ASTVผู้จัดการรายวัน - กสิกรไทยธุรกิจสาขาต่างประเทศ โดยเฉพาะจีนยังไปได้ดี คุยยอดการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีของสาขาในจีน 2 สาขาปีนี้โตต่อเนื่อง จากเศรษฐกิจจีนมีการเติบโตสูง พร้อมรุกตลาดเต็มที่ในปีหน้า โดยตั้งเป้าเติบโตสินเชื่อไว้ที่ 100% จากปีนี้ที่ตั้งหมายการปล่อยสินเชื่อ 200 ล้านหยวน
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า การทำธุรกิจสาขาของธนาคารที่อยู่ในประเทศจีนทั้ง 2 สาขาในปัจจุบันถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งสาขาที่มณฑลเสินเจิ้น และที่เกาะฮ่องกง ถึงแม้ว่าวิกฤตการเงินโลกจะส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก แต่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของประเทศจีนก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน
โดยการทำธุรกิจของสาขาธนาคารในจีนจะเป็นลักษณะพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารท้องถิ่น(พาร์ทเนอร์)ที่ชื่อว่าธนาคารหมิงเชิน ซึ่งจะเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ที่เป็นชาวจีนที่อยู่ในภาคการผลิตและการบริการ โดยขณะนี้สามารถปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีได้แล้วประมาณ 60-70 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเม็ดเงินไทยจะอยู่ที่ 300-350 ล้านบาท จากเป้าหมายที่สาขาของธนาคารตั้งไว้ว่าในปี 2552 นี้ปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีในจีนจะขยายตัวที่ 200 ล้านหยวน หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาขาของธนาคารจะปล่อยวงเงินสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายละ 20-60 ล้านหยวน จากจำนวนลูกค้าในขณะนี้ที่มีอยู่ประมาณ 50 ราย และระยเวลาในการปล่อยสินเชื่อแต่ละรายจะอยู่ที่สูงสุดไม่เกิน 1 ปี ซึ่งคุณภาพของลูกค้าแต่ละรายที่สาขาของธนาคารปล่อยสินเชื่อให้นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ดี และไม่มีปัญหาเรื่องการชำระหนี้คืนแต่อย่างใด โดยแต่ละสาขาของธนาคารจะมีหน่วยงานที่ชื่อว่า ฝ่ายบริหารและพัฒนาธุรกิจสำนักงานต่างประเทศ(สต.) ขึ้นมาเพื่อดูแลและบริหารจัดการการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าซึ่งจะมีชาวจีนเป็นทีมบริหาร ขณะเดียวกันธนาคารก็มีการใช้แนวทางในการบริหารความเสี่ยง(Risk Management) ของธนาคารกสิกรไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยไปใช้ร่วมกับแนวทางของสาขาต่างประเทศ
“การทำธุรกิจสาขาต่างประเทศที่อยู่ในจีนของเราปีนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนถือว่าสูงมาก ดังนั้น เราจึงพยายามทำธุรกิจสินเชื่อที่เกี่ยวกับซับพลายเชนเป็นหลัก โดยเราจะเอาผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เรามีตอนนี้ไปปรับใช้ที่จีน แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่มีการพัฒนาสูงแต่ปัจจัยเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานก็ยังมีไม่หมด เพราะฉะนั้นเราจึงต้องวางตำแหน่งให้ดีในการทำธุรกิจสาขาของธนาคารที่จีน ซึ่งเราจะวางมาตรฐานที่ได้คุณภาพในทุกๆด้านที่เกี่ยวกับการให้บริการสินเชื่อกับลูกค้าในสาขาที่มณฑลเสินเจิ้นก่อนแล้วจึงจะขยายสาขาไปที่มณฑลอื่นที่อยู่ในจีน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปตั้งสาขาทุกแห่งในจีนได้ เพราะเราต้องเข้าใจศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจของเราด้วย” นายพิพิธ กล่าว
ดังนั้น ธนาคารจึงตั้งเป้าหมายว่าในส่วนของการดำเนินธุรกิจของสาขาต่างประเทศตั้งแต่ปีนี้จนถึงปีหน้าจะรุกทำการตลาดในจีนเป็นหลัก โดยเป้าหมายการทำธุรกิจสาขาของธนาคารที่ตั้งอยู่ในจีนทั้ง 2 สาขานั้นในปี 2553 จะต้องโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2552 คือปีหน้าทั้งปียอดการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีจะเติบโต 100% เมื่อเทียบกับปีนี้
นายพิพิธ เอนกนิธิ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (KBANK) เปิดเผยว่า การทำธุรกิจสาขาของธนาคารที่อยู่ในประเทศจีนทั้ง 2 สาขาในปัจจุบันถือว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งสาขาที่มณฑลเสินเจิ้น และที่เกาะฮ่องกง ถึงแม้ว่าวิกฤตการเงินโลกจะส่งผลกระทบต่อทุกประเทศทั่วโลก แต่อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ(จีดีพี)ของประเทศจีนก็ยังถือว่าอยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับประเทศที่ตั้งอยู่ในภูมิภาคเดียวกัน
โดยการทำธุรกิจของสาขาธนาคารในจีนจะเป็นลักษณะพันธมิตรทางธุรกิจกับธนาคารท้องถิ่น(พาร์ทเนอร์)ที่ชื่อว่าธนาคารหมิงเชิน ซึ่งจะเป็นการปล่อยสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม(เอสเอ็มอี)ที่เป็นชาวจีนที่อยู่ในภาคการผลิตและการบริการ โดยขณะนี้สามารถปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีได้แล้วประมาณ 60-70 ล้านหยวน หรือคิดเป็นเม็ดเงินไทยจะอยู่ที่ 300-350 ล้านบาท จากเป้าหมายที่สาขาของธนาคารตั้งไว้ว่าในปี 2552 นี้ปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีในจีนจะขยายตัวที่ 200 ล้านหยวน หรือประมาณ 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ สาขาของธนาคารจะปล่อยวงเงินสินเชื่อให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอีรายละ 20-60 ล้านหยวน จากจำนวนลูกค้าในขณะนี้ที่มีอยู่ประมาณ 50 ราย และระยเวลาในการปล่อยสินเชื่อแต่ละรายจะอยู่ที่สูงสุดไม่เกิน 1 ปี ซึ่งคุณภาพของลูกค้าแต่ละรายที่สาขาของธนาคารปล่อยสินเชื่อให้นั้นถือว่าอยู่ในระดับที่ดี และไม่มีปัญหาเรื่องการชำระหนี้คืนแต่อย่างใด โดยแต่ละสาขาของธนาคารจะมีหน่วยงานที่ชื่อว่า ฝ่ายบริหารและพัฒนาธุรกิจสำนักงานต่างประเทศ(สต.) ขึ้นมาเพื่อดูแลและบริหารจัดการการปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าซึ่งจะมีชาวจีนเป็นทีมบริหาร ขณะเดียวกันธนาคารก็มีการใช้แนวทางในการบริหารความเสี่ยง(Risk Management) ของธนาคารกสิกรไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศไทยไปใช้ร่วมกับแนวทางของสาขาต่างประเทศ
“การทำธุรกิจสาขาต่างประเทศที่อยู่ในจีนของเราปีนี้ ถือว่าประสบความสำเร็จมาก เพราะการเติบโตทางเศรษฐกิจของจีนถือว่าสูงมาก ดังนั้น เราจึงพยายามทำธุรกิจสินเชื่อที่เกี่ยวกับซับพลายเชนเป็นหลัก โดยเราจะเอาผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เรามีตอนนี้ไปปรับใช้ที่จีน แต่อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าจีนจะเป็นประเทศที่มีการพัฒนาสูงแต่ปัจจัยเกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐานก็ยังมีไม่หมด เพราะฉะนั้นเราจึงต้องวางตำแหน่งให้ดีในการทำธุรกิจสาขาของธนาคารที่จีน ซึ่งเราจะวางมาตรฐานที่ได้คุณภาพในทุกๆด้านที่เกี่ยวกับการให้บริการสินเชื่อกับลูกค้าในสาขาที่มณฑลเสินเจิ้นก่อนแล้วจึงจะขยายสาขาไปที่มณฑลอื่นที่อยู่ในจีน แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะไปตั้งสาขาทุกแห่งในจีนได้ เพราะเราต้องเข้าใจศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจของเราด้วย” นายพิพิธ กล่าว
ดังนั้น ธนาคารจึงตั้งเป้าหมายว่าในส่วนของการดำเนินธุรกิจของสาขาต่างประเทศตั้งแต่ปีนี้จนถึงปีหน้าจะรุกทำการตลาดในจีนเป็นหลัก โดยเป้าหมายการทำธุรกิจสาขาของธนาคารที่ตั้งอยู่ในจีนทั้ง 2 สาขานั้นในปี 2553 จะต้องโตแบบก้าวกระโดดจากปี 2552 คือปีหน้าทั้งปียอดการปล่อยสินเชื่อเอสเอ็มอีจะเติบโต 100% เมื่อเทียบกับปีนี้
