ปฏิบัติการสังหารโหดฆ่า “นางสุนัทที เนื่องจำนงค์” นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์คนสำคัญ เจ้าของโครงการไพร์ม เนเจอร์ เมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา สร้างความสั่นสะเทือนไปในหลากหลายวงการ เนื่องเพราะนางสุนัททีไม่ใช่แค่ไฮโซหรือนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ธรรมดาๆ
หากแต่นางสุนัททีเป็นน้องสาวของ “นายพิพัฒน์ โรจน์วานิชชากร” หรือ “เสี่ยฮวด” ผู้กว้างขวางแห่งอำเภอบ้านบึงและอำเภอบ่อทอง จังหวัดชลบุรี ที่ถูกกลุ่มมือปืนใช้อาวุธสงครามทั้งปืนอาก้าและเอ็ม 16 ดับชีวิตไปเมื่อวันที่ 5 เมษายน 2552
ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นางสุนัททียังเป็นภรรยาของ พล.ต.ต.ปิยะชาติ เนื่องจำนงค์ อดีตรองผู้บังคับการตำรวจนครบาล 4 ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวจากภรรยาคนแรกของ “นายประโยชน์ เนื่องจำนงค์” อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ผู้ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่า เป็น “แลนลอร์ด” 1 ใน 2 คนของอำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี โดยมีที่ดินมากถึงราว 3-4 หมื่นไร่
ด้วยเหตุดังกล่าว การตายของ “นางสุนัทที” ก่อให้เกิดคำถามตามมามากมาย
ใครฆ่า? ฆ่าเพราะอะไร? ทำไมถึงฆ่า?
แต่คำถามสำคัญที่เชื่อว่าทุกคนอยากรู้ก็คือ ใครเป็นผู้วางแผนฆ่า?
แน่นอน เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องธรรมดา หากแต่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ก้อนมหึมาที่นำมาซึ่งปมขัดแย้งและนำไปสู่การสั่งการให้มือปืนเด็ดชีพอย่างอุกอาจเช่นนี้
ย้อนเส้นทางสายเลือดคนดังเมืองชล
เรื่องราวชีวิตของนางสุนัททีนั้น ต้องบอกว่า มีเส้นสายโยงใยที่ไม่ธรรมดา เนื่องเพราะเธอมีนามสกุลเดิมคือ โรจน์วานิชชากร ซึ่งเป็นประจักษ์พยานว่า เธอเกิดมาในครอบครัวของหนึ่งในผู้กว้างขวางคนหนึ่งของจังหวัดชลบุรี โดยเฉพาะพี่ชายแท้ๆ ของเธอคือ “นายพิพัฒน์ โรจน์วานิชชากร” หรือ “เสี่ยฮวด” ที่ไม่มีใครในอำเภอบ่อทองและอำเภอบ้านบึงไม่รู้จัก
อย่างไรก็ตาม ความไม่ธรรมดาก็เกิดขึ้นเป็นคำรบที่สอง เมื่อนางสุนัททีได้ร่วมหอลงโรงกับ “พล.ต.ต.ปิยะชาติ เนื่องจำนงค์” บุตรชายของ “นายประโยชน์ เนื่องจำนงค์” อีกหนึ่งผู้กว้างขวางของจังหวัดชลบุรี ซึ่งนั่นเท่ากับว่า นางสุนัททีได้รวมความยิ่งใหญ่ของ 2 ตระกูลเข้าไว้ด้วยกัน
คำถามก็คือ ทำไมน้องสาวของเสี่ยฮวดคือนางสุนัททีถึงได้ไปแต่งงานกับ พล.ต.ต.ปิยะชาติ ลูกชายของนายประโยชน์ได้
คำตอบก็คือ เป็นเพราะเสี่ยฮวดนั้นถือเป็นหนึ่งในคนใกล้ชิดของนายประโยชน์ หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นลูกน้องเก่า ดังนั้น จึงไม่แปลกใจที่ทั้ง 2 คนจะรู้จักกันและในที่สุดก็ตกร่องปล่องชิ้นเป็นสามีภรรยากัน
ทว่า สุดท้ายนางสุนัททีก็ต้องจบชีวิตในลักษณะเดียวกับพี่ชายของเธอ รวมทั้งคนดังอีกหลายคนของจังหวัดชลบุรี
ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปขุดคุ้ยเรื่องราวเก่าๆ ของจังหวัดชลบุรี ก็จะพบความจริงประการหนึ่งว่า การล้างแค้นและการแก้ปัญหาด้วยการฆ่าเป็นเรื่องปกติของบรรดา “ผู้กว้างขวาง” ทั้งหลายที่มีผลประโยชน์ขัดแย้งกัน เพราะในยุคนั้น การฆ่ากันด้วยอาวุธสงครามดูเหมือนจะเป็นเรื่องธรรดาเพราะหาซื้อได้ไม่ง่ายนัก
คนดังที่ถูกฆ่าอย่างอุกอาจที่เชื่อว่าหลายคนยังคงจำได้ดีก็อย่างเช่น "เสี่ยจิว-เสี่ยฮวด-เสี่ยเก๊า"
สำหรับคนดังรายแรกๆ ที่ต้องเผชิญกับความตายก็คือ “นายนคร จึงประเสริฐ” ลูกชายของนายเกียง จึงประเสริฐ หรือ หลงจู๊เกียง เจ้าพ่อป่าแดงซึ่งทำธุรกิจจำนวนมากมาย ทั้งโรงสี โรงเรื่อยและมีความสนิทสนมกับจอมพลประภาส จารุเสถียรเป็นพิเศษ ที่ถูกคนร้ายประกบประชิดตัวและใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่ที่ใต้ตาซ้าย เสียชีวิตขณะเดินทางมาติดต่อราชการที่ศาลากลางจังหวัดชลบุรี
ว่ากันว่า ปมสำคัญของความขัดแย้งเป็นผลมาจากผลประโยชน์ในการทำเหมือง “แร่พลวง” ที่บ่อทอง
ตามต่อด้วย “เสี่ยง้ำ” หรือ “นายเจตน์ ศรีรุ่งสุขจินดา” หัวคะแนนใหญ่ของ พล.ต.ศิริ สิริโยธิน ถูกกลุ่มคนร้ายถล่มด้วยอาวุธนานาชนิดพรุนไปทั้งร่าง
จากนั้นก็มาถึงคดีฆาตกรรมที่โด่งดังที่สุดแห่งยุค นั่นก็คือ ปฏิบัติการสังหาร“เสี่ยจิว” หรือ “นายจุมพล สุขภารังษี” เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2524 ด้วยอาวุธสงครามนานาชนิดขณะเดินทางกลับจากการดูที่ดินบริเวณถนนบายพาส ตำบลหนองไม้แดง อ.เมืองชลบุรี เสียชีวิตคารถเบนซ์ 280 เอส พร้อมกับนายเฉลิม ฉันทภักดี คนขับ และนายสมศักดิ์ มิตรเกตุ คนสนิท ต่อมาเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2527 นายปาน สุภารังษี ลูกชายของเสี่ยจิวก็ถูกยิงเสียชีวิตคารถเก๋งคันเดียวกับที่พ่อของเขาถูกยิง ส่วนนางปัทมา ภรรยาและลูกๆ ได้รับบาดเจ็บสาหัส
หลังการตายของเสี่ยจิว ก็ปรากฏ "ดาวดวงใหม่" จรัสแสงขึ้นมานั่นก็คือ
"เสี่ยฮวด" หรือ นายพิพัฒน์ โรจน์วานิชชากร พี่ชายของนางสุนัทที การก้าวขึ้นมาของเสี่ยฮวดย่อมสร้างความไม่พอใจให้กับ “เจ้าพ่อภาคตะวันออก” โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่เสี่ยฮวดมีนายทุนคนสำคัญคือ “นายไชยทัศน์ เตชะไพบูลย์” แห่งธนาคารศรีนครในยุคนั้น จนสามารถกว้านซื้อที่ดินและกลายเป็นราชาที่ดินไปในชั่วพริบตา
ทั้งนี้ จุดที่ทำให้ “เจ้าพ่อภาคตะวันออก” ไม่พอใจเสี่ยฮวดมากที่สุดคือ การเข้าไปซื้อที่ดินใน อ.ศรีราชา ร่วม 2,500 ไร่ เพื่อทำโครงการศรีราชาคอมเพล็กซ์มูลค่า 2,000 ล้านบาทได้เป็นผลสำเร็จ กระทั่งนำไปสู่การออกคำสั่งให้ลงมือขจัดให้พ้นทาง
5 เมษายน 2552 ขณะที่เสี่ยฮวดเดินทางออกจากบ้านเพื่อไปต้อนรับนายไชยทัศน์ที่จะเดินทางมากราบไหว้บรรพบุรุษที่สุสานในตำบลหนองรี เมื่อขบวนเคลื่อนออกจากสุสานมาอยู่บริเวณถนนสายเศรษฐกิจ(ชลบุรี-บ้านบึง) กม. ที่ 3 ตำบลหนองรี อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี ก็ปรากฏรถปิกอัพ 2 คันปราดเข้าประกบรถของเสี่ยฮวดและใช้อาวุธสงครามนานับชนิดระดