xs
xsm
sm
md
lg

"บิ๊กเสือ"เตือน"แม้ว"เลิกก่อกรรม-เป็นผีไม่ได้ใช้แม้สตางค์เดียว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTV ผู้จัดการรายวัน-องคมนตรี"พิจิตร"สอน"นช.แม้ว" ตายก็เอาไปไม่ได้แม้แต่สตางค์เดียว แนะเลิกก่อกรรม วอนทุกฝ่ายนำพระราชกรณียกิจในหลวงเป็นแบบอย่างเพื่อชาติ รับห่วงสังคมรุ่นใหม่พัฒนาซากวัตถุมากกว่ารากเหง้า "โอ๊ค-เอม" ดิ้นฟ้องกรมสรรพากร เรื่องภาษี

เมื่อเวลา 10.00 น. วานนี้ (11 ธ.ค.) ที่กองทัพภาคที่ 1 พล.อ.พิจิตร กุลละวณิชย์ องคมนตรี ให้สัมภาณ์ตอนหนึ่งภายหลังเป็นประธานมอบเสื้อกันหนาว ให้กองทัพภาคที่ 1 เพื่อนำไปใช้บรรเทาสาธารณภัยแจกจจ่ายให้ประชาชนว่า ที่ตนพยายามทำทุกวันนี้ คือพยายามสร้างคน แต่เรากลับสร้างแต่สิ่งก่อสร้าง วัตถุ จำนวนมาก ซึ่งปัจจัยในการพัฒนาประเทศ มีปัจจัยสำคัญ 5 ตัว คือ ทรัพยากรมนุษย์ เงิน เครื่องมือ การบริหารจัดการ และเทคโนโลยี ที่ประเทศไทยที่มีอายุเกือบ 800 ปี มีทุกอย่างครบหมด แต่เราไม่สร้างทรัพยากรมนุษย์ เราสร้างแต่วัตถุสิ่งก่อสร้าง ประเทศ เราเป็นประเทศที่เก่าแก่ของภูมิภาคนี้ แต่เราแพ้ประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย ที่เป็นประเทศเกิดใหม่ เพราะเราไม่ตื่นมาสร้างทรัพยากรมนุษย์

"บ้านเมืองเราวุ่นวายจนทุกวันนี้ เพราะต่างคนต่างแย่งชิงกัน ไม่สร้างความเป็นชาติ ความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน หากเราไม่ระวังให้ดีเราจะแพ้ประเทศเพื่อนบ้าน และอะไรที่เป็นสมบัติของชาติ เราต้องหวงแหนและรักษาไว้ นอกจากนี้เราต้องสร้างคนด้วย ถามว่าคนเราตั้งแต่เกิดมาจนมีอายุ 70-80 ปี ได้ทำอะไรให้เป็นประโยชน์แก่แผ่นดินเกิดบ้าง ผมนับถือพุทธ และไปยืนที่หน้าเชิงตะกอน คนเรามีแค่ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ร่างเอาไปได้ไหม ไม่ได้ สตางค์ ในปากยังเอาไปไม่ได้ และคนที่หาประโยชน์ให้ตัวเอง ให้พวกพ้อง ถามว่าเอาไปได้ไหม ดังนั้นควรทำประโยชน์ให้แผ่นดินเกิด ดูตัวอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ท่านทรงทำ ควรทำประโยชน์ให้บ้านเกิดเมืองนอน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวท่านทำ ควรนำวันมหามงคลในปีนี้ มาเริ่มต้นกันใหม่ เลิกแบ่งฝ่าย" พล.อ.พิจิตรกล่าว

เมื่อถามว่าพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร พยายามจะขอพระราชทานอภัยโทษ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า คนที่เป็นคนไทยต้องรู้จักกำพืด และต้องถ่ายทอดให้ลูกหลาน ตอนนี้จะหาคนอายุ 80 ปีก็ยากแล้ว ควรทำประโยชน์ให้แผ่นดินเกิด ส่วนที่พ.ต.ท.ทักษิณ ยังสร้างความวุ่นวายให้เกิดขึ้นในประเทศ พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า เพราะเขาไม่ได้คิดถึงข้อเท็จจริง เมื่อถามย้ำว่า แสดงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ควรหยุดการเคลื่อนไหวทางการเมือง พล.อ.พิจิตร กล่าวว่า "ก็ใช่ แต่ผมไม่พูดเรื่องการเมือง"

**จี้ ทบ.จัดการทหารพรานร่วมม็อบแดง

นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีทหารอาจเตรียมเอาผิด พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล หรือ เสธ.แดงว่า ต้องให้ทางกองทัพไปดูแล เพราะยังไม่ชัดเจนว่าทหารพรานที่มากับ เสธ.แดง นั้นเป็นทหารพรานทุกคนจริงหรือไม่ และมาด้วยวัตถุประสงค์อะไร ถ้าจะเอาทหารพรานมาสู้กับทหารหลัก หรือมาสู้กับตำรวจ ก็คงเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย แต่ถ้าเขาแค่แต่งตัว แล้วมาเดินก็คงจะไปว่าเขาไม่ได้ ซึ่งต้องพิสูจน์กันไป อย่างไรก็ตามกลุ่มนี้เขาพยายามสร้างความสับสนให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง ในทุกวงการ เพราะเขามีเป้าหมายสำคัญที่จะล้มล้างรัฐบาล และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองต่างๆ

เมื่อถามถึงท่าทีของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ที่ช่วงหลังมีความชัดเจนว่า ต้องการเจรจาเพื่อหาทางสมานฉันท์ นายสุเทพ กล่าวว่า รัฐบาลพร้อมที่จะสมานฉันท์กับทุกฝ่ายแต่ว่าสมานฉันท์ต้องอยู่ในกรอบของกฎหมาย ถ้าบอกว่าคุณทักษิณ ต้องการสมานฉันท์กับรัฐบาล แต่ว่าต้องไม่ติดคุก รัฐบาลจะไปกลับคำพิพากษาของศาลได้อย่างไร หรือให้สมานฉันท์กับรัฐบาล แต่ต้องไม่ดำเนินคดีความ อย่างนี้ก็ทำไม่ได้

**จวกม็อบแดงถวายพระพรบังหน้า

นายเทพไท เสนพงศ์ โฆษกประจำตัวหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อวันที่ 10 ธ.ค. น่าจะเป็นการนัดชุมนุมที่ผิดวัตถุประสงค์ว่าการถวายพระพรเพราะเนื้องานเป็นแบบเดิมๆ ที่ฉกฉวยโอกาสให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้โฟนอิน ด้วยท่าทีที่ก้าวร้าว รุนแรงมาก เสมือนเป็นการส่งสัญญาณให้คนเสื้อแดงเร่งเผด็จศึกรัฐบาลให้ได้โดยเร็ว หนำซ้ำตลอดการพูดที่ยาว 45 นาที กลับใช้เวลาถวายพระพรเพียง 3 นาที แต่อีก 42 นาที กลับเป็นการพูดว่าจะกลับมาประเทศไทย เพื่อให้ตนเองมีอำนาจทางการเมือง ขณะที่ประชาชนทั่วไปจะมีการชูภาพของในหลวง แต่ในม็อบคนเสื้อแดง กลับชูรูปของ พ.ต.ท.ทักษิณกันสลอน ถือเป็นการชุมนุมที่ประหลาด และไม่สมควรอย่างยิ่ง

"ตลอดเวลาที่ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมี ก็จำเนื้อไม่ได้ ต้องคอยเหลือบมองโพยตลอดเวลา แม้แต่เด็กอนุบาลยังร้องได้แบบไม่ต้องมองเนื้อ ไม่น่าเชื่อว่าคนเป็นถึงอดีตนายกฯร้องเพลงนี้ยังต้องคอยชำเลืองเนื้อตลอดเวลา แล้วมาอวดอ้างตัวว่ารักสถาบันฯ อีกทั้งตลอดเวลาที่พูด มีแต่การโจมตีอำมาตย์ และอำนาจพิเศษ แต่ตัวเองกลับไม่ได้สำนึกหรือดูตัวเองเลยว่าได้ทำหน้าที่ของตัวเองหรือไม่ว่ามีฐานะเป็นนักโทษ" นายเทพไทกล่าว

**"โอ๊ค-เอม" ดิ้นฟ้องกรมสรรพากร

เวลา 11.45 น. วานนี้ (11 ธ.ค.) ที่ศาลภาษีอากรกลาง ถ.รัชดาภิเษก นายพานทองแท้ และ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรชายและบุตรสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยนางกาญจนาภา หงษ์เหิน มอบอำนาจให้นายเมธา ธรรมวิหาร ทนายความเข้ายื่นฟ้องกรมสรรพากร, นายสุทธิชัย สังขมณี, นายศิริศักดิ์ พันธ์พยัคฆ์ และนายณัฎฐภพ อนันตรสุชาติ ซึ่งเป็นคณะกรรมการวินิจฉัยอุทธรณ์การประเมินภาษีของกรมสรรพกร เป็นจำเลยที่ 1-4 ขอให้ศาลมีคำสั่งเพิกถอนการประเมินภาษีของนายพานทองแท้ จำนวน 5,677,136,572 บาท และน.ส.พิณทองทา จำนวน 5,676,860,088 บาท โดยแยกฟ้องเป็นสองสำนวน

คำฟ้องในส่วนของนายพานทองแท้ สรุปว่า เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 50 จำเลยที่ 1 ได้แจ้งการประเมินภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ ภงด.12 ประจำปี 2549 โดยระบุว่า โจทก์เสียภาษีไม่ถูกต้องเนื่องจากกรมสรรพากรตรวจสอบพบว่า เมื่อปี 49 โจทก์เป็นกรรมการบริษัทแอมเพิล ริช อินเวสเมนต์ จำกัด ได้ซื้อหุ้นบริษัทชินคอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) จากบริษัทแอมเพิล ริชฯ โดยทำการซื้อขายนอกตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 49 รวม จำนวน 164,600,000 หุ้น ในราคาพาร์ หุ้นละ 1 บาท ขณะที่หุ้นชินคอร์ป มีราคาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์หุ้นละ 49.25 บาท หุ้นชินคอร์ป ที่บริษัทแอมเพิล ริช ขายให้โจทก์ เป็นหุ้นชนิดไร้ใบหลักทรัพย์ ซึ่งตามหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย จะนำหุ้นลักษณะนี้ไปฝากไว้กับบริษัทหลักทรัพย์ในต่างประเทศไม่ได้ การซื้อหุ้นไม่ว่าในหรือนอกตลาดหลักทรัพย์ จะสมบูรณ์ก็ต่อเมื่อลงบันทึกบัญชีของผู้ฝากหลักทรัพย์ในสำนัก หักบัญชีของบริษัทศูนย์ฝากหลักทรัพย์ และพบว่าได้มีการโอนหลักทรัพย์หุ้นชินคอร์ป จากผู้รักษาทรัพย์ช่วง คือธนาคารซิตี้แบงก์ ไปยังโบรกเกอร์ คือบริษัทหลักทรัพย์ ยูบีเอส จำกัด (มหาชน) จำนวน 164,000,000 หุ้น ดังนั้นการซื้อขายหุ้นครั้งนี้ของโจทก์ จึงเป็นการซื้อขายหุ้นในประเทศไทย

การที่ บริษัทแอมเพิล ริชฯ ขายหุ้นชินคอร์ปให้กับโจทก์ในวันดังกล่าว จึงมีส่วนต่างคำนวณได้เป็นเงิน 7,941,950,000 บาท จึงถือว่าโจทก์ ซึ่งเป็นกรรมการบริษัทแอมเพิลริชฯได้รับประโยชน์เข้าลักษณะพึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 39 ซึ่งกำหนดให้ต้องเสียภาษีตามมาตรา 40 (2) แต่โจทก์ได้ยื่นแบบ ภงด.90 โดยไม่นำเงินได้ส่วนต่าง 7,941,950,000 บาท ดังกล่าวมารวมคำนวณเสียภาษี จึงถือว่าสำแดงรายการต้องเสียภาษีไม่ครบ ดังนั้น จะต้องเสียภาษีเพิ่มเติมพร้อมเบี้ยปรับอีกสองเท่า รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5,904,791,172.29 บาท โจทก์ไม่เห็นด้วยจึงได้ยื่นยอุทธรณ์ ต่อจำเลยที่ 2, 3 และ 4 ซึ่งเป็นคณะกรรมการอุทธรณ์ฯ และต่อมาเมื่อวันที่ 22 ก.ย.52 คณะกรรมการอุทธรณ์ฯ ได้ลดภาษีให้บางส่วนแต่ยังคงให้โจทก์ต้องเสียภาษี เบี้ยปรับ เงินเพิ่ม รวม 5,677,136,572.88 บาท

โจทก์ไม่เห็นพ้องด้วยกับคำวินิจฉัยดังกล่าว เพราะเห็นว่าเป็นการการดำเนินการตามความเห็นของคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้งที่การเก็บภาษีควรเก็บตามความเป็นจริงหน่วยงานของรัฐไม่ควรต้องตกเป็นเครื่องมือของบุคคลกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด โดยเฉพาะกลุ่มบุคคลที่มาจาการล้มล้างรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ดังนั้นการประเมินภาษีจึงไม่ชอบตามประมวลรัษฎากร ขัดต่อระเบียบกรมสรรพากร และแนวทางปฏิบัติตามหนังสือตอบข้อหารือกรณีไม่เป็นธรรม การประเมินไม่มีความโปร่งใส จึงขออุทธรณ์การประเมินภาษีของเจ้าพนักงานการประเมิน และคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ฯทุกประเด็น และขอให้ศาลมีคำสั่งปลดภาษี และเพิกถอนการประเมินของเจ้าพนักงาน และขอเพิกถอนคำวินิจฉัยของคณะกรรมการอุทธรณ์ฯ พร้อมขอลดเบี้ยปรับ ศาลรับฟ้องไว้เป็นคดีเลขดำที่ 266/2552

ขณะที่ คำฟ้องในส่วนของ น.ส.พิณทองทา มีเนื้อหาสอดคล้องกันกับนายพานทองแท้ โดยขอให้ปลดภาษี ลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มจำนวน 5,676,860,088.79 บาท ซึ่งศาลรับคำฟ้องไว้เป็นคดีที่ 267/2552
กำลังโหลดความคิดเห็น