นางสาวชำเลือง ชาติสุวรรณ รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เปิดเผยว่า คปภ.ได้ทำหนังสือมายังกระทรวงการคลัง เพื่อขอให้พิจารณาลดหย่อนภาษีให้ประชาชนทั่วไปที่ทำประกันสุขภาพ เนื่องจากเห็นว่า ที่ผ่านมาการทำประกันชีวิตมักจะพ่วงกับการทำประกันสุขภาพไว้ด้วย แต่เมื่อต้นปี 52 ที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้ให้แยกการลดหย่อนภาษีประกันชีวิตเท่านั้น โดยไม่นำการทำประกันสุขภาพมาร่วมหักลดหย่อนภาษีด้วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว ควรจะให้การลดหย่อนภาษีประกันสุขภาพสำหรับคนชั้นกลางที่มีกำลังเพียงพอในการดูแลสุขภาพของตัวเองได้ และไม่ต้องมาเป็นภาระให้แก่รัฐบาล
นอกจากนี้ จะขอให้พิจารณาเพิ่มการลดหย่อนภาษีให้สำหรับผู้ที่ทำประกันชีวิตแบบบำนาญ จากปัจจุบันที่ให้ส่วนลดภาษีเพียง 100,000 บาทเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่า มีลักษณะคล้ายกับกองทุนหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ (อาร์เอ็มเอฟ) ที่รัฐบาลให้ส่วนลดหย่อนภาษีถึง 500,000 บาท โดย คปภ.พยายามที่จะต่อรองให้มีส่วนลดหย่อนภาษีมากที่สุด เพื่อจูงใจให้ประชาชนเก็บเงินด้วยการทำประกันมากขึ้น เพราะอนาคตสังคมไทยจะมีวัยผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จากอัตราการครองชีพที่ยาวนานมากขึ้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ คปภ.ได้จัดทำรายละเอียดและเสนอให้กระทรวงการคลังไปแล้ว จากนี้ไปต้องรอดูว่ากระทรวงการคลังจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ธุรกิจประกันชีวิตยังเติบโตได้ดีสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เติบโตถึงร้อยละ 16 และเชื่อว่าปี 53 จะมีแนวโน้มเติบโตดีเหมือนปีที่ผ่านมาแน่นอน และ คปภ.เน้นการเข้าไปกำกับดูแลบริษัทประกันภัยให้มีมาตรฐานตามระบบสากล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้เอาประกันภัย โดยในปีนี้ คปภ.ได้เริ่มนำระบบการดูแลเงินกองทุนของบริษัทประกันภัยตามความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นมาทดลองใช้ โดยมีเกณฑ์แบ่งการดำเนินงานของบริษัทประกันภัยอย่างชัดเจน รวมถึงสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อดูแลไม่ให้บริษัทประกันภัยเกิดปัญหาในการดำเนินงานด้วย และจะเน้นหนักในปี 53 ก่อนที่จะบังคับใช้จริงในปี 54 เป็นต้นไป
นางสาวชำเลือง กล่าวอีกว่า คปภ.จะแบ่งบริษัทประกันภัยตามการดำเนินงานเป็นสี ๆ เช่น สีเขียว คือไม่มีปัญหา แต่หากเป็นสีส้ม คือเริ่มมีปัญหา ซึ่งปัจจุบันมีน้อยมาก คปภ.จะเข้าไปแทรกแซง และห้ามไม่ให้ดำเนินการบางประเภทกับลูกค้า พร้อมทั้งดูแลให้ผู้บริหารบริษัทเร่งปรับปรุงการดำเนินงานจนกลับมาอยู่ในเขตสีเขียวภายในเวลาที่กำหนด 3 เดือน เป็นต้น
นอกจากนี้ จะขอให้พิจารณาเพิ่มการลดหย่อนภาษีให้สำหรับผู้ที่ทำประกันชีวิตแบบบำนาญ จากปัจจุบันที่ให้ส่วนลดภาษีเพียง 100,000 บาทเท่านั้น เนื่องจากเห็นว่า มีลักษณะคล้ายกับกองทุนหุ้นระยะยาว (แอลทีเอฟ) และกองทุนเพื่อการเกษียณอายุ (อาร์เอ็มเอฟ) ที่รัฐบาลให้ส่วนลดหย่อนภาษีถึง 500,000 บาท โดย คปภ.พยายามที่จะต่อรองให้มีส่วนลดหย่อนภาษีมากที่สุด เพื่อจูงใจให้ประชาชนเก็บเงินด้วยการทำประกันมากขึ้น เพราะอนาคตสังคมไทยจะมีวัยผู้สูงอายุเพิ่มขึ้นจำนวนมาก จากอัตราการครองชีพที่ยาวนานมากขึ้น ซึ่งเรื่องเหล่านี้ คปภ.ได้จัดทำรายละเอียดและเสนอให้กระทรวงการคลังไปแล้ว จากนี้ไปต้องรอดูว่ากระทรวงการคลังจะพิจารณาเรื่องดังกล่าวอย่างไรต่อไป
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้ธุรกิจประกันชีวิตยังเติบโตได้ดีสวนกระแสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมา เติบโตถึงร้อยละ 16 และเชื่อว่าปี 53 จะมีแนวโน้มเติบโตดีเหมือนปีที่ผ่านมาแน่นอน และ คปภ.เน้นการเข้าไปกำกับดูแลบริษัทประกันภัยให้มีมาตรฐานตามระบบสากล เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนผู้เอาประกันภัย โดยในปีนี้ คปภ.ได้เริ่มนำระบบการดูแลเงินกองทุนของบริษัทประกันภัยตามความเสี่ยงที่เพิ่มสูงขึ้นมาทดลองใช้ โดยมีเกณฑ์แบ่งการดำเนินงานของบริษัทประกันภัยอย่างชัดเจน รวมถึงสร้างระบบเตือนภัยล่วงหน้า เพื่อดูแลไม่ให้บริษัทประกันภัยเกิดปัญหาในการดำเนินงานด้วย และจะเน้นหนักในปี 53 ก่อนที่จะบังคับใช้จริงในปี 54 เป็นต้นไป
นางสาวชำเลือง กล่าวอีกว่า คปภ.จะแบ่งบริษัทประกันภัยตามการดำเนินงานเป็นสี ๆ เช่น สีเขียว คือไม่มีปัญหา แต่หากเป็นสีส้ม คือเริ่มมีปัญหา ซึ่งปัจจุบันมีน้อยมาก คปภ.จะเข้าไปแทรกแซง และห้ามไม่ให้ดำเนินการบางประเภทกับลูกค้า พร้อมทั้งดูแลให้ผู้บริหารบริษัทเร่งปรับปรุงการดำเนินงานจนกลับมาอยู่ในเขตสีเขียวภายในเวลาที่กำหนด 3 เดือน เป็นต้น
