ASTVผู้จัดการรายวัน - เรียกทูตคาซัคสถาน-ล่ามรัสเซียร่วมสอบปากคำ 5 นักบินลอบขนอาวุธสงครามข้ามชาติที่กองปราบฯ ทั้งหมดยังปฏิเสธ อ้างไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง ร้องขอสิทธิเสื้อผ้า ห้องน้ำ แจ้ง 2 ข้อหาหนัก ทำประวัติอาชญากร ก่อนนำตัวฝากขังผลัดแรก ค้านประกัน นายกฯ ให้ทำตามมติสหประชาชาติ-กฎหมายไทย รองโฆษกบัวแก้วให้คณะทูตถาวรไทยนครนิวยอร์กรายงานให้ยูเอ็นทราบภายใน 45 วัน “เทือก” ลั่นงานนี้ไม่ได้ฟลุก
วานนี้ (13 ธ.ค.) เมื่อเวลา 08.00 น.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เจ้าหน้าที่ทูตคาซัคสถานประจำประเทศไทย จำนวน 2 คน และล่ามสาวชาวรัสเซีย จำนวน 1 คน ได้เดินทางมาที่กองปราบเพื่อร่วมทำการสอบปากคำผู้ต้องหาที่ลักลอบขนอาวุธสงครามข้ามชาติทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายอเล็กซ์ซานดรา ไซรเนฟ อายุ 53 ปี นายวิคเตอร์ อัลดุลลายาฟ อายุ 58 ปี นายวิทาลี ซุนดอฟ อายุ 54 ปี นายอิลยาส อิสซาคอฟ อายุ 53 ปี ทั้งหมดสัญชาติคาซัคสถาน และนายมิคาอิล พีทูคู อายุ 54 ปี สัญชาติ เบลารุส โดยผู้ต้องหามีสีหน้าเรียบเฉยปกติ ซึ่งก่อนทำการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ได้นำอาหารเช้าเป็นไส้กรอกไข่ดาว ขนมปัง และกาแฟ มาให้กับผู้ต้องหา โดยเมื่อคืนที่ผ่านมาผู้ต้องหาทั้งหมดได้ถูกควบคุมตัวไว้ที่ห้องขังของกองปราบปราม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หน่วยคอมมานโดสลับสับเปลี่ยนเวรกันคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
ต่อมาเวลา 10.00 น. พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อร่วมทำการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 5 โดย พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า จะนำข้อมูลการสอบปากคำไปรายงานต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เพื่อเตรียมแถลงผลการสอบปากคำอย่างเป็นทางการในวันนี้ (14 ธ.ค.) จากการสอบปากคำเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 5 ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนอาวุธสงครมดังกล่าว พร้มอทั้งเรียกร้องสิทธิมนุษยชนจากไทย โดยการขอเครื่องนุ่มห่มและห้องน้ำ
ผู้ต้องหาทั้งหมดอยากทราบขั้นตอนเกี่ยวการดำเนินการทางกระบวนการยุติธรรมของไทย ตนจึงได้รายงานผ่านล่ามรัสเซียไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ทางสถานทูตและผู้ต้องหาได้ร้องขอทางสิทธิมนุษยชนนั้น ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดให้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ทางสถานทูตยังขอให้ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการในส่วนของการประกันตัวให้ ซึ่งตนได้อธิบายไปแล้วว่าทางเจ้าหน้าที่ได้คัดค้านการประกันตัว แต่หากประขอประกันตัวในชั้นศาลก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่สามารถทำได้ สำหรับคดีดังกล่าวเป็นหน้าที่ของตำรวจไทยจะทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไปและจะรายงานความคืบหน้าทั้งหมดให้นายสุเทพ ในช่วงบ่ายของวันนี้
“เรื่องการสอบปากคำผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น ส่วนข้อมูลที่จะมีการนำเสนอต่อที่ประชุมประกอบด้วย 1.คำให้การของผู้ต้องหา 2.เอกสารหลักฐานที่ตรวจยึดได้จากเครื่องบิน และ3.ข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ และในวันพรุ่งนี้ (14 ธ.ค.) จะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลอาญารัชดาผลัดแรก ในเวลา 10.00 น. ส่วนจะมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล”พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าว
หลังสอบสวนนาน 6 ชั่วโมง นายมิคาอิล พีทูคู ชาวเบลาลุส กัปตันเครื่องบินสัญชาติจอร์เจีย ให้การผ่านล่ามชาวรัสเซียว่า เส้นทางการบินของเครื่อง มีต้นทางจากประเทศยูเครน มารับสินค้าที่เกาหลีเหนือ โดยมีกำหนดการแวะเติมน้ำมัน 3 ครั้ง คือ ที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไทย ส่วนเส้นทางกลับจะแวะที่ดอนเมือง และศรีลังกา เพื่อไปส่งของที่ประเทศยูเครน แต่กลับมาถูกจับกุมเสียก่อน
นายมิคาอิลยืนยันไม่รู้เห็นกับการขนอาวุธ ทำหน้าที่เพียงรับจ้างขับเครื่องบินมารับสินค้า พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน ส่วนข้อมูลด้านอื่นขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยถึงกรณีที่ กำลังทหารและตำรวจไทยสามารถจับกุมตัวนักค้าอาวุธข้ามชาติ จำนวน 5 คนได้พร้อมเครื่องบินเช่าเหมาลำสัญชาติจอร์เจีย ที่ลักลอบขนขีปนาวุธจำนวนมากจากเกาหลีเหนือ ก่อนแวะมาทำการจอดเติมน้ำมันที่สนามบินดอนเมืองเมื่อวานนี้ ว่า เมื่อ 2 วันก่อนตนพอทราบว่า จะมีเรื่องในทำนองนี้เกิดขึ้น แต่หลังจากที่กำลังทหารกับตำรวจเข้าทำการตรวจค้นและจับกุมลูกเรือโดยสารในเครื่องบินลำดังกล่าวได้พร้อมกับอาวุธจำนวนมากนั้น ตนยังไม่ได้รับรายงานใดๆ เพิ่มเติม ซึ่งเราจะต้องระมัดระวังในคำพูดคำจาและการนำเสนอข่าว เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทั้งการดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสิ่งที่เกี่ยวพันกับผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลจากหลายสัญชาติ แต่ตนขอยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับการขนส่งขีปนาวุธในครั้งนี้ และเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศไทยแต่อย่างใด
“เราจะต้องศึกษาข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ลึกซึ้ง โดยตนจะติดตามและดูแลเรื่องนี้ให้เป็นอย่างดีที่สุด ส่วนเรื่องนักบินและลูกเรือที่ถูกจับกุมได้ก็จะมีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ของประเทศต้นสังกัดให้ทราบ และรวบรวมเอกสารพยานหลักฐานในการออกหมายจับตามกฎหมายโดยมีคนไทยเป็นผู้ดำเนินคดีเนื่องจากกรณีนี้เป็นความผิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย สำหรับเรื่องที่ลึกซึ้งมากกว่านี้ตนจะขอยังไม่พูด จะต้องรอให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้นมาก่อน ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าน่าจะมีความชัดเจนมากกว่านี้ ประกอบกับตนต้องเป็นผู้เปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนชาวไทย ชาวต่างชาติและต้องรายงานให้ยูเอ็นทราบอยู่แล้ว” นายสุเทพ กล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น. ตำรวจกองบังคับการปราบปรามได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คนไปพิมพ์ลายนิ้ว มือ และทำประวัติอาชญากร พร้อมแจ้งข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดเข้าควบคุมตัวไว้ที่ห้องขังของกองปราบปราม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หน่วยคอมมานโดสลับสับเปลี่ยนเวรกันคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
**นายกฯ ให้ทำตามมติ UN-กม.ไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการจับกุมเครื่องบินลักลอบขนอาวุสงครามจำนวน 40 ตัน ที่สนามบินดอนเมืองว่า ทั้งหมดต้องดำเนินการตามข้อมติของสหประชาชาติกับกฎหมายไทย ขณะนี้การสืบสวนสอบสวนก็คืบหน้าไปพอสมควร การตั้งข้อหาต่างๆ เป็นไปตามหลักสากลจะต้องทำอย่างแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสิ่งของ คงจะเสร็จเรียบร้อยเร็วๆ นี้
"ผู้ต้องหาทั้งหมดจะต้องถูกดำเนินคดีในไทย และดำเนินการอยู่ในขณะนี้เพราะถือว่ามีความผิดที่เกิดขึ้นที่นี่ในเรื่องการครอบครอง สิ่งของซึ่งไม่ได้สำแดงและเป็นอาวุธ สำแดงเท็จเพราะแจ้งว่า ของที่อยู่ในนั้นกับของที่พบจริงมันไม่เหมือนกัน สองของที่พบจริงเป็นเรื่องของอาวุธ ซึ่งมีความผิดด้วย" นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า เครื่องลงวันศุกร์ที่ 11 ธ.ค. มีเบาะแสและมีการทำงานทางการข่าวร่วมว่าเครื่องบินนี้ต้องสงสัย เมื่อมาจอดเติมน้ำมัน มีการเข้าไปค้นและก็เจอ
ส่วนทางการไทยได้รับแจ้งจากสหรัฐฯใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราทำงานร่วมกันกับประเทศอื่นๆ ได้รับข่าวสารมา จากการข่าวร่วมอาจจะมีกรณีนี้เกิดขึ้นก็ให้ดำเนินการตามมติของสหประชาชาติกับกฎหมายภายในของเรา เนื่องจากของหนักมาก จึงเติมน้ำมันเป็นระยะๆ เข้าใจว่าเขาจะไปเติมน้ำมันต่อที่ศรีลังกา ส่วนจะไปต่อที่ไหนเราไม่ทราบ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อยึดเอาไว้เสร็จแล้ว จะมีขั้นตอนที่เป็นข้อกำหนดอยู่ เช่น บางประเภท ก็ต้องมีการทำลายหรืออะไร ผู้สื่อข่าวถามว่าทางสหรัฐฯได้ขอให้เราดำเนินการอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ เพราะทุกอย่างเราทำตามหลักสากล
เมื่อถามว่าต้องมีประเทศอื่นเข้ามา มีส่วนร่วมในการดูคดีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในขณะที่มีการดำเนินคดีอยู่เราจะต้องแจ้งทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น คนที่ถูกจับสัญชาติอะไรก็ต้องแจ้ง ตัวเครื่องบิน จดทะเบียนที่ไหนก็แจ้ง ตัวคนที่เป็นเจ้าของสินค้าประเทศไหนก็แจ้ง ฉะนั้นขณะนี้มี 3-4 ประเทศที่ต้องมีการแจ้งไป
"สินค้าเป็นบริษัทของเกาหลี คนจะเป็นเบลารุสกับคาซักสถาน ส่วนเครื่องบินเป็น ของจอเจีย ซึ่งเราต้องแจ้งไป ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายการข่าวเขาคงทำงานกันต่อ ไทยไม่เกี่ยวทั้งเครื่องบิน สินค้า บุคลากร เป็นของประเทศอื่นๆ หมด เพียงแต่ เขามาขอเติมน้ำมันที่นี่ เราต้องทำหนังสือแจ้งทางยูเอ็น" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ด้านนายธานี ทองภักดี รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่ากรณีจับขบวนการค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ รัฐบาลไทยต้องรายงานต่อสหประชาชาติภายใน 45 วัน ตามข้อมติของสหประชาชาติที่1874(2009)ว่าด้วยเรื่องเกาหลีเหนือ ซึ่งหนึ่งในรายละเอียดของข้อมติ คือ การห้ามการขนส่งอาวุธจากเกาหลีเหนือ ถึงกระบวนการดำเนินคดี โดยอาจส่งให้คณะทูตถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก เป็นผู้รายงาน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องนี้ตลอด และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ยังต้องให้เวลากับเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตรวจสอบ เพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นประเทศเจ้าของเครื่องบิน ลูกเรือ รวมถึงประเทศผู้ซื้อ-ขายอาวุธ ซึ่งเรื่องนี้ตนต้องระมัดระวังในการพูดจาหรือการนำเสนอข่าว เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกี่ยวข้องทั้งกับกฎหมายในประเทศ และระหว่างประเทศ
"ขอประชาชนอย่าได้กังวล ขอให้ทราบว่าเราไม่มีเจตนาร้าย ไม่มีผลได้ผลเสียกับเรื่องนี้ และขอยืนยันว่าทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงภายในประเทศไทยทั้งสิ้น คาดว่าภายใน 1-2 วันนี้ จะมีความชัดเจนว่าอาวุธสงคราม 35-40 ตันนั้น มีอะไรบ้างและมีที่มาอย่างไร หากมีความชัดเจนแล้วจะมีการแถลงกับสื่อผ่านไปยังคนไทยได้รับทราบ และต่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย หรือ แม้กระทั่งต้องรายงานไปยังยูเอ็นต่อไป"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่เครื่องบินขนอาวุธเข้ามาถึงไทยถือเป็นความหละหลวม เรื่องการดูแลความปลอดภัยหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้หละหลวมให้มีการขนอาวุธเข้าประเทศ แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อคุมตัวลูกเรือและนักบินได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย และจะต้องแจ้งให้ประเทศที่คนเหล่านั้นถือสัญชาติอยู่รับทราบด้วย
วานนี้ (13 ธ.ค.) เมื่อเวลา 08.00 น.ที่กองบังคับการปราบปราม (บก.ป.) เจ้าหน้าที่ทูตคาซัคสถานประจำประเทศไทย จำนวน 2 คน และล่ามสาวชาวรัสเซีย จำนวน 1 คน ได้เดินทางมาที่กองปราบเพื่อร่วมทำการสอบปากคำผู้ต้องหาที่ลักลอบขนอาวุธสงครามข้ามชาติทั้ง 5 คน ประกอบด้วย นายอเล็กซ์ซานดรา ไซรเนฟ อายุ 53 ปี นายวิคเตอร์ อัลดุลลายาฟ อายุ 58 ปี นายวิทาลี ซุนดอฟ อายุ 54 ปี นายอิลยาส อิสซาคอฟ อายุ 53 ปี ทั้งหมดสัญชาติคาซัคสถาน และนายมิคาอิล พีทูคู อายุ 54 ปี สัญชาติ เบลารุส โดยผู้ต้องหามีสีหน้าเรียบเฉยปกติ ซึ่งก่อนทำการสอบปากคำเจ้าหน้าที่ได้นำอาหารเช้าเป็นไส้กรอกไข่ดาว ขนมปัง และกาแฟ มาให้กับผู้ต้องหา โดยเมื่อคืนที่ผ่านมาผู้ต้องหาทั้งหมดได้ถูกควบคุมตัวไว้ที่ห้องขังของกองปราบปราม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หน่วยคอมมานโดสลับสับเปลี่ยนเวรกันคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
ต่อมาเวลา 10.00 น. พล.ต.ท.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้ช่วยผบ.ตร. ในฐานะโฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้เดินทางมาที่กองบังคับการปราบปราม เพื่อร่วมทำการสอบปากคำผู้ต้องหาทั้ง 5 โดย พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าวว่า จะนำข้อมูลการสอบปากคำไปรายงานต่อนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีด้านความมั่นคง เพื่อเตรียมแถลงผลการสอบปากคำอย่างเป็นทางการในวันนี้ (14 ธ.ค.) จากการสอบปากคำเบื้องต้นผู้ต้องหาทั้ง 5 ให้การปฏิเสธว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขนอาวุธสงครมดังกล่าว พร้มอทั้งเรียกร้องสิทธิมนุษยชนจากไทย โดยการขอเครื่องนุ่มห่มและห้องน้ำ
ผู้ต้องหาทั้งหมดอยากทราบขั้นตอนเกี่ยวการดำเนินการทางกระบวนการยุติธรรมของไทย ตนจึงได้รายงานผ่านล่ามรัสเซียไปแล้ว ส่วนเรื่องที่ทางสถานทูตและผู้ต้องหาได้ร้องขอทางสิทธิมนุษยชนนั้น ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่จัดให้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ทางสถานทูตยังขอให้ทางฝ่ายเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการในส่วนของการประกันตัวให้ ซึ่งตนได้อธิบายไปแล้วว่าทางเจ้าหน้าที่ได้คัดค้านการประกันตัว แต่หากประขอประกันตัวในชั้นศาลก็เป็นสิทธิของผู้ต้องหาที่สามารถทำได้ สำหรับคดีดังกล่าวเป็นหน้าที่ของตำรวจไทยจะทำการสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไปและจะรายงานความคืบหน้าทั้งหมดให้นายสุเทพ ในช่วงบ่ายของวันนี้
“เรื่องการสอบปากคำผู้ต้องหาได้ให้การปฏิเสธในชั้นสอบสวน โดยขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น ส่วนข้อมูลที่จะมีการนำเสนอต่อที่ประชุมประกอบด้วย 1.คำให้การของผู้ต้องหา 2.เอกสารหลักฐานที่ตรวจยึดได้จากเครื่องบิน และ3.ข้อมูลจากหน่วยงานความมั่นคงต่างๆ และในวันพรุ่งนี้ (14 ธ.ค.) จะนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลอาญารัชดาผลัดแรก ในเวลา 10.00 น. ส่วนจะมีการส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนหรือไม่ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของศาล”พล.ต.ท.พงศพัศ กล่าว
หลังสอบสวนนาน 6 ชั่วโมง นายมิคาอิล พีทูคู ชาวเบลาลุส กัปตันเครื่องบินสัญชาติจอร์เจีย ให้การผ่านล่ามชาวรัสเซียว่า เส้นทางการบินของเครื่อง มีต้นทางจากประเทศยูเครน มารับสินค้าที่เกาหลีเหนือ โดยมีกำหนดการแวะเติมน้ำมัน 3 ครั้ง คือ ที่ประเทศอาเซอร์ไบจาน สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และไทย ส่วนเส้นทางกลับจะแวะที่ดอนเมือง และศรีลังกา เพื่อไปส่งของที่ประเทศยูเครน แต่กลับมาถูกจับกุมเสียก่อน
นายมิคาอิลยืนยันไม่รู้เห็นกับการขนอาวุธ ทำหน้าที่เพียงรับจ้างขับเครื่องบินมารับสินค้า พร้อมกับเพื่อนอีก 4 คน ส่วนข้อมูลด้านอื่นขอให้การในชั้นศาลเท่านั้น
ด้านนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เปิดเผยถึงกรณีที่ กำลังทหารและตำรวจไทยสามารถจับกุมตัวนักค้าอาวุธข้ามชาติ จำนวน 5 คนได้พร้อมเครื่องบินเช่าเหมาลำสัญชาติจอร์เจีย ที่ลักลอบขนขีปนาวุธจำนวนมากจากเกาหลีเหนือ ก่อนแวะมาทำการจอดเติมน้ำมันที่สนามบินดอนเมืองเมื่อวานนี้ ว่า เมื่อ 2 วันก่อนตนพอทราบว่า จะมีเรื่องในทำนองนี้เกิดขึ้น แต่หลังจากที่กำลังทหารกับตำรวจเข้าทำการตรวจค้นและจับกุมลูกเรือโดยสารในเครื่องบินลำดังกล่าวได้พร้อมกับอาวุธจำนวนมากนั้น ตนยังไม่ได้รับรายงานใดๆ เพิ่มเติม ซึ่งเราจะต้องระมัดระวังในคำพูดคำจาและการนำเสนอข่าว เพราะเป็นเรื่องละเอียดอ่อนทั้งการดำเนินการตามกฎหมายระหว่างประเทศ และสิ่งที่เกี่ยวพันกับผู้ต้องหาซึ่งเป็นบุคคลจากหลายสัญชาติ แต่ตนขอยืนยันว่า ประเทศไทยไม่มีส่วนได้ส่วนเสียใดๆ กับการขนส่งขีปนาวุธในครั้งนี้ และเรื่องที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้เชื่อมโยงกับสถานการณ์ความมั่นคงของประเทศไทยแต่อย่างใด
“เราจะต้องศึกษาข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องให้ลึกซึ้ง โดยตนจะติดตามและดูแลเรื่องนี้ให้เป็นอย่างดีที่สุด ส่วนเรื่องนักบินและลูกเรือที่ถูกจับกุมได้ก็จะมีการประสานไปยังเจ้าหน้าที่ของประเทศต้นสังกัดให้ทราบ และรวบรวมเอกสารพยานหลักฐานในการออกหมายจับตามกฎหมายโดยมีคนไทยเป็นผู้ดำเนินคดีเนื่องจากกรณีนี้เป็นความผิดที่เกิดขึ้นในพื้นที่อธิปไตยของประเทศไทย สำหรับเรื่องที่ลึกซึ้งมากกว่านี้ตนจะขอยังไม่พูด จะต้องรอให้ทุกอย่างชัดเจนขึ้นมาก่อน ซึ่งคาดว่าสัปดาห์หน้าน่าจะมีความชัดเจนมากกว่านี้ ประกอบกับตนต้องเป็นผู้เปิดเผยข้อเท็จจริงให้ประชาชนชาวไทย ชาวต่างชาติและต้องรายงานให้ยูเอ็นทราบอยู่แล้ว” นายสุเทพ กล่าว
ต่อมาเมื่อเวลา 13.00 น. ตำรวจกองบังคับการปราบปรามได้นำตัวผู้ต้องหาทั้ง 5 คนไปพิมพ์ลายนิ้ว มือ และทำประวัติอาชญากร พร้อมแจ้งข้อหาร่วมกันมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย ก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้งหมดเข้าควบคุมตัวไว้ที่ห้องขังของกองปราบปราม ซึ่งมีเจ้าหน้าที่หน่วยคอมมานโดสลับสับเปลี่ยนเวรกันคอยดูแลอย่างใกล้ชิด
**นายกฯ ให้ทำตามมติ UN-กม.ไทย
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าในการจับกุมเครื่องบินลักลอบขนอาวุสงครามจำนวน 40 ตัน ที่สนามบินดอนเมืองว่า ทั้งหมดต้องดำเนินการตามข้อมติของสหประชาชาติกับกฎหมายไทย ขณะนี้การสืบสวนสอบสวนก็คืบหน้าไปพอสมควร การตั้งข้อหาต่างๆ เป็นไปตามหลักสากลจะต้องทำอย่างแตกต่างกันไป ขึ้นอยู่กับประเภทของสิ่งของ คงจะเสร็จเรียบร้อยเร็วๆ นี้
"ผู้ต้องหาทั้งหมดจะต้องถูกดำเนินคดีในไทย และดำเนินการอยู่ในขณะนี้เพราะถือว่ามีความผิดที่เกิดขึ้นที่นี่ในเรื่องการครอบครอง สิ่งของซึ่งไม่ได้สำแดงและเป็นอาวุธ สำแดงเท็จเพราะแจ้งว่า ของที่อยู่ในนั้นกับของที่พบจริงมันไม่เหมือนกัน สองของที่พบจริงเป็นเรื่องของอาวุธ ซึ่งมีความผิดด้วย" นายอภิสิทธิ์กล่าวและว่า เครื่องลงวันศุกร์ที่ 11 ธ.ค. มีเบาะแสและมีการทำงานทางการข่าวร่วมว่าเครื่องบินนี้ต้องสงสัย เมื่อมาจอดเติมน้ำมัน มีการเข้าไปค้นและก็เจอ
ส่วนทางการไทยได้รับแจ้งจากสหรัฐฯใช่หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า เราทำงานร่วมกันกับประเทศอื่นๆ ได้รับข่าวสารมา จากการข่าวร่วมอาจจะมีกรณีนี้เกิดขึ้นก็ให้ดำเนินการตามมติของสหประชาชาติกับกฎหมายภายในของเรา เนื่องจากของหนักมาก จึงเติมน้ำมันเป็นระยะๆ เข้าใจว่าเขาจะไปเติมน้ำมันต่อที่ศรีลังกา ส่วนจะไปต่อที่ไหนเราไม่ทราบ
นายกรัฐมนตรีกล่าวว่า เมื่อยึดเอาไว้เสร็จแล้ว จะมีขั้นตอนที่เป็นข้อกำหนดอยู่ เช่น บางประเภท ก็ต้องมีการทำลายหรืออะไร ผู้สื่อข่าวถามว่าทางสหรัฐฯได้ขอให้เราดำเนินการอะไรหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ เพราะทุกอย่างเราทำตามหลักสากล
เมื่อถามว่าต้องมีประเทศอื่นเข้ามา มีส่วนร่วมในการดูคดีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์กล่าวว่า ในขณะที่มีการดำเนินคดีอยู่เราจะต้องแจ้งทุกประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น คนที่ถูกจับสัญชาติอะไรก็ต้องแจ้ง ตัวเครื่องบิน จดทะเบียนที่ไหนก็แจ้ง ตัวคนที่เป็นเจ้าของสินค้าประเทศไหนก็แจ้ง ฉะนั้นขณะนี้มี 3-4 ประเทศที่ต้องมีการแจ้งไป
"สินค้าเป็นบริษัทของเกาหลี คนจะเป็นเบลารุสกับคาซักสถาน ส่วนเครื่องบินเป็น ของจอเจีย ซึ่งเราต้องแจ้งไป ฝ่ายความมั่นคงและฝ่ายการข่าวเขาคงทำงานกันต่อ ไทยไม่เกี่ยวทั้งเครื่องบิน สินค้า บุคลากร เป็นของประเทศอื่นๆ หมด เพียงแต่ เขามาขอเติมน้ำมันที่นี่ เราต้องทำหนังสือแจ้งทางยูเอ็น" นายกรัฐมนตรีกล่าว
ด้านนายธานี ทองภักดี รองโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ กล่าวว่ากรณีจับขบวนการค้าอาวุธสงครามข้ามชาติ รัฐบาลไทยต้องรายงานต่อสหประชาชาติภายใน 45 วัน ตามข้อมติของสหประชาชาติที่1874(2009)ว่าด้วยเรื่องเกาหลีเหนือ ซึ่งหนึ่งในรายละเอียดของข้อมติ คือ การห้ามการขนส่งอาวุธจากเกาหลีเหนือ ถึงกระบวนการดำเนินคดี โดยอาจส่งให้คณะทูตถาวรไทยประจำสหประชาชาติที่นครนิวยอร์ก เป็นผู้รายงาน
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ได้รับรายงานเรื่องนี้ตลอด และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจและที่เกี่ยวข้องตรวจสอบ ซึ่งขณะนี้ยังต้องให้เวลากับเจ้าหน้าที่ในการดำเนินการตรวจสอบ เพราะมีผู้เกี่ยวข้องหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นประเทศเจ้าของเครื่องบิน ลูกเรือ รวมถึงประเทศผู้ซื้อ-ขายอาวุธ ซึ่งเรื่องนี้ตนต้องระมัดระวังในการพูดจาหรือการนำเสนอข่าว เนื่องจากเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เกี่ยวข้องทั้งกับกฎหมายในประเทศ และระหว่างประเทศ
"ขอประชาชนอย่าได้กังวล ขอให้ทราบว่าเราไม่มีเจตนาร้าย ไม่มีผลได้ผลเสียกับเรื่องนี้ และขอยืนยันว่าทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับความมั่นคงภายในประเทศไทยทั้งสิ้น คาดว่าภายใน 1-2 วันนี้ จะมีความชัดเจนว่าอาวุธสงคราม 35-40 ตันนั้น มีอะไรบ้างและมีที่มาอย่างไร หากมีความชัดเจนแล้วจะมีการแถลงกับสื่อผ่านไปยังคนไทยได้รับทราบ และต่างประเทศที่เกี่ยวข้องด้วย หรือ แม้กระทั่งต้องรายงานไปยังยูเอ็นต่อไป"
ผู้สื่อข่าวถามว่า ที่เครื่องบินขนอาวุธเข้ามาถึงไทยถือเป็นความหละหลวม เรื่องการดูแลความปลอดภัยหรือไม่ นายสุเทพ กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ไม่ได้หละหลวมให้มีการขนอาวุธเข้าประเทศ แต่ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เมื่อคุมตัวลูกเรือและนักบินได้ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จะต้องดำเนินการตามกฎหมาย และจะต้องแจ้งให้ประเทศที่คนเหล่านั้นถือสัญชาติอยู่รับทราบด้วย