบบหนึ่ง และคุณทักษิณเองใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชนและประเทศชาติ นำเงินของชาติไปแจกประชาชนบางกลุ่ม เพื่อเป็นฐานมวลชนทางการเมืองของพรรคตนเอง และทำให้ประชาชนอ่อนแอ ตกเป็นทาสทางการเมืองของคุณทักษิณ ในท้ายที่สุดก็โดนรัฐประหารจนได้
ส่วน การปฏิวัติ (Revolution) การปฏิวัติ คือการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปสู่สิ่งใหม่ทั้งด้านเนื้อหาใหม่ และรูปแบบใหม่ อันเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นไปโดยธรรมชาติ โดยมีผู้นำที่มีปัญญาในด้านต่างๆ ทั้งทางนามธรรม และทางรูปธรรม เช่น การปฏิวัติทางจิตใจไปสู่ความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า การปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศต่างๆ การปฏิวัติทางการเมือง เพื่อก้าวหน้าไปสู่การเมืองโดยธรรมของประชาชนที่มีประสิทธิภาพ เช่น กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นต้น สำหรับประเทศไทย การปฏิวัติทางการเมืองสู่การเมืองใหม่โดยธรรม จะเกิดขึ้นเป็นจริงได้นั้น ประชาชนและผู้นำจะต้องฝึกฝนการวิปัสสนา (Inside Meditation) การปฏิวัติทั้งทางจิตใจ (วิปัสสนา) และทางการเมืองควบคู่กันไป
“พี่น้องครับ ผมได้ทุ่มเททำงานมาโดยตลอด เพราะผมต้องการให้พี่น้องประชาชนมีความสุข รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เป็นรัฐธรรมนูญที่เปิดกว้างให้มีประชาธิปไตยสูงสุดจนเดี๋ยวนี้ผมทำโพลครั้งล่าสุดด้วย ทีมทำโพลทีมเดียวกับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กรุงเทพฯ อย่างเดียวไม่รวมต่างจังหวัด 72% อยากได้รัฐธรรมนูญปี 2540 คืนมา”
ดังได้กล่าวมาเบื้องต้นแล้วว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 นั้น เป็นระบบกึ่ง-ประธานาธิบดี ย่อมเป็นระบบที่ขัดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้ลดพระบรมเดชานุภาพแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ลง แต่กลับเพิ่มอำนาจอย่างรอบด้านให้กับนายกรัฐมนตรี ประหนึ่งเป็นกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง เหตุนี้เอง ในยุคที่ คุณทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ใช้อำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัด และเป็นไปเพื่อความยิ่งใหญ่ของตนเอง มีอำนาจจะทำอะไรก็ได้ และบั่นทอนกระบวนการตรวจสอบทั้งหมดให้พิกลพิการไปหมด และเราจะเห็นได้ว่า บุคคลที่อยากได้รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 คืนมา จนใจจะขาด ล้วนเป็นบุคคลที่เคยโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น เช่น นายเหวง โตจิราการ นายวีระ มุสิกะพงศ์ และแกนนำเสื้อแดงทั้งหลาย ที่ยอมเป็นทาสทางการเมืองให้แก่คุณทักษิณ
จากแนวคิดของคุณทักษิณ ย่อมเห็นชัดว่า คุณทักษิณ เห็นระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย ก็เท่ากับว่า คุณทักษิณ กำลังหลอก ครอบงำให้ประชาชนหลงทางไปสู่นรกต่อไป
รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 เป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ เช่นเดียวกับรัฐธรรมไทยทุกฉบับที่เคยมีมาและกำลังใช้อยู่
มิจฉาทิฐิอย่างไร เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มี หลักการปกครอง (Principle of Government) โดยธรรม เป็นแกนกลาง มีแต่เพียง วิธีการปกครอง (Methods of Government) ซึ่งได้แก่หมด และมาตราต่างๆ แท้จริงรัฐธรรมนูญไทยก็เป็นเพียงกฎหมายธรรมดาๆ เท่านั้นเอง คือในแต่ละมาตรามีอำนาจให้ทำอย่างนั้น และไม่ให้ทำอย่างนั้นอันเป็นภาษากฎหมาย ยากแก่การเข้าใจ เลยทำให้ประชาชน หรือแม้แต่นักกฎหมายด้วยกันเอง ก็ยากที่จะเข้าใจได้ แม้แต่รัฐบาลก็ยังต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความ เป็นต้น
รัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นรัฐธรรมนูญที่เมื่อนำมาใช้แล้วย่อมเกิดอันตรายต่อประเทศชาติและประชาชนเสมอไป (แต่ผู้ปกครองกลับมองไม่เห็น) เป็นระบบการเมืองที่ยากต่อความเข้าใจของประชาชน ด้วยเหตุนี้เองประชาชนก็ถูกชักจูงให้รับใช้บุคคลและเป็นไปในทิศทางที่ นักการเมืองชั่ว ต้องการและเป็นไปด้วยการซื้อเสียง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จะเห็นได้ว่าการเมืองไทย ยิ่งเลือกตั้งยิ่งแย่ นักเมืองเองก็ยิ่งแย่ลงๆ จนประหนึ่งว่านักการเมืองกลายเป็นกลุ่มพวกคนเลวและยากที่จะแก้ไข
แท้จริงในความหมายของคำว่า “นักการเมือง” จริงๆ แท้ๆ ประดุจดัง “พระโพธิสัตว์” แต่นักการเมืองไทยยุคปัจจุบัน กลับไม่มีพระโพธิ เหลือแต่... ทั้งนี้ก็เพราะเป็นนักการเมืองของระบอบมิจฉาทิฐินั่นเอง เรียกในทางรัฐศาสตร์ ว่าเป็น ระบอบเผด็จการรัฐสภา เรียกเต็มๆ ว่า ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา เพราะใช้ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มาเป็นรูปแบบการปกครอง (Form of Government)
การปกครองที่ไม่มีหลักการปกครอง ย่อมเป็นการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ อยู่ที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เพราะเป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครอง ย่อมเป็นอันตรายต่อชาติและประชาชนเสมอไป บางทีนักการเมืองก็ไม่รู้หรอก แต่ประชาชนและปัญญาชนโดยทั่วไปย่อมรู้ว่า ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศเก่าแก่ เจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่กลับกลายเป็นว่าประเทศไทยได้ตกต่ำลงๆ ทรุดลงๆ ล้าหลังกว่าประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลี เป็นต้น
ถึงแม้ว่า เราจะมีศาสนาอย่างดีที่สุด เรามีพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุด ประชาชนจิตใจดีที่สุด แต่ก็ไม่อาจต้านทานความเลวร้ายจากการปกครองแบบมิจฉาทิฐิที่ครอบงำ นี่ได้
ในทางที่ถูกต้องโดยธรรม การปกครองจะต้องมีองค์ประกอบสำคัญอยู่สองด้านคือ ส่วนของหลักการปกครองกับส่วนของวิธีการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ ได้แก่มาตราต่างๆ โดยหลักการปกครองจะต้องได้รับการสถาปนาจากพระเจ้าแผ่นดิน ก่อนที่จะมีการยกร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ และอำนาจทางการเมืองอยู่ที่หลักการปกครองโดยธรรม โดยมีรากฐานมาจากแก่นแท้ของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้หลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นหลักนิติธรรม และเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศชาติอย่างแท้จริง การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 โดยพระเจ้าแผ่นดิน เหตุแห่งวิกฤตชาติ ก็จะสลายหายไป ความถูกต้อง ความเจริญก้าวหน้า ความมั่นคง ความมั่งคั่ง ความยิ่งใหญ่ของชาติจะกลับคืนมา
เมื่อได้รู้ วิธีคิดของคุณทักษิณ ชินวัตร แล้ว คุณทักษิณ ได้ “ถวายสัตย์ฯ ว่า ข้าพเจ้าและครอบครัวจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์...” หาเป็นความจริงไม่ เป็นเพียงยุทธวิธีหนึ่งของการต่อสู้ของคุณทักษิณและแกนนำกลุ่มเสื้อแดง และหากผู้ปกครองหลงผิดจะพาชาติล่มจมต่อไป
มีประชาชนหลายคนทนไม่ได้ ที่คุณทักษิณ โฟนอินอย่างโกหก จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องขยายความแนวคิดของคุณทักษิณ ที่ซ่อนอยู่เบื้องหลัง ในหลายๆ ประเด็น และเป็นภัยต่อสถาบันหลักของชาติ ดึงสถาบันหลักของชาติมาเป็นประโยชน์ อีกด้านหนึ่งก็ตีตนเสมอ และลิดรอนบ่อนทำลายลงในที่สุด รู้ได้จากแนวคิดของเขาที่ซ่อนอยู่ ซึ่งประชาชนคนธรรมดา ยากที่จะรู้ทัน โปรดติดตาม
พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินมาที่กลุ่มแนวร่วมกลุ่มคนเสื้อแดง บริเวณสนามหลวง เพื่อเตรียมนำรายชื่อยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้กับตัวคุณทักษิณเอง เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 17 สิงหาคม ที่ผ่านมา ดังข้อความบางตอนตั้งต่อไปนี้
“พี่น้องครับวันนี้พี่น้องมาที่นี่คงไม่ใช่แต่เรื่องที่เกี่ยวกับตัวผมเพียงลำพังเท่านั้น การมาครั้งนี้พี่น้องครับพี่น้องได้สั่งสมความรู้สึกตลอดเวลา 3 ปีที่ผ่านมา เสียงของท่านถูกโยนทิ้งเมื่อคราวปฏิวัติ การปฏิวัติได้ช่วยเปลี่ยนการปกครองโดยคนส่วนใหญ่เป็นคนส่วนน้อย ความยุติความไม่ยุติธรรมได้เกิดขึ้น ระบบสองมาตรฐานได้เกิดขึ้น ผมเป็นเหยื่อของการถูกรังแก ถูกใส่ร้าย ทำให้พี่น้องต้องเดือดร้อน เพราะพี่น้องมีความทุกข์ พี่น้องอยากมีความสุข พี่น้องก็เดินทางมาพึ่งพระบารมี เพราะพระเจ้าอยู่หัวเป็นของคนไทยทุกคน”
แท้จริง ประเด็นที่หนึ่ง เป็นเรื่องของคุณทักษิณ เพียงคนคนเดียว ไม่มีใครรังแก ไม่มีใครใส่ร้ายคุณทักษิณ จะมีแต่คุณทักษิณ รังแกประชาชนและเอาสมบัติของชาติ ไปเป็นของตน คุณทักษิณทำผิดกฎหมาย และคุณไม่ยอมรับผิด คุณทักษิณเป็นคนพาล และเห็นว่าตนมีเงินมหาศาล จึงดำเนินการทุกอย่างเพื่อตน ขอย้ำว่า การเรียกร้องทางการเมืองเพื่อตนเอง เพื่อคนคนเดียว ย่อมเป็นแนวทางที่ล้าหลัง เป็นแนวทางที่สกปรก
ประเด็นที่สอง คุณทักษิณ ยังเห็นผิด พูดผิด และทำผิด คือ เห็นระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย เห็นรัฐประหารเป็นปฏิวัติ ยังไม่เข้าใจว่าความต่างระหว่างรัฐประหาร (Coup หรือ Coup d’etat) กับการปฏิวัติ (Revolution) สองคำนี้ มีความหมายแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดุจดัง “ดำกับขาวหรือนรกกับสวรรค์” รัฐประหาร ย่อมเกิดขึ้นได้เสมอในระบอบเผด็จการแบบใดแบบหนึ่ง แต่จะไม่เกิดขึ้นในประเทศที่เป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างเด็ดขาด เช่น อังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา อินเดีย เป็นต้น
ในยุคทักษิณ หรือใช้รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 นั้น ความเป็นจริงทางรัฐศาสตร์ เป็นระบอบเผด็จการระบบกึ่ง-ประธานาธิบดี (Semi-Presidential System) หมายความว่า เป็นรูปแบบการปกครองที่มีลักษณะกึ่งแยก กึ่งรวมศูนย์อำนาจ โดยย่อก็คือว่า ฝ่ายบริหารกับฝ่าย นิติบัญญัติแยกกันอยู่ ฝ่ายนิติบัญญัติจะไปเป็นรัฐมนตรี หรือฝ่ายบริหารไม่ได้
