อีกไม่กี่วันก็จะหมดปีเก่า และจะขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2553 แล้ว ตอนนี้ก็มีข่าวว่ารัฐบาลท่านกำลังเตรียมการแถลงผลงานปี 2552 ให้พี่น้องคนไทยเจ้าของประเทศได้รับทราบโดยทั่วกัน
ก็ได้แต่มุ่งหวังตั้งใจให้รัฐบาลสามารถแถลงผลงานได้เป็นเรื่องเป็นราว ได้ตามความเป็นจริงในสิ่งที่ได้ทำให้กับบ้านเมืองและประชาชน
เพราะถ้ารัฐบาลมีผลงานมาก และเป็นประโยชน์จริงแท้แน่นอนแก่ประเทศชาติและประชาชนแล้ว ถึงแม้ว่าไม่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ใครรู้ หรือแม้ว่าไม่ได้แถลงผลงาน มันก็เป็นผลงานอยู่วันยังค่ำ และย่อมส่งผลสำเร็จนั้นให้บังเกิดประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชนโดยตัวของมันเอง
แม้กระนั้นรัฐบาลท่านก็ยังคงต้องแถลงผลงานอยู่ดี และการแถลงผลงานนี้ก็มีการแถลงผลงานอยู่ 2 อย่าง คือรัฐบาลท่านแถลงผลงานให้ประชาชนรับทราบว่าได้ทำอะไรไปบ้างอย่างหนึ่ง กับการแถลงผลงานต่อรัฐสภาซึ่งเป็นหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติอีกอย่างหนึ่ง
รัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐบาลต้องแถลงผลงานต่อรัฐสภาปีละ 1 ครั้ง โดยต้องแถลงเปรียบเทียบกับสิ่งที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายไว้ นั่นคือแถลงนโยบายไว้ว่าอย่างไร ในปีหนึ่งๆ ได้ทำอะไรไปบ้าง และมีผลอย่างไร
หากพูดโดยรวมก็คือรัฐบาลมีหน้าที่ต้องแถลงผลงานตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งเป็นการแถลงแบบแห้งแล้งอย่างหนึ่ง กับการแถลงผลงานให้ประชาชนทราบเพื่อสร้างความนิยมชมชอบให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ซึ่งย่อมมีผลต่อการเลือกตั้งในอนาคตอีกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นในห้วงเวลาเช่นนี้ ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านรวมทั้งประชาชนทุกภาคส่วนจึงหวังตั้งตารอว่ารัฐบาลจะแถลงผลงานอะไร และเป็นผลงานอย่างไรบ้าง เกิดผลอย่างไรบ้าง จะได้ชุ่มฉ่ำชื่นหัวใจ เพื่อทดแทนกับความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากที่กำลังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้
ในห้วงเวลาเช่นนี้เพื่อเป็นแนวทางให้ประชาชนชาวไทยในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ในการติดตามการแถลงผลงานของรัฐบาล จึงสมควรที่จะได้กล่าวถึงเรื่องราวบางเรื่องเพื่อเป็นข้อสังเกตในการติดตามการแถลงผลงานของรัฐบาล
นั่นคือคอยติดตามดูกันให้ดีว่าในการแถลงผลงานของรัฐบาล ได้มีการแถลงในเรื่องเหล่านี้หรือไม่ และแถลงว่าอย่างไร รวมทั้งเนื้อความที่แถลงนั้นถูกต้องตรงกับความเป็นจริงที่เป็นไปหรือไม่ ซึ่งเห็นว่ามีเรื่องสำคัญดังต่อไปนี้คือ
เรื่องแรก คือเรื่องผลงานด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศและประชาชน ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของรัฐบาล เพราะรัฐบาลใดก็ตามหากไม่สามารถสร้างผลงานดูแลความมั่นคงปลอดภัยให้กับประเทศชาติและประชาชนแล้ว รัฐนั้นก็ล้มเหลว รัฐบาลก็ล้มเหลว และผู้คนทั้งปวงก็ล้มเหลว กลายเป็นผู้ตกอยู่ในความเสี่ยงภัยที่มิรู้เป็นตายร้ายดีประการใด แล้วสำมะหาอะไรที่จะต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นอีก
ในผลงานด้านนี้มีเรื่องที่เกี่ยวข้องสำคัญอยู่ 4 เรื่อง คือเรื่องปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาการละเมิดรุกล้ำอธิปไตยตามแนวชายแดนไทย-เขมร ปัญหาการแย่งยึดผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล จำพวกน้ำมันและก๊าซในพื้นที่อ่าวไทย และปัญหาความปลอดภัยของประชาชน
การที่มีอาวุธสงครามร้ายแรงถูกขนเข้ามายิงถล่มใครต่อใครในใจกลางพระนครหลายครั้งหลายหน แล้วจับมือใครดมไม่ได้ ทำให้ทุกสถาบันและทุกผู้คนตกอยู่ในความเสี่ยงภัยอย่างใหญ่หลวง ไม่มีความปลอดภัยใดๆ เหลืออยู่อีกเลย แม้ใจกลางพระนครก็ตามที
แม้กระทั่งการปล้นชิงวิ่งราว การอุ้มฆ่า การลอบสังหาร การแพร่ระบาดของยาเสพติด การค้ามนุษย์และการลักลอบทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น แม้กระทั่งพระพุทธรูปอันสถิตอยู่ในพระอุโบสถก็ยังไม่มีความปลอดภัย ถูกคนชั่วตัดเศียรพระเอาไปขายวันแล้ววันเล่า วัดแล้ววัดเล่า โดยหาใครรับผิดชอบไม่ได้เลย
เรื่องที่สอง คือเรื่องฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินที่กำลังขยายตัวลุกลามระบาดอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าหญ้าคอมมิวนิสต์ในฤดูฝน ทุกกระทรวงทบวงกรม ทุกหน่วยงานทุกหนทุกแห่ง ทุกโครงการ เต็มไปด้วยการทุจริตฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์บังหลวง
โกงกันอย่างเอิกเกริก อึกทึกครึกโครมนับหมื่นนับแสนล้าน โกงกันอย่างหน้าตาเฉยทั้งกลางวันและกลางคืน ถึงแม้เจ้าบ้านตื่นลุกขึ้นโวยวายด่าว่า ไอ้พวกโจรชั่วก็ไม่ยี่หระหลบหนีเหมือนที่เป็นมาแต่ก่อน กลับมุ่งมั่นปล้นชิงวิ่งราวต่อไปไม่ยอมหยุด บางครั้งก็คิดประหัตประหารเจ้าทรัพย์เสียอีก
จนโครงการฉ้อฉลปล้นชาติที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ไม่กล้าทำ หรือทำไม่สำเร็จ ก็มีการผลักดันเร่งรัดกันจนสำเร็จแทบทุกโครงการ กระทั่งมีการชงเรื่องตั้งแท่นเพิ่มเงินเพิ่มโครงการเพิ่มงานกันอีกไม่หยุดไม่หย่อน
หรือว่าแค่เวลาปีสองปีที่เหลืออยู่จะเอากันให้สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน ไปเลยหรืออย่างไร? มิน่าเล่ากระบวนการกู้ กู้ กู้ จนไม่ใส่ใจในเพดานวงเงินกู้สาธารณะจึงเกิดขึ้น และยังตั้งหน้ากู้กันเรื่อยไป
ทุกหนทุกแห่ง ทุกหน่วยงาน ทุกโครงการ โกงกันระเบิดเถิดเทิง โกงกันถึงขั้นสูงสุดคือขั้นเซ้งกระทรวงหรือกรมให้เอกชนไปบริหารจัดการกันตามใจชอบแล้ว
สภาพเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่จะต้องสนองกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีนี้อย่างรีบด่วนและจริงจังที่สุด
มิฉะนั้นแล้วประเทศก็จะเหลือแต่โครงกระดูก ประชาชนก็จะเหลือแต่ก้าง หาความเจริญงอกงามใดๆ ไม่ได้อีกเลย
เรื่องที่สาม เรื่องความแตกแยกภายในชาติที่กำลังอยู่ในขั้นวิกฤตและกำลังกลายเป็นสงครามกลางเมือง ประหนึ่งว่ามีคนจงใจให้เกิดขึ้น เข้าทำนองยืมมือคนเสื้อแดงบ่อนทำลายสถาบันอันเป็นที่เคารพบูชา เพื่อคนบางกลุ่มบางพวกจะได้ชุบมือเปิบเอาในภายหลัง
ในวันนี้การป้อนกระทั่งกล่าวได้ว่าอัดยัดเยียดข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนใส่ร้ายป้ายสี กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว ได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในทุกระบบของการสื่อสาร ก่อให้เกิดความคิดที่ผิด ความเข้าใจที่ผิด ความเชื่อที่ผิด และการกระทำที่ผิดขึ้นอย่างกว้างขวางในขอบเขตทั่วประเทศ แล้วเป็นต้นเหตุให้ผู้คนขัดแย้งแตกแยกแตกสามัคคีกัน
แตกแยกกันถึงขั้นเห็นผู้คนชาติเดียวกันเป็นศัตรูกันและกันที่จะต้องล้างผลาญทำลายล้าง ซึ่งจัดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญที่สุด เพราะเป็นต้นเหตุของความเสื่อมสลายและความไม่เป็นปกติสุขของบ้านเมือง
เมื่อใดก็ตามที่รัฐสามารถสร้างสรรค์ผลงาน นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกตรงรอบด้านให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงแล้ว พื้นฐานความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารก็จะก่อให้เกิดรูปการทางความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวใดๆ ไปในทางเดียวกัน รู้ว่าอะไรผิด รู้ว่าอะไรถูก รู้ว่าอะไรชอบ อะไรไม่ชอบ อะไรดีหรือไม่ดี
ดังนั้นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของรัฐที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ จึงมีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความแตกแยกแตกสามัคคีภายในชาติโดยตรง
ถ้าหากรัฐได้ดำเนินการมีผลงานและประสบความสำเร็จ คนไทยคงไม่ขัดแย้งแตกแยกกันถึงปานนี้
เรื่องที่สี่ การสร้างเสริมคุณธรรม ศีลธรรม และความสำนึกผิดชอบชั่วดีให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง
ที่สำคัญคือการส่งเสริมสนับสนุนให้คนดีมีอำนาจในบ้านเมือง การป้องกันขัดขวางไม่ให้คนไม่ดีเข้ามามีอำนาจ ทำให้เกิดความไม่สงบวุ่นวายในบ้านเมือง แล้วเป็นอย่างไรเล่า?
ในวันนี้คนดีกี่มากน้อยที่ได้รับการสนับสนุนให้มีอำนาจในบ้านเมือง เพราะข่าวคราวและข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นกลับกลายเป็นว่า คนไม่ดี คนชั่ว คนที่ยอมตัวเป็นข้าทาสบริวารนักการเมือง คนมีมลทินมัวหมอง มีประวัติฉ้อฉลปล้นชาติ ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้มีอำนาจในบ้านเมืองโดยทั่วไปในแทบทุกหน่วยงาน
เอากันแค่สี่เรื่องนี้ก็พอ ขอเพียงพี่น้องประชาชนชาวไทยตั้งใจจับตาคอยดูให้ดีว่าในการแถลงผลงานปีนี้ รัฐบาลท่านจะพูดถึงเรื่องสี่เรื่องนี้หรือไม่ แล้วพูดว่าอย่างไร สอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ ในขณะที่รัฐบาลเองถ้าหากไม่แถลงในสี่เรื่องนี้แล้ว ถึงจะแถลงเรื่องอื่นสักร้อยพันเรื่องก็ไม่อาจเป็นผลงานที่มีคุณค่าใด ๆ กับบ้านเมืองเลย.
ก็ได้แต่มุ่งหวังตั้งใจให้รัฐบาลสามารถแถลงผลงานได้เป็นเรื่องเป็นราว ได้ตามความเป็นจริงในสิ่งที่ได้ทำให้กับบ้านเมืองและประชาชน
เพราะถ้ารัฐบาลมีผลงานมาก และเป็นประโยชน์จริงแท้แน่นอนแก่ประเทศชาติและประชาชนแล้ว ถึงแม้ว่าไม่ได้ประชาสัมพันธ์ให้ใครรู้ หรือแม้ว่าไม่ได้แถลงผลงาน มันก็เป็นผลงานอยู่วันยังค่ำ และย่อมส่งผลสำเร็จนั้นให้บังเกิดประโยชน์สุขแก่ประเทศชาติและประชาชนโดยตัวของมันเอง
แม้กระนั้นรัฐบาลท่านก็ยังคงต้องแถลงผลงานอยู่ดี และการแถลงผลงานนี้ก็มีการแถลงผลงานอยู่ 2 อย่าง คือรัฐบาลท่านแถลงผลงานให้ประชาชนรับทราบว่าได้ทำอะไรไปบ้างอย่างหนึ่ง กับการแถลงผลงานต่อรัฐสภาซึ่งเป็นหน้าที่ตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติอีกอย่างหนึ่ง
รัฐธรรมนูญบัญญัติให้รัฐบาลต้องแถลงผลงานต่อรัฐสภาปีละ 1 ครั้ง โดยต้องแถลงเปรียบเทียบกับสิ่งที่รัฐบาลได้แถลงนโยบายไว้ นั่นคือแถลงนโยบายไว้ว่าอย่างไร ในปีหนึ่งๆ ได้ทำอะไรไปบ้าง และมีผลอย่างไร
หากพูดโดยรวมก็คือรัฐบาลมีหน้าที่ต้องแถลงผลงานตามที่กฎหมายบัญญัติซึ่งเป็นการแถลงแบบแห้งแล้งอย่างหนึ่ง กับการแถลงผลงานให้ประชาชนทราบเพื่อสร้างความนิยมชมชอบให้เกิดขึ้นในหมู่ประชาชน ซึ่งย่อมมีผลต่อการเลือกตั้งในอนาคตอีกอย่างหนึ่ง
ดังนั้นในห้วงเวลาเช่นนี้ ทั้งรัฐบาลและฝ่ายค้านรวมทั้งประชาชนทุกภาคส่วนจึงหวังตั้งตารอว่ารัฐบาลจะแถลงผลงานอะไร และเป็นผลงานอย่างไรบ้าง เกิดผลอย่างไรบ้าง จะได้ชุ่มฉ่ำชื่นหัวใจ เพื่อทดแทนกับความรู้สึกหมดอาลัยตายอยากที่กำลังเกิดขึ้นอย่างกว้างขวางอยู่ในขณะนี้
ในห้วงเวลาเช่นนี้เพื่อเป็นแนวทางให้ประชาชนชาวไทยในฐานะที่เป็นเจ้าของประเทศ เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ในการติดตามการแถลงผลงานของรัฐบาล จึงสมควรที่จะได้กล่าวถึงเรื่องราวบางเรื่องเพื่อเป็นข้อสังเกตในการติดตามการแถลงผลงานของรัฐบาล
นั่นคือคอยติดตามดูกันให้ดีว่าในการแถลงผลงานของรัฐบาล ได้มีการแถลงในเรื่องเหล่านี้หรือไม่ และแถลงว่าอย่างไร รวมทั้งเนื้อความที่แถลงนั้นถูกต้องตรงกับความเป็นจริงที่เป็นไปหรือไม่ ซึ่งเห็นว่ามีเรื่องสำคัญดังต่อไปนี้คือ
เรื่องแรก คือเรื่องผลงานด้านความมั่นคงปลอดภัยของประเทศและประชาชน ซึ่งต้องถือว่าเป็นเรื่องสำคัญที่สุดของรัฐบาล เพราะรัฐบาลใดก็ตามหากไม่สามารถสร้างผลงานดูแลความมั่นคงปลอดภัยให้กับประเทศชาติและประชาชนแล้ว รัฐนั้นก็ล้มเหลว รัฐบาลก็ล้มเหลว และผู้คนทั้งปวงก็ล้มเหลว กลายเป็นผู้ตกอยู่ในความเสี่ยงภัยที่มิรู้เป็นตายร้ายดีประการใด แล้วสำมะหาอะไรที่จะต้องไปพูดถึงเรื่องอื่นอีก
ในผลงานด้านนี้มีเรื่องที่เกี่ยวข้องสำคัญอยู่ 4 เรื่อง คือเรื่องปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ปัญหาการละเมิดรุกล้ำอธิปไตยตามแนวชายแดนไทย-เขมร ปัญหาการแย่งยึดผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเล จำพวกน้ำมันและก๊าซในพื้นที่อ่าวไทย และปัญหาความปลอดภัยของประชาชน
การที่มีอาวุธสงครามร้ายแรงถูกขนเข้ามายิงถล่มใครต่อใครในใจกลางพระนครหลายครั้งหลายหน แล้วจับมือใครดมไม่ได้ ทำให้ทุกสถาบันและทุกผู้คนตกอยู่ในความเสี่ยงภัยอย่างใหญ่หลวง ไม่มีความปลอดภัยใดๆ เหลืออยู่อีกเลย แม้ใจกลางพระนครก็ตามที
แม้กระทั่งการปล้นชิงวิ่งราว การอุ้มฆ่า การลอบสังหาร การแพร่ระบาดของยาเสพติด การค้ามนุษย์และการลักลอบทำลายทรัพยากรธรรมชาติ ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างดาษดื่น แม้กระทั่งพระพุทธรูปอันสถิตอยู่ในพระอุโบสถก็ยังไม่มีความปลอดภัย ถูกคนชั่วตัดเศียรพระเอาไปขายวันแล้ววันเล่า วัดแล้ววัดเล่า โดยหาใครรับผิดชอบไม่ได้เลย
เรื่องที่สอง คือเรื่องฉ้อฉลปล้นชาติปล้นแผ่นดินที่กำลังขยายตัวลุกลามระบาดอย่างกว้างขวางยิ่งกว่าหญ้าคอมมิวนิสต์ในฤดูฝน ทุกกระทรวงทบวงกรม ทุกหน่วยงานทุกหนทุกแห่ง ทุกโครงการ เต็มไปด้วยการทุจริตฉ้อฉล ฉ้อราษฎร์บังหลวง
โกงกันอย่างเอิกเกริก อึกทึกครึกโครมนับหมื่นนับแสนล้าน โกงกันอย่างหน้าตาเฉยทั้งกลางวันและกลางคืน ถึงแม้เจ้าบ้านตื่นลุกขึ้นโวยวายด่าว่า ไอ้พวกโจรชั่วก็ไม่ยี่หระหลบหนีเหมือนที่เป็นมาแต่ก่อน กลับมุ่งมั่นปล้นชิงวิ่งราวต่อไปไม่ยอมหยุด บางครั้งก็คิดประหัตประหารเจ้าทรัพย์เสียอีก
จนโครงการฉ้อฉลปล้นชาติที่รัฐบาลชุดก่อนๆ ไม่กล้าทำ หรือทำไม่สำเร็จ ก็มีการผลักดันเร่งรัดกันจนสำเร็จแทบทุกโครงการ กระทั่งมีการชงเรื่องตั้งแท่นเพิ่มเงินเพิ่มโครงการเพิ่มงานกันอีกไม่หยุดไม่หย่อน
หรือว่าแค่เวลาปีสองปีที่เหลืออยู่จะเอากันให้สิ้นชาติ สิ้นแผ่นดิน ไปเลยหรืออย่างไร? มิน่าเล่ากระบวนการกู้ กู้ กู้ จนไม่ใส่ใจในเพดานวงเงินกู้สาธารณะจึงเกิดขึ้น และยังตั้งหน้ากู้กันเรื่อยไป
ทุกหนทุกแห่ง ทุกหน่วยงาน ทุกโครงการ โกงกันระเบิดเถิดเทิง โกงกันถึงขั้นสูงสุดคือขั้นเซ้งกระทรวงหรือกรมให้เอกชนไปบริหารจัดการกันตามใจชอบแล้ว
สภาพเช่นนี้จึงเป็นเรื่องที่จะต้องสนองกระแสพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงพระราชทานเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษาปีนี้อย่างรีบด่วนและจริงจังที่สุด
มิฉะนั้นแล้วประเทศก็จะเหลือแต่โครงกระดูก ประชาชนก็จะเหลือแต่ก้าง หาความเจริญงอกงามใดๆ ไม่ได้อีกเลย
เรื่องที่สาม เรื่องความแตกแยกภายในชาติที่กำลังอยู่ในขั้นวิกฤตและกำลังกลายเป็นสงครามกลางเมือง ประหนึ่งว่ามีคนจงใจให้เกิดขึ้น เข้าทำนองยืมมือคนเสื้อแดงบ่อนทำลายสถาบันอันเป็นที่เคารพบูชา เพื่อคนบางกลุ่มบางพวกจะได้ชุบมือเปิบเอาในภายหลัง
ในวันนี้การป้อนกระทั่งกล่าวได้ว่าอัดยัดเยียดข้อมูลข่าวสารที่บิดเบือนใส่ร้ายป้ายสี กลับขาวเป็นดำ กลับดำเป็นขาว ได้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางในทุกระบบของการสื่อสาร ก่อให้เกิดความคิดที่ผิด ความเข้าใจที่ผิด ความเชื่อที่ผิด และการกระทำที่ผิดขึ้นอย่างกว้างขวางในขอบเขตทั่วประเทศ แล้วเป็นต้นเหตุให้ผู้คนขัดแย้งแตกแยกแตกสามัคคีกัน
แตกแยกกันถึงขั้นเห็นผู้คนชาติเดียวกันเป็นศัตรูกันและกันที่จะต้องล้างผลาญทำลายล้าง ซึ่งจัดว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนและสำคัญที่สุด เพราะเป็นต้นเหตุของความเสื่อมสลายและความไม่เป็นปกติสุขของบ้านเมือง
เมื่อใดก็ตามที่รัฐสามารถสร้างสรรค์ผลงาน นำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกตรงรอบด้านให้แก่ประชาชนอย่างทั่วถึงแล้ว พื้นฐานความถูกต้องของข้อมูลข่าวสารก็จะก่อให้เกิดรูปการทางความคิดเกี่ยวกับเรื่องราวใดๆ ไปในทางเดียวกัน รู้ว่าอะไรผิด รู้ว่าอะไรถูก รู้ว่าอะไรชอบ อะไรไม่ชอบ อะไรดีหรือไม่ดี
ดังนั้นการนำเสนอข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญของรัฐที่จะต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ จึงมีความสำคัญต่อการแก้ไขปัญหาความแตกแยกแตกสามัคคีภายในชาติโดยตรง
ถ้าหากรัฐได้ดำเนินการมีผลงานและประสบความสำเร็จ คนไทยคงไม่ขัดแย้งแตกแยกกันถึงปานนี้
เรื่องที่สี่ การสร้างเสริมคุณธรรม ศีลธรรม และความสำนึกผิดชอบชั่วดีให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง
ที่สำคัญคือการส่งเสริมสนับสนุนให้คนดีมีอำนาจในบ้านเมือง การป้องกันขัดขวางไม่ให้คนไม่ดีเข้ามามีอำนาจ ทำให้เกิดความไม่สงบวุ่นวายในบ้านเมือง แล้วเป็นอย่างไรเล่า?
ในวันนี้คนดีกี่มากน้อยที่ได้รับการสนับสนุนให้มีอำนาจในบ้านเมือง เพราะข่าวคราวและข้อเท็จจริงที่ปรากฏนั้นกลับกลายเป็นว่า คนไม่ดี คนชั่ว คนที่ยอมตัวเป็นข้าทาสบริวารนักการเมือง คนมีมลทินมัวหมอง มีประวัติฉ้อฉลปล้นชาติ ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้มีอำนาจในบ้านเมืองโดยทั่วไปในแทบทุกหน่วยงาน
เอากันแค่สี่เรื่องนี้ก็พอ ขอเพียงพี่น้องประชาชนชาวไทยตั้งใจจับตาคอยดูให้ดีว่าในการแถลงผลงานปีนี้ รัฐบาลท่านจะพูดถึงเรื่องสี่เรื่องนี้หรือไม่ แล้วพูดว่าอย่างไร สอดคล้องกับความเป็นจริงหรือไม่ ในขณะที่รัฐบาลเองถ้าหากไม่แถลงในสี่เรื่องนี้แล้ว ถึงจะแถลงเรื่องอื่นสักร้อยพันเรื่องก็ไม่อาจเป็นผลงานที่มีคุณค่าใด ๆ กับบ้านเมืองเลย.