xs
xsm
sm
md
lg

ฉากจบฮุนเซนจับ “ศิวรักษ์” แม่-นพดลและคนของทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ละครฉากจบ-“นางสิมารักษ์ ณ นครพนม” แม่ “นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์” ขณะแถลงข่าวร่วมกับนายนพดล ปัทมะ เมื่อวันที่ 30 พ.ย.เพื่อแสดงความขอบคุณที่นายนพดลให้ความช่วยเหลือ
ภาพและข่าวของ “นางสิมารักษ์ ณ นครพนม” แม่ “นายศิวรักษ์ ชุติพงษ์” วิศวกรของบริษัท บริการการเดินอากาศกัมพูชา (Cambodia Air Traffic Services)หรือ CATS ที่ถูกรัฐบาลกัมพูชาจับในข้อหาจารกรรมข้อมูลทางการบินของนช.ทักษิณ ชินวัตรไปปรากฏตัวที่พรรคเพื่อไทยเพื่อขอบคุณ “นายนพดล ปัทมะ” ที่ให้การช่วยเหลือลูกชาย คือบทพิสูจน์ให้เห็นชัดเจนถึงละครน้ำเน่าที่วางพล็อตตอนจบเอาไว้อย่างไม่แนบเนียน จนคนทั้งบ้านทั้งเมือง(ยกเว้นคนเสื้อแดง) จับได้

เหตุที่บอกว่า เป็นฉากจบที่ไม่เนียนก็เพราะเป็นที่คาดการณ์กันตั้งแต่แรกแล้วว่า สุดท้าย นช.ทักษิณจะต้องยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือเพื่อสร้างภาพให้ตัวเองเป็นฮีโร่ สามารถช่วยเหลือคนตกทุกข์ได้ยากเหนือนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุดท้ายก็เป็นเช่นนั้นจริงๆ

กล่าวคือ หลังจากกระทรวงการต่างประเทศยื่นมือเข้ามาให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ โดยประสานให้นางสิมารักษ์ได้พบหน้าลูกชายทึ่ถูกคุมขังอยู่ที่เรือนจำเพซอ สังคมก็คิดว่า ละครฉากนี้คงจะจบสิ้นภายในไม่ช้า แต่การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น โดยตัวละครที่มีพิรุธที่สุดก็คือแม่ของนายศิวรักษ์นั่นเอง

กระทั่งในการแถลงข่าววันนั้น(30 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวที่อยู่ในเหตุการณ์อดรนทนไม่ไหวถึงขนาดตั้งคำถามว่า จริงๆ แล้ว ทั้งนางสิมารักษ์และนายศิวรักษ์ เป็นกลุ่มคนเสื้อแดงที่รักนช.ทักษิณหรือไม่ เพราะมีข้อมูลออกมาว่า นางสิมารักษ์รู้จักคุ้นเคยกับนายใหญ่แห่งดูไบมาก่อน ซึ่งนางสิมารักษ์ก็ตอบปฏิเสธออกมาว่า “พูดกันไปเรื่อยเปื่อย ตนเป็นข้าราชการ รู้ว่าควรไม่ควรอย่างไร”

ตามกำหนดการเดิมนั้น กระทรวงการต่างประเทศได้ประสานให้นางสิมารักษ์ไปเยี่ยมลูกชายครั้งที่ 2 ในช่วงระหว่างวันที่ 7-8 ธันวาคมที่จะถึงนี้ แต่นางสิมารักษ์อ้างว่า หากรอตามกำหนดการของกระทรวงการต่างประเทศเกรงจะช้าเกินไป เพราะหลังไปเยี่ยมครั้งแรกพบว่า ยังมีสิ่งของจำเป็นขาดอยู่เยอะดังนั้น จึงหวังว่าจะได้รับความเมตตาจากพรรคเพื่อไทยดำเนินการได้รวดเร็วกว่า

คำถามที่เกิดขึ้นก็คือ สิ่งของจำเป็นที่นางสิมารักษ์อ้างว่าจำเป็นนั้น จริงๆ แล้วคือสิ่งของอะไร และจำเป็นจริงหรือไม่ เพราะถ้าสิ่งของจำเป็นที่ว่าเป็นดังที่นางสิมารักษ์ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางไปเยี่ยมลูกชายว่า ได้เตรียมชุดนอน เสื้อยืด ผ้าเช็ดตัว พร้อมอาหารแห้งไปให้ ก็ดูจะไม่สมเหตุสมผลเท่าใดนัก

ขณะเดียวกันนางสิมารักษ์ยังดิสเครดิตกระทรวงการต่างประเทศที่ดำเนินการช่วยเหลืออย่างเต็มที่มาโดยตลอดอีกต่างหากว่า การช่วยเหลือรู้สึกว่าจะช้าไปหน่อยสำหรับผู้ที่ประสบเคราะห์กรรมและกำลังร้อนใจ ก่อนที่จะปิดท้ายด้วยประโยคเด็ดว่า “การที่ขอให้พรรคเพื่อไทยช่วยเหลือเพราะเกรงใจรัฐบาล”

ตรงนี้มีความหมายว่า ไม่อยากให้รัฐบาลช่วยใช่หรือไม่ หรือต้องการให้พรรคเพื่อไทยช่วยมากกว่ากันแน่

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบข้อมูลจากคำให้สัมภาษณ์ของ น.ส.วิมล คิดชอบ อธิบดีกรมสารนิเทศและโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ก็จะพบจุดที่ผิดสังเกตุที่น่าคิดอยู่ไม่น้อย เพราะ น.ส.วิมลยืนยันว่า ก่อนหน้านี้นางสิมารักษ์ไม่ได้หารือกับกระทรวงการต่างประเทศก่อนว่าจะไปหาลูกชายก่อนวันที่ 7 ธ.ค. เนื่องจากนัดกันแล้วว่าจะไปวันที่ 7 ธ.ค.ส่วนเรื่องข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็น ทางรองอธิบดีกรมการกงสุลก็ประสานกับทนายเพื่อนำไปให้ได้ ไม่ใช่เรื่องที่น่าห่วงแต่อย่างใด

จากคำให้สัมภาษณ์ของโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สามารถตีความหมายได้หรือไม่ว่า นางสิมารักษ์มีเจตนาที่จะขอความช่วยเหลือจากพรรคเพื่อไทย ขอความช่วยเหลือจากนช.ทักษิณมากกว่ารัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เพราะถ้าต้องการให้กระทรวงการต่างประเทศเลื่อนวันให้พบกับลูกชายได้เร็วกว่าเดิม ก็น่าจะมีการประสานงานเข้ามา

นอกจากนั้น จุดที่ผิดสังเกตอีกจุดหนึ่งก็คือ การเลือกไปขอความช่วยเหลือจากนายนพดล ปัทมะ ซึ่งมองทางไหนก็ไม่เห็นวี่แววว่า นายนพดลจะมีศักยภาพเพียงพอที่จะช่วยได้ ขณะที่นายนพดลเองก็รีบออกตัวว่า การเดินทางไปครั้งนี้ไม่เกี่ยวกับ นช.ทักษิณแต่อย่างใด แต่สุดท้ายตัวเองกลับเผยไต๋ออกมาให้เห็นว่า “ไม่ว่าศาลกัมพูชาจะตัดสินนายศิวรักษ์ออกมาอย่างไร ก็ขอให้ผู้เป็นมารดามั่นใจได้ว่า เราจะช่วยอย่างเต็มที่ในฐานะคนไทยด้วยกัน แล้วเมื่อคำตัดสินออกมาอย่างไร เราก็ต้องอาศัยบารมีของ พ.ต.ท.ทักษิณและพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทยมาช่วยอีกขั้นหนึ่ง”

นายนพดลพูดเป็นนัยเพื่อให้เข้าใจว่า นช.ทักษิณและพล.อ.ชวลิตสามารถช่วยเหลือนายศิวรักษ์ได้อย่างแน่นอน

นอกจากนี้ สิ่งที่น่าแปลกใจก็คือ การขอความช่วยเหลือจากนายนพดล นางสิมารักษ์ก็เพิ่งติดต่อมาในช่วงเช้าของวันที่ 30พ.ย.จากนั้นก็ควงคู่กันมาแถลงข่าวที่พรรคเพื่อไทยในเวลา 15.00 น. และในวันรุ่งขึ้นคือวันที่ 1 ธ.ค. “เด็จพี่” นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทยก็ออกมาแถลงข่าวว่า รัฐบาลกัมพูชาได้อนุญาตให้นางสิมารักษ์ได้พบหน้าลูกชายในวันที่ 2 ธ.ค.

นี่เป็นเรื่องที่รวดเร็วอย่างเหลือเชื่อ เร็วจนอดสงสัยไม่ได้ว่า มีการเตรียมการจัดฉากเอาไว้ล่วงหน้าโดยการรู้เห็นเป็นใจของนายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาหรือไม่

ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ ในระหว่างการแถลงข่าว “เด็จพี่” ได้ต่อสายให้นางสิมารักษ์โฟนอินเข้ามาขอบอกขอบใจพรรคเพื่อไทยโชว์อีกต่างหาก ซึ่งต้องบอกว่า เป็นเกมที่ฉีกหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยเฉพาะนายอภิสิทธิ์และนายกษิตออกเป็นริ้วๆ จนหมอไม่นับเย็บเลยทีเดียว

และอีกจุดหนึ่งที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้อยู่ตรงคำพูดของนางสิมารักษ์ที่บอกว่า “ในฐานะที่เป็นชาวนครพนม เคยได้รับการช่วยเหลือจาก ส.ส.นครพนม และ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานพรรคเพื่อไทย”

นั่นแสดงว่า นางสิมารักษ์มีความรู้จักและคุ้นเคยกับ พล.อ.ชวลิตมาก่อนหน้านี้แล้วใช่หรือไม่

ส่วนที่เด็ดที่สุดอยู่ตรงที่ในวันเดียวกันนั้นเอง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง เจ้าของฟาร์มเลี้ยงแกะเรื่องเทปลับที่ด้านหน้าออกมาแถลงข่าวในเชิงเยาะเย้ยถากถางนายอภิสิทธิ์และรัฐบาลว่า เป็นรัฐบาลที่ไร้ความสามารถ เพราะไม่สามารถช่วยเหลือคนไทยที่ตกทุกข์ได้ยาก จนต้องอาศัยความช่วยเหลือจากพรรคเพื่อไทย

มันช่างเป็นฉากจบของเรื่องที่เหมาะเจาะลงตัวในการสร้างคะแนนนิยมให้กับนายใหญ่แห่งดูไบได้ดีเสียเหลือเกิน...

คำถามสุดท้ายที่เกิดขึ้นก็คือ แล้วรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์จะแก้ปัญหาอย่างไรในเมื่อถูกแย่งซีนกันซึ่งๆ หน้าอย่างนี้

โถ....“มาร์ค” ง้อฮุนเซน ความพยายามของนายกฯ ไร้เดียงสา

“มาร์ค” โทร.ง้อ “ฮุนเซน” ประเคนเงินกู้ 1.4 พันล้าน...

พาดหัวข่าวตัวไม้ในหนังสือพิมพ์หลายฉบับ อาจทำให้ใครหลายคนรู้สึกแปลกๆ ในพฤติกรรมของ “นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีของไทยว่า กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ เพราะในขณะที่นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีของกัมพูชา เพื่อนชั่วนิรันดร์ของนช.ทักษิณ ไม่ไหวหน้า เปิดฉากให้สัมภาษณ์โจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างไม่ไว้หน้า แต่นายอภิสิทธิ์กลับไม่ยอมรับความเป็นจริงว่า นายฮุนเซนนั้นเกลียดขี้หน้าตนเองมากขนาดไหน

1 ธ.ค.นายฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ก็ออกมาให้สัมภาษณ์อย่างแข็งกร้าวว่า กัมพูชาจะไม่มีความสุขเลยถ้านายอภิสิทธิ์และนายกษิตอยู่ในอำนาจเพราะทั้ง 2 คนพูดจาดูหมิ่นกัมพูชากรณีไม่ยอมส่งตัวนช.ทักษิณให้

นี่คือการแทรกแซงอธิปไตยของราชอาณาจักรไทยอย่างตรงไปตรงมา เพราะคำพูดของนายฮุนเซนสามารถตีความหมายว่า ไม่ต้องการให้นายอภิสิทธิ์เป็นนายกรัฐมนตรีต่อไป หรือสรุปง่ายๆ ก็คือ ไม่ต้องการให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล ต้องการล้มรัฐบาลนี้และต้องการให้พรรคเพื่อไทยที่เป็นนอมินีของ นช.ทักษิณขึ้นมาบริหารประเทศเพื่อให้สถานการณ์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับกัมพูชาดีขึ้น

แต่วันรุ่งขึ้นนายอภิสิทธิ์กลับออกมาให้สัมภาษณ์ถึงคำพูดของนายฮุนเซนว่า มีการให้ข้อมูลในทางผิดๆ ทำให้เกิดความเข้าใจผิด ซึ่งถ้าหากไม่ไร้เดียงสาในทางการเมืองระหว่างประเทศจนเกินไปนัก ใครๆ ก็รู้ว่า สิ่งที่นายฮุนเซนคิด พูดและทำ ไม่ได้เกิดจากความเข้าใจผิด นายฮุนเซนเข้าใจการเมืองไทยเป็นอย่างดี แต่จงใจและเจตนาที่จะพูดเช่นนั้น เพราะเขาต้องการเล่นเกมการเมืองข้ามประเทศเพื่อช่วย นช.ทักษิณล้มรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์

ขณะที่การประกาศยกเลิกการกู้เงินจากไทย 1.4 พันล้านบาทเพื่อสร้างถนน ก็ไม่ใช่การเข้าใจผิดดังเช่นที่นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีให้สัมภาษณ์อีกเช่นกัน เพราะนายฮุนเซนรู้ดีกว่า การยกเลิกข้อตกลงร่วมหรือเอ็มโอยูพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการยกเลิกวงเงินกู้ของไทย แต่นายฮุนเซนต้องการเดินเกมเขย่าเก้าอี้รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เพื่อแสดงให้เห็นว่า เขาต้องเลือกที่จะอยู่ข้าง นช.ทักษิณ ดังนั้น นายอภิสิทธิ์จึงไม่จำเป็นที่จะต้องโทรศัพท์ไปงอนง้อขออธิบายข้อมูลกับนายฮุนเซน

ที่น่าเอน็จอนาถก็คือ หลังจากนายอภิสิทธิ์ตากหน้าโทรศัพท์ไปงอนง้อนายฮุนเซนชนิดตดยังไม่ทันหายเหม็น นายฮุนเซนก็ออกมาโจมตีรัฐบาลนายอภิสิทธิ์อีก

การกระทำของนายฮุนเซนแสดงให้เห็นชัดมาโดยตลอดว่า เขาพร้อมจะเผชิญหน้ากับประเทศไทยในทุกมิติ และไม่ต้องการสานสัมพันธ์กับรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์แต่อย่างใด ไม่ใช่ความเข้าใจผิดอย่างที่นายอภิสิทธิ์ชี้แจง และตัวอย่างที่ตอกย้ำให้เห็นชัดๆ ก็คือ การอนุญาติให้นางสิมารักษ์ ณ นครพนม แม่ของนายศิวรักษ์ ชุติพงษ์ วิศวกรไทยที่ถูกจับเข้าพบก่อนถึงวันกำหนดนัดหมายที่ตกลงกับกระทรวงการต่างประเทศไทยเอาไว้

ดังนั้น ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลจะต้องพูดความจริงให้ประชาชนได้รับทราบ และพร้อมที่จะเผชิญกับทุกสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นจากสิ่งที่ดำรงอยู่เพื่อธำรงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีและเกียรติภูมิของราชอาณาจักรไทย ไม่ใช่เล่นละครตบตาประชาชนไปวันๆ เยี่ยงนี้

ที่สำคัญคือนายอภิสิทธิ์ไม่จำเป็นที่จะต้องอธิบายเหตุผลใดๆ กับคำพูดของนายฮุนเซนอีกต่อไป เพราะไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ แถมยังส่งผลลบกับตัวนายอภิสิทธิ์เองอีกต่างหากว่า เป็นนายกรัฐมนตรีที่ไร้เดียงสาในทางการเมืองระหว่างประเทศ

กำลังโหลดความคิดเห็น