เมื่อเนื้อแท้ของการปกครองในยุคทักษิณ เป็นระบอบเผด็จการรูปแบบหนึ่ง และคุณทักษิณเองใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมต่อประชาชนและประเทศชาติ นำเงินของชาติไปแจกประชาชนบางกลุ่ม เพื่อเป็นฐานมวลชนทางการเมืองของพรรคตนเอง และทำให้ประชาชนอ่อนแอ ตกเป็นทาสทางการเมืองของคุณทักษิณ ในท้ายที่สุดก็โดนรัฐประหารจนได้
ส่วน การปฏิวัติ (Revolution) การปฏิวัติ คือการพัฒนาอย่างก้าวกระโดดไปสู่สิ่งใหม่ทั้งด้านเนื้อหาใหม่ และรูปแบบใหม่ อันเป็นกฎเกณฑ์ที่เป็นไปโดยธรรมชาติ โดยมีผู้นำที่มีปัญญาในด้านต่างๆ ทั้งทางนามธรรม และทางรูปธรรม เช่น การปฏิวัติทางจิตใจไปสู่ความบริสุทธิ์อันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า การปฏิวัติอุตสาหกรรมในประเทศต่างๆ การปฏิวัติทางการเมือง เพื่อก้าวหน้าไปสู่การเมืองโดยธรรมของประชาชนที่มีประสิทธิภาพ เช่น กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นต้น สำหรับประเทศไทย การปฏิวัติทางการเมืองสู่การเมืองใหม่โดยธรรม จะเกิดขึ้นเป็นจริงได้นั้น ประชาชนและผู้นำจะต้องฝึกฝนการวิปัสสนา (Inside Meditation) การปฏิวัติทั้งทางจิตใจ (วิปัสสนา) และทางการเมืองควบคู่กันไป
“พี่น้องครับ ผมได้ทุ่มเททำงานมาโดยตลอด เพราะผมต้องการให้พี่น้องประชาชนมีความสุข รัฐธรรมนูญปี 2540 ที่เป็นรัฐธรรมนูญที่เปิดกว้างให้มีประชาธิปไตยสูงสุดจนเดี๋ยวนี้ผมทำโพลครั้งล่าสุดด้วย ทีมทำโพลทีมเดียวกับนายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา กรุงเทพฯ อย่างเดียวไม่รวมต่างจังหวัด 72% อยากได้รัฐธรรมนูญปี 2540 คืนมา”
ดังได้กล่าวมาเบื้องต้นแล้วว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 นั้น เป็นระบบกึ่ง-ประธานาธิบดี ย่อมเป็นระบบที่ขัดต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ และได้ลดพระบรมเดชานุภาพแห่งสถาบันพระมหากษัตริย์ลง แต่กลับเพิ่มอำนาจอย่างรอบด้านให้กับนายกรัฐมนตรี ประหนึ่งเป็นกษัตริย์อีกองค์หนึ่ง เหตุนี้เอง ในยุคที่ คุณทักษิณ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ใช้อำนาจอย่างไม่มีขีดจำกัด และเป็นไปเพื่อความยิ่งใหญ่ของตนเอง มีอำนาจจะทำอะไรก็ได้ และบั่นทอนกระบวนการตรวจสอบทั้งหมดให้พิกลพิการไปหมด และเราจะเห็นได้ว่า บุคคลที่อยากได้รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 คืนมา จนใจจะขาด ล้วนเป็นบุคคลที่เคยโจมตีสถาบันพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น เช่น นายเหวง โตจิราการ นายวีระ มุสิกะพงศ์ และแกนนำเสื้อแดงทั้งหลาย ที่ยอมเป็นทาสทางการเมืองให้แก่คุณทักษิณ
จากแนวคิดของคุณทักษิณ ย่อมเห็นชัดว่า คุณทักษิณ เห็นระบอบเผด็จการเป็นระบอบประชาธิปไตย ก็เท่ากับว่า คุณทักษิณ กำลังหลอก ครอบงำให้ประชาชนหลงทางไปสู่นรกต่อไป
รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 40 เป็นรัฐธรรมนูญมิจฉาทิฐิ เช่นเดียวกับรัฐธรรมไทยทุกฉบับที่เคยมีมาและกำลังใช้อยู่
มิจฉาทิฐิอย่างไร เป็นรัฐธรรมนูญที่ไม่มี หลักการปกครอง (Principle of Government) โดยธรรม เป็นแกนกลาง มีแต่เพียง วิธีการปกครอง (Methods of Government) ซึ่งได้แก่หมด และมาตราต่างๆ แท้จริงรัฐธรรมนูญไทยก็เป็นเพียงกฎหมายธรรมดาๆ เท่านั้นเอง คือในแต่ละมาตรามีอำนาจให้ทำอย่างนั้น และไม่ให้ทำอย่างนั้นอันเป็นภาษากฎหมาย ยากแก่การเข้าใจ เลยทำให้ประชาชน หรือแม้แต่นักกฎหมายด้วยกันเอง ก็ยากที่จะเข้าใจได้ แม้แต่รัฐบาลก็ยังต้องส่งให้กฤษฎีกาตีความ เป็นต้น
รัฐธรรมนูญที่ไม่มีหลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นรัฐธรรมนูญที่เมื่อนำมาใช้แล้วย่อมเกิดอันตรายต่อประเทศชาติและประชาชนเสมอไป (แต่ผู้ปกครองกลับมองไม่เห็น) เป็นระบบการเมืองที่ยากต่อความเข้าใจของประชาชน ด้วยเหตุนี้เองประชาชนก็ถูกชักจูงให้รับใช้บุคคลและเป็นไปในทิศทางที่ นักการเมืองชั่ว ต้องการและเป็นไปด้วยการซื้อเสียง ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จะเห็นได้ว่าการเมืองไทย ยิ่งเลือกตั้งยิ่งแย่ นักเมืองเองก็ยิ่งแย่ลงๆ จนประหนึ่งว่านักการเมืองกลายเป็นกลุ่มพวกคนเลวและยากที่จะแก้ไข
แท้จริงในความหมายของคำว่า “นักการเมือง” จริงๆ แท้ๆ ประดุจดัง “พระโพธิสัตว์” แต่นักการเมืองไทยยุคปัจจุบัน กลับไม่มีพระโพธิ เหลือแต่... ทั้งนี้ก็เพราะเป็นนักการเมืองของระบอบมิจฉาทิฐินั่นเอง เรียกในทางรัฐศาสตร์ ว่าเป็น ระบอบเผด็จการรัฐสภา เรียกเต็มๆ ว่า ระบอบเผด็จการระบบรัฐสภา เพราะใช้ระบบรัฐสภา (Parliamentary System) มาเป็นรูปแบบการปกครอง (Form of Government)
การปกครองที่ไม่มีหลักการปกครอง ย่อมเป็นการปกครองที่รวมศูนย์อำนาจ อยู่ที่นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เพราะเป็นผู้ใช้อำนาจในการปกครอง ย่อมเป็นอันตรายต่อชาติและประชาชนเสมอไป บางทีนักการเมืองก็ไม่รู้หรอก แต่ประชาชนและปัญญาชนโดยทั่วไปย่อมรู้ว่า ทั้งๆ ที่ประเทศไทยเป็นประเทศเก่าแก่ เจริญรุ่งเรืองมาก่อน แต่กลับกลายเป็นว่าประเทศไทยได้ตกต่ำลงๆ ทรุดลงๆ ล้าหลังกว่าประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เช่น มาเลเซีย สิงคโปร์ เกาหลี เป็นต้น
ถึงแม้ว่า เราจะมีศาสนาอย่างดีที่สุด เรามีพระมหากษัตริย์ที่ดีที่สุด ประชาชนจิตใจดีที่สุด แต่ก็ไม่อาจต้านทานความเลวร้ายจากการปกครองแบบมิจฉาทิฐิที่ครอบงำ นี่ได้
ในทางที่ถูกต้องโดยธรรม การปกครองจะต้องมีองค์ประกอบสำคัญอยู่สองด้านคือ ส่วนของหลักการปกครองกับส่วนของวิธีการปกครองหรือรัฐธรรมนูญ ได้แก่มาตราต่างๆ โดยหลักการปกครองจะต้องได้รับการสถาปนาจากพระเจ้าแผ่นดิน ก่อนที่จะมีการยกร่างหรือแก้ไขรัฐธรรมนูญ และอำนาจทางการเมืองอยู่ที่หลักการปกครองโดยธรรม โดยมีรากฐานมาจากแก่นแท้ของชาติ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ นอกจากนี้หลักการปกครองโดยธรรม ย่อมเป็นหลักนิติธรรม และเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศชาติอย่างแท้จริง การสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 โดยพระเจ้าแผ่นดิน เหตุแห่งวิกฤตชาติ ก็จะสลายหายไป ความถูกต้อง ความเจริญก้าวหน้า ความมั่นคง ความมั่งคั่ง ความยิ่งใหญ่ของชาติจะกลับคืนมา
เมื่อได้รู้ วิธีคิดของคุณทักษิณ ชินวัตร แล้ว คุณทักษิณ ได้ “ถวายสัตย์ฯ ว่า ข้าพเจ้าและครอบครัวจะจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์...” หาเป็นความจริงไม่ เป็นเพียงยุทธวิธีหนึ่งของการต่อสู้ของคุณทักษิณและแกนนำกลุ่มเสื้อแดง และหากผู้ปกครองหลงผิดจะพาชาติล่มจมต่อไป