กลยุทธ์ที่พลพรรคเครือข่ายทักษิณ ชินวัตร กำลังงัดออกมาสู้ขณะนี้ จะเรียกว่าเป็นการแกล้งล้มบนโคลนตมเพื่อกลบกลิ่นอุจจาระที่ตนปล่อยออกมาราดกางเกง ก็คงไม่ผิด
การชุมนุมของคนเสื้อแดงนำโดย 3 เกลอหัวขวด เมื่อวันที่ 10 ธ.ค.ที่ผ่านมา เหตุการณ์เป็นไปอย่างไร ก็คงจะทราบกันแล้ว
แต่การแถลงข่าวของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนพรรคเพื่อไทย ที่เป็น 1 ในแกนนำ 3 เกลอ เมื่อวันที่ 4 ธ.ค.โดยอ้างว่า ฝ่ายรัฐบาลจะเกณฑ์แรงงานต่างด้าวออกมาสร้างสถานการณ์แล้วโยนความผิดให้ฝ่ายเสื้อแดง นั้น คือพฤติกรรมที่แกล้งล้มบนโคลนเพื่อกลบเกลื่อนอุจจาระที่ตัวเองปล่อยราดกางเกงไว้ก่อนหน้านี้
การนัดชุมนุมของคนเสื้อแดงในวันที่ 10 ธ.ค.นั้น ถูกก่นด่าจากคนส่วนใหญ่ของประเทศว่า ถึงความไม่เหมาะสม ไม่รู้จักกาลเทศะ เพราะจัดชุมนุมในช่วงที่คนไทยกำลังมีความสุขกับการเฉลิมฉลองเนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ ยังทำให้ภาพลักษณ์ของคนเสื้อแดง กลายเป็นพวกที่ไม่อยู่กับร่องกับรอย เพราะก่อนหน้านั้น รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทยอย่างนายปลอดประสพ สุรัสวดี เพิ่งแถลงข่าวประกาศสงบศึกกับรัฐบาล
แต่การแกล้งล้มบนโคลนเพื่อกลบอุจจาระของนายจตุพร ก็นับว่าได้ผล เพราะมีสื่อมวลชนจำนวนหนึ่ง เอา “ขี้ปาก”ของจอมโกหกรายนี้ ไปเป็นพาดหัวข่าว และตามต่อเป็นประเด็นอยู่หลายวัน
อีกกรณีที่ใหญ่กว่านั้นคือ การที่นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ถูกทางการกัมพูชาจับกุมในข้อหาจารกรรมข้อมูล และศาลกัมพูชาได้ตัดสินให้มีความผิด
นี่คือกลยุทธ์การกระโดดลงบ่อโคลนขนาดใหญ่เพื่อกลบกลิ่นอุจจาระที่เปรอะเปื้อนไปทั้งตัวของทักษิณ ชินวัตร ที่เกิดจากการเดินเกมไปจับมือกับฮุนเซน เพื่อสร้างแรงกดดันมายังรัฐบาลนายอภิสิทธิ เวชชาชีวะ
โดยหวังจะให้นายอภิสิทธิ์ประสบปัญหาในการบริหารประเทศและพ้นจากอำนาจไปให้เร็วที่สุด ซึ่งกลยุทธ์นี้แม้แต่คนเสื้อแดงจำนวนมากก็เริ่มตาสว่างและรับไม่ได้กับพฤติกรรม “ทรยศชาติ”
แต่การจับกุมนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ ในข้อหาขโมยความลับตารางเที่ยวบินของทักษิณ ชินวัตร ทำให้ทักษิณได้เบี้ยตัวใหม่ที่จะใช้เดินเพื่อดึงคะแนนเสียงกลับคืน
อย่างไรก็ตาม เพียงตาแรกที่เดินหมาก ข้อสงสัยการจัดฉากก็เกิดขึ้นทันที และเมื่อเหตุการณ์ผ่านไป ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ว่า นี่คือพล็อตเรื่องที่เขียนขึ้นเพื่อทักษิณโดยเฉพาะ
ไม่ว่าจะเป็นการที่นางสิมารักษ์ ณ นครพนม บอกว่าลูกชายเป็นโรคหอบหืด อาจเสียชีวิตถ้าไม่ได้รับยา แต่พอกระทรวงการต่างประเทศพาไปเยี่ยมลูกชาย วันที่ 27 พ.ย.ก็บอกว่าลูกชายสบายดี ทางกัมพูชาก็ดูแลอย่างดี ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง และเตรียมจะไปหาลูกชายอีกครั้งในวันที่ 7 ธ.ค.ก่อนศาลตัดสินคดีในวันรุ่งขึ้น
แต่หลังจากนั้นเพียง 3 วันนางสิมารักษ์กลับไปปรากฏตัวที่พรรคเพื่อไทย เพื่อขอให้พาไปเยี่ยมลูกชายเป็นครั้งที่ 2 และขอความช่วยเหลือจาก ทักษิณ ไว้ล่วงหน้า หากลูกชายถูกตัดสินว่าผิดจริง
ยิ่งวันที่ 2 ธ.ค.ที่นางสิมารักษ์ เดินทางไปเยี่ยมลูกชายรอบที่ 2 ยิ่งชัดเจนว่าทั้งหมดคือการจัดฉาก เมื่อรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กัมพูชา เดินทางไปรับนางสิมารักษ์ แม่ของผู้ต้องหาขโมยความของประเทศ ถึงสนามบินแล้วพาไปเยี่ยมลูกชายที่คุกก่อนพาไปส่งถึงที่พัก
หลังจากนั้นนางสิมารักษ์ก็โฟนอินมาที่พรรคเพื่อไทย สรรเสริญเยินยอสร้างความดีความชอบให้ฮุนเซนและทักษิณ แล้วพักที่พนมเปญ 1 คืน ก่อนเดินทางกลับพร้อมหนังสือพิมพ์ภาษาเขมรที่มีรูปเธอขึ้นหน้า 1
เมื่อเดินทางมาถึงสนามบินสุวรรณภูมิ ก็ถูกพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย พาตัวไปพบ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย สิ่งที่หลายคนไม่คาดคิดก็เกิดตามมา คือการขอเปลี่ยนตัวทนายความ จากนายเกา โสภา ที่กระทรวงการต่างประเทศจัดให้และเป็นทนายที่มีผลงานว่าความคดีสำคัญๆ มาหลายคดี ไปเป็นนายเขียว สัมโบ ที่อ้างว่าเพื่อนของนายศิวรักษ์แนะนำมา โดยให้เหตุผลว่าทนายคนเดิมทำงานไม่สำเร็จ
ในวันที่ 4 ธ.ค.เมื่อขอเปลี่ยนทนายความแล้ว ก็มีการขอถอนการยื่นขอประกันตัวลูกชายอีก โดยอ้างว่า ไม่อยากให้คดียืดเยื้อ อยากให้ศาลตัดสินคดีไปเลย ถ้าผิดก็จะได้ดำเนินการขอพระราชทานอภัยโทษทันที
แต่พอศาลตัดสินในวันที่ 8 ธ.ค.ว่า ลูกชายของเธอมีความผิดฐานจารกรรมข้อมูลตารางการบินของทักษิณ ซึ่งเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลกัมพูชา โดยข้อมูลดังกล่าวถือว่าเป็นอันตรายต่อทักษิณ จึงให้มีโทษจำคุก 7 ปี ปรับคิดเป็นเงินไทยประมาณ 85,000 บาท
นางสิมารักษ์กลับฟูมฟายผ่านโฟนอินมายังพรรคเพื่อไทยว่า ลูกชายตกเป็นเหยื่อทางการเมือง และโยนผิดไปให้นายคำรบ ปาลวัตน์วิชัย เลขานุการเอกสถานทูตไทยในพนมเปญ ที่โทรศัพท์ไปถามเรื่องเที่ยวบินของทักษิณจากลูกชายว่าเป็นคนทำให้ลูกชายต้องติดคุก
นอกจากนี้ยังบอกว่า กระทรวงการต่างประเทศคงไม่สามารถช่วยเหลือลูกชายเธอได้ เพราะมีความขัดแย้งกับรัฐบาลกัมพูชาอยู่ ต้องให้ ทักษิณ และ พล.อ.ชวลิต ที่มีสัมพันธ์ที่ดีกับกัมพูชาเป็นคนช่วยเหลือ
วันต่อมา 9 ธ.ค.นางสิมารักษ์ ยังโฟนอินมาแถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทยตอกย้ำในประเด็นเดิม และพรรคเพื่อไทยก็ได้ที บอกว่าจะประสานงานเพื่อพระราชทานอภัยโทษให้นายศิวรักษ์เอง และบอกให้รัฐบาลอยู่เฉยๆ
คำตัดสินของศาลกัมพูชาและคำพูดของนางสิมารักษ์นั้น เป็นวัตถุดิบชั้นดี ที่ทักษิณและฮุนเซน จะนำไปกดดันรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อ ในประเด็นที่ว่า
1.รัฐบาลไทยล้วงความลับประเทศเพื่อนบ้าน
2.รัฐบาลชุดนี้ไร้ประสิทธิภาพในการช่วยเหลือคนของตัวเองทั้งที่เป็นตัวต้นเหตุให้เขาติดคุก(ตามที่นางสิมารักษ์กล่าวหาเลขานุการสถานทูต)
3.ทักษิณ ชินวัตร ยังคงได้รับความน่าเชื่อถือจากเพื่อนบ้าน จนสามารถเจรจาให้ปล่อยตัวคนไทยที่ทำผิดในประเทศนั้นๆ ได้
อย่างไรก็ตาม เมื่อสังเคราะห์ลงเนื้อในของแต่ละประเด็นจะพบว่า
ประเด็นที่ 1 การขอทราบเที่ยวบินของทักษิณ ไม่ช่การขโมยความลับ แต่เป็นวิธีการปกติก่อนที่จะทำเรื่องขอตัว ทักษิณเป็นผู้ร้ายข้ามแดน และถ้านายศิวรักษ์ผิดจริง ทำไมเพื่อนร่วมงานชาวกัมพูชาที่เอาข้อมูลให้นายศิวรักษ์จึงไม่มีความผิด
ประเด็นที่ 2 การช่วยเหลือนายศิวรักษ์ อยู่นอกเหนือขีดความสามารถของรัฐบาลอยู่แล้ว เพราะนี่คือเกมที่ฮุนเซนกำหนด เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ ชินวัตร
ประเด็นที่ 3 ทักษิณ ชินวัตร ได้รับความน่าเชื่อถือจากประเทศเพื่อนบ้านเฉพาะรัฐบาลฮุนเซนเท่านั้น ซึ่งมีผลประโยชน์ต่างตอบแทนกันอยู่
ดังนั้น หากรัฐบาลอภิสิทธิ์เป็นมวยเสียหน่อย ก็คงจะแก้เกมนี้ไม่ยาก เพียงแต่ต้องอาศัยความกล้าให้มากกว่าเดิมเท่านั้น