ASTVผู้จัดการายวัน - ลีสซิ่งกสิกรไทยโชว์ผลงาน 11 เดือน เป็นตามเป้าหมายในทุกๆด้าน มั่นใจจบปีมียอดทะลุเป้าทั้งปล่อยกู้และผลกำไร ส่วนปี 53 วางหมากรุกสินเชื่อเช่าซื้อโตมากกว่า 10% เน้นสัดส่วนสินเชื่อรถกระบะมากขึ้น ไม่หวั่นแม้เอ็นพีแอลจะพุ่ง ระบุบริหารจัดการความเสี่ยงได้ พร้อมตั้งเป้าโกยกำไรมากกว่า 300 ล้าน จากปีนี้ 230 ล้าน
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด (K LEASING) เปิดเผยว่า ในปี 2553 จะเป็นปีที่บริษัทก้าวสู่ปีที่ 5 ซึ่งกลยุทธ์เบื้องต้นในการดำเนินงานจะเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นยอดสินเชื่อปล่อยเช่าซื้อที่ปล่อยใหม่ ยอดสินเชื่อคงค้าง และด้านผลกำไร ซึ่งจะดำเนินการไปพร้อมกับการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่บริษัทควบคุมได้ โดยบริษัทได้ตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ไว้มากกว่า 10% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างในสิ้นปีหน้าอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท ส่วนทางด้านผลกำไรนั้นบริษัทก็ได้ตั้งเป้าหมายมีการเติบโตมากกว่า 300 ล้านบาท
"แม้ว่าในปีหน้าเศรษฐกิจะเริ่มฟื้นตัว การปล่อยสินเชื่อเริ่มจะกระเตื้องขึ้น แต่เราก็ยังคงต้องมีความระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงที่ดีอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง"นายอิสสระกล่าว
สำหรับกลยุทธ์หลักๆ บริษัทจะเน้นปล่อยสินเชื่อไปที่รถกระบะมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่ตลาดรถกระบะยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ ในขณะที่รถเก๋งก็มีการชะลอตัวลงไปบ้าง ซึ่งบริษัทเล็งเห็นโอกาสตรงนี้ แม้จะมีความเสี่ยงที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่บริษัทยังเชื่อว่าในอนาคตจะสามารถบริหารความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้
"ต้องยอมรับว่าถ้าจะเน้นรถกระบะ ความเสี่ยงก็ต้องมีมากขึ้น เราจึงตั้งเป้ารักษาเอ็นพีแอลในปีหน้าไม่ให้เกิด 2.2% โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนปล่อยรถเก๋งอยู่ที่ 75% และรถกระบะ 25% ซึ่งในปีหน้าจะปรับเปลี่ยนสัดส่วนเป็นรถเก๋งให้เหลือ 70% และรถกระบะจะเพิ่มเป็น 30%" นายอิสระกล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2552 โดยเฉพาะเดือนธันวาคมบริษัทมียอดสินเชื่อที่ปล่อยใหม่อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 5.5 พันคัน ซึ่งก็เป็นไปตามฤดูกาล เนื่องจากมีงานมหกรรมมอเตอร์ เอ็กซ์โป ทำให้ยอดสินเชื่อขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อที่ใหม่ทั้งปีนี้ตั้งไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดสินเชื่อคงค้างสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกินเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4.2 หมื่นล้านบาท สำหรับเอ็นพีแอล ณ เดือนธันวาคม อยู่ที่ 1.6% ในขณะที่เป้าหมายตั้งไว้ที่ 1.78% ส่วนผลกำไรตั้งเป้าไว้ที่ 226 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า 11 เดือนสามารถกำไรได้แล้ว 217 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าเมื่อจบสิ้นปีนี้จะทำได้ 230-240 ล้านบาท
"จากผลการดำเนินงาน 11 เดือนที่ผ่านมา เป็นไปตามเป้าหมายในทุกด้าน จึงมั่นใจว่ายอดสินเชื่อใหม่ในสิ้นปีนี้จะปล่อยได้สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน ในขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างก็เชื่อว่าน่าจะอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนกำไรก็น่าจะทำได้ 230 -240 ล้านบาท เกินจากเป้าที่ตั้งไว้ 226 ล้านบาท ด้านเอ็นพีแอลก็เชื่อว่าน่าจะต่ำกว่าเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 1.78% ได้ ซึ่งลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยเกือบ 90%"นายอิสระ กล่าว
นายอิสระ วงศ์รุ่ง กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลีสซิ่งกสิกรไทย จำกัด (K LEASING) เปิดเผยว่า ในปี 2553 จะเป็นปีที่บริษัทก้าวสู่ปีที่ 5 ซึ่งกลยุทธ์เบื้องต้นในการดำเนินงานจะเน้นการเติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นยอดสินเชื่อปล่อยเช่าซื้อที่ปล่อยใหม่ ยอดสินเชื่อคงค้าง และด้านผลกำไร ซึ่งจะดำเนินการไปพร้อมกับการบริหารความเสี่ยงให้อยู่ในกรอบที่บริษัทควบคุมได้ โดยบริษัทได้ตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อที่ปล่อยใหม่ไว้มากกว่า 10% หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 3 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะทำให้ยอดสินเชื่อคงค้างในสิ้นปีหน้าอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท ส่วนทางด้านผลกำไรนั้นบริษัทก็ได้ตั้งเป้าหมายมีการเติบโตมากกว่า 300 ล้านบาท
"แม้ว่าในปีหน้าเศรษฐกิจะเริ่มฟื้นตัว การปล่อยสินเชื่อเริ่มจะกระเตื้องขึ้น แต่เราก็ยังคงต้องมีความระมัดระวังและการบริหารความเสี่ยงที่ดีอยู่ เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาในภายหลัง"นายอิสสระกล่าว
สำหรับกลยุทธ์หลักๆ บริษัทจะเน้นปล่อยสินเชื่อไปที่รถกระบะมากขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจจะตกต่ำ แต่ตลาดรถกระบะยังมีการเติบโตที่ดีอยู่ ในขณะที่รถเก๋งก็มีการชะลอตัวลงไปบ้าง ซึ่งบริษัทเล็งเห็นโอกาสตรงนี้ แม้จะมีความเสี่ยงที่หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) จะเพิ่มมากขึ้นก็ตาม แต่บริษัทยังเชื่อว่าในอนาคตจะสามารถบริหารความเสี่ยงที่จะเกิดขึ้นได้
"ต้องยอมรับว่าถ้าจะเน้นรถกระบะ ความเสี่ยงก็ต้องมีมากขึ้น เราจึงตั้งเป้ารักษาเอ็นพีแอลในปีหน้าไม่ให้เกิด 2.2% โดยปัจจุบันบริษัทมีสัดส่วนปล่อยรถเก๋งอยู่ที่ 75% และรถกระบะ 25% ซึ่งในปีหน้าจะปรับเปลี่ยนสัดส่วนเป็นรถเก๋งให้เหลือ 70% และรถกระบะจะเพิ่มเป็น 30%" นายอิสระกล่าว
ส่วนผลการดำเนินงานในปี 2552 โดยเฉพาะเดือนธันวาคมบริษัทมียอดสินเชื่อที่ปล่อยใหม่อยู่ที่ 2.5 พันล้านบาท หรือคิดเป็น 5.5 พันคัน ซึ่งก็เป็นไปตามฤดูกาล เนื่องจากมีงานมหกรรมมอเตอร์ เอ็กซ์โป ทำให้ยอดสินเชื่อขยับขึ้นมาอย่างรวดเร็ว จากเป้าหมายการปล่อยสินเชื่อที่ใหม่ทั้งปีนี้ตั้งไว้ที่ 3 หมื่นล้านบาท ส่วนยอดสินเชื่อคงค้างสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกินเป้าที่ตั้งไว้ที่ 4.2 หมื่นล้านบาท สำหรับเอ็นพีแอล ณ เดือนธันวาคม อยู่ที่ 1.6% ในขณะที่เป้าหมายตั้งไว้ที่ 1.78% ส่วนผลกำไรตั้งเป้าไว้ที่ 226 ล้านบาท แต่ปรากฏว่า 11 เดือนสามารถกำไรได้แล้ว 217 ล้านบาท จึงมั่นใจว่าเมื่อจบสิ้นปีนี้จะทำได้ 230-240 ล้านบาท
"จากผลการดำเนินงาน 11 เดือนที่ผ่านมา เป็นไปตามเป้าหมายในทุกด้าน จึงมั่นใจว่ายอดสินเชื่อใหม่ในสิ้นปีนี้จะปล่อยได้สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ 3 หมื่นล้านบาทอย่างแน่นอน ในขณะที่ยอดสินเชื่อคงค้างก็เชื่อว่าน่าจะอยู่ที่ 4.3 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าที่ตั้งไว้ประมาณ 1 พันล้านบาท ส่วนกำไรก็น่าจะทำได้ 230 -240 ล้านบาท เกินจากเป้าที่ตั้งไว้ 226 ล้านบาท ด้านเอ็นพีแอลก็เชื่อว่าน่าจะต่ำกว่าเป้าทั้งปีที่ตั้งไว้ 1.78% ได้ ซึ่งลูกค้าของบริษัทส่วนใหญ่เป็นลูกค้าของธนาคารกสิกรไทยเกือบ 90%"นายอิสระ กล่าว