ASTVผู้จัดการรายวัน-ลุ้นกฎหมายค้าปลีกเข้าครม.วันนี้ หลังยำรวมร่างพาณิชย์-ทีทีอาร์เรียบร้อยแล้ว กำหนดมีบอร์ดใหญ่ส่วนกลางชุดเดียว ปลัดพาณิชย์ประธาน ทำหน้าที่กำหนดนโยบายและออกใบอนุญาต พร้อมขอครม.ตัดสิน จะระบุขนาดธุรกิจลงในกฎหมายเลยหรือออกเป็นกฎกระทรวงภายหลัง นักวิชาการติงบอร์ดมีอำนาจล้นฟ้า ควรมีกติกาคุม
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา หลังจากที่ได้ไปดำเนินการรวมร่างกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์เข้ากับร่างของผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์) ตามมติครม. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสาระสำคัญได้กำหนดให้มีคณะกรรมการการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเพียงชุดเดียว มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานทำหน้าที่กำหนดกรอบนโยบายการค้าปลีกค้าส่ง และพิจารณาออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ
ทั้งนี้ เพื่อให้การดูแลการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในระดับจังหวัดเป็นไปตามความต้องการของท้องถิ่น คณะกรรมการฯ สามารถตั้งคณะอนุกรรมการฯ ในระดับจังหวัดเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการตั้งหรือขายสาขาของค้าปลีกค้าส่งในจังหวัดนั้นๆ รวมทั้งการรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ก่อนที่จะเสนอความเห็นให้คณะกรรมการฯ ชุดใหญ่พิจารณาต่อไป
สำหรับการแบ่งขนาดของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ต้องขออนุญาต ได้กำหนดตามเดิม 4 ขนาด คือ ร้านค้าขนาดใหญ่มาก พื้นที่ 3,000 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องมีระยะห่างจากเขตเทศบาลไม่ต่ำกว่า 10 กม. เวลาเปิดปิด 12-16 ชั่วโมง ร้านค้าขนาดใหญ่ พื้นที่ 1,000-2,999 ตารางเมตร ต้องห่างเขตเทศบาลไม่ต่ำกว่า 5 กม. เวลาเปิดปิด 12-16 ชั่วโมง ร้านค้าขนาดกลางพื้นที่ 300-999 ตารางเมตรต้องห่างจากเขตเทศบาลไม่ต่ำกว่า 3 กม. เวลาเปิดปิด 12-16 ชั่วโมง และร้านค้าขนาดเล็ก พื้นที่ 120-299 ตารางเมตร ต้องห่างจากเขตเทศบาลไม่ต่ำกว่า 1 กม.ไม่กำหนดระยะเวลาเปิดปิด
“การกำหนดขนาดของธุรกิจที่ต้องขออนุญาต กระทรวงพาณิชย์อยากให้เขียนไว้ในกฎหมายเลย แต่ทางทีทีอาร์ต้องการให้ออกเป็นกฎกระทรวงในภายหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเสนอให้ครม.พิจารณาตัดสินใจว่าควรจะใช้แนวทางใด”นายยรรยงกล่าว
ส่วนการตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาค้าปลีกค้าส่งรายย่อย (โชวห่วย) ทั้งกระทรวงพาณิชย์และทีทีอาร์เห็นตรงกันว่าควรจะมี
นายไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ นักวิจัยสถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า การออกกฎหมายค้าปลีก รัฐบาลควรที่จะให้ความสำคัญในเรื่องของการอนุญาตให้เปิดหรือขยายสาขา เพราะหากกรรมการเลือกใช้ดุลยพินิจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เปิดสาขาในบางท้องที่ อาจจะส่งผลกระทบทั้งต่อผู้ประกอบการ และผู้บริโภคจึงต้องมีการกำหนดกรอบหรือกติกาที่ชัดเจน เช่น ท้องถิ่นไหน ประชากรเท่าไร สามารถเปิดสาขาได้หรือเปิดไม่ หากเป็นไปตามกติกา ก็ไม่ควรปิดกั้น ส่วนการดูแลโชวห่วยเห็นว่า รัฐบาลควรจะต้องมีหน่วยงานเฉพาะเข้ามาดูแล และต้องสนับสนุนด้านการเงินโดยสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อให้โชวห่วยสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ และรองรับการแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า การยุบคณะกรรมการตามกฎหมายเหลือเพียงชุดเดียว และให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน จากเดิมที่มีรมว.พาณิชย์เป็นประธาน เพื่อป้องกันข้อครหาการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวในการออกใบอนุญาต ส่วนการยุบคณะกรรมการระดับจังหวัด ก็ป้องกันปัญหาการล๊อบบี้ในระดับจังหวัด แต่หากจังหวัดไหนมีปัญหาการต่อต้านมาก ก็ให้ตั้งคณะอนุกรรมการระดับจังหวัดเข้าไปดูแล และให้เสนอแนะคณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ส่วนการกำหนดขนาด กระทรวงพาณิชย์ต้องการให้ระบุไว้ในกฎหมายเลยเพื่อให้เกิดความชัดเจน แต่ทีทีอาร์อยากให้ออกเป็นกฎกระทรวงในภายหลัง สำหรับการตั้งกองทุนดูแลโชวห่วยมีความเห็นตรงกันว่าควรจะมี
นายยรรยง พวงราช ปลัดกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า กระทรวงพาณิชย์จะเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณา หลังจากที่ได้ไปดำเนินการรวมร่างกฎหมายของกระทรวงพาณิชย์เข้ากับร่างของผู้แทนการค้าไทย (ทีทีอาร์) ตามมติครม. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยสาระสำคัญได้กำหนดให้มีคณะกรรมการการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งเพียงชุดเดียว มีปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธานทำหน้าที่กำหนดกรอบนโยบายการค้าปลีกค้าส่ง และพิจารณาออกใบอนุญาตการประกอบธุรกิจ
ทั้งนี้ เพื่อให้การดูแลการประกอบธุรกิจค้าปลีกค้าส่งในระดับจังหวัดเป็นไปตามความต้องการของท้องถิ่น คณะกรรมการฯ สามารถตั้งคณะอนุกรรมการฯ ในระดับจังหวัดเพื่อพิจารณาความจำเป็นในการตั้งหรือขายสาขาของค้าปลีกค้าส่งในจังหวัดนั้นๆ รวมทั้งการรับฟังความเห็นจากประชาชนในพื้นที่ ก่อนที่จะเสนอความเห็นให้คณะกรรมการฯ ชุดใหญ่พิจารณาต่อไป
สำหรับการแบ่งขนาดของธุรกิจค้าปลีกค้าส่งที่ต้องขออนุญาต ได้กำหนดตามเดิม 4 ขนาด คือ ร้านค้าขนาดใหญ่มาก พื้นที่ 3,000 ตารางเมตรขึ้นไป ต้องมีระยะห่างจากเขตเทศบาลไม่ต่ำกว่า 10 กม. เวลาเปิดปิด 12-16 ชั่วโมง ร้านค้าขนาดใหญ่ พื้นที่ 1,000-2,999 ตารางเมตร ต้องห่างเขตเทศบาลไม่ต่ำกว่า 5 กม. เวลาเปิดปิด 12-16 ชั่วโมง ร้านค้าขนาดกลางพื้นที่ 300-999 ตารางเมตรต้องห่างจากเขตเทศบาลไม่ต่ำกว่า 3 กม. เวลาเปิดปิด 12-16 ชั่วโมง และร้านค้าขนาดเล็ก พื้นที่ 120-299 ตารางเมตร ต้องห่างจากเขตเทศบาลไม่ต่ำกว่า 1 กม.ไม่กำหนดระยะเวลาเปิดปิด
“การกำหนดขนาดของธุรกิจที่ต้องขออนุญาต กระทรวงพาณิชย์อยากให้เขียนไว้ในกฎหมายเลย แต่ทางทีทีอาร์ต้องการให้ออกเป็นกฎกระทรวงในภายหลัง ซึ่งเป็นเรื่องที่จะเสนอให้ครม.พิจารณาตัดสินใจว่าควรจะใช้แนวทางใด”นายยรรยงกล่าว
ส่วนการตั้งกองทุนเพื่อพัฒนาค้าปลีกค้าส่งรายย่อย (โชวห่วย) ทั้งกระทรวงพาณิชย์และทีทีอาร์เห็นตรงกันว่าควรจะมี
นายไพโรจน์ วงศ์วิภานนท์ นักวิจัยสถาบันวิจัยสังคมและเศรษฐกิจ มหาวิทยาลัยธุรกิจบัณฑิตย์ กล่าวว่า การออกกฎหมายค้าปลีก รัฐบาลควรที่จะให้ความสำคัญในเรื่องของการอนุญาตให้เปิดหรือขยายสาขา เพราะหากกรรมการเลือกใช้ดุลยพินิจในการอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้เปิดสาขาในบางท้องที่ อาจจะส่งผลกระทบทั้งต่อผู้ประกอบการ และผู้บริโภคจึงต้องมีการกำหนดกรอบหรือกติกาที่ชัดเจน เช่น ท้องถิ่นไหน ประชากรเท่าไร สามารถเปิดสาขาได้หรือเปิดไม่ หากเป็นไปตามกติกา ก็ไม่ควรปิดกั้น ส่วนการดูแลโชวห่วยเห็นว่า รัฐบาลควรจะต้องมีหน่วยงานเฉพาะเข้ามาดูแล และต้องสนับสนุนด้านการเงินโดยสถาบันการเงินของรัฐ เพื่อให้โชวห่วยสามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำธุรกิจ และรองรับการแข่งขันได้มากยิ่งขึ้น
รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า การยุบคณะกรรมการตามกฎหมายเหลือเพียงชุดเดียว และให้ปลัดกระทรวงพาณิชย์เป็นประธาน จากเดิมที่มีรมว.พาณิชย์เป็นประธาน เพื่อป้องกันข้อครหาการเมืองเข้ามายุ่งเกี่ยวในการออกใบอนุญาต ส่วนการยุบคณะกรรมการระดับจังหวัด ก็ป้องกันปัญหาการล๊อบบี้ในระดับจังหวัด แต่หากจังหวัดไหนมีปัญหาการต่อต้านมาก ก็ให้ตั้งคณะอนุกรรมการระดับจังหวัดเข้าไปดูแล และให้เสนอแนะคณะกรรมการชุดใหญ่พิจารณาว่าจะอนุญาตหรือไม่อนุญาต ส่วนการกำหนดขนาด กระทรวงพาณิชย์ต้องการให้ระบุไว้ในกฎหมายเลยเพื่อให้เกิดความชัดเจน แต่ทีทีอาร์อยากให้ออกเป็นกฎกระทรวงในภายหลัง สำหรับการตั้งกองทุนดูแลโชวห่วยมีความเห็นตรงกันว่าควรจะมี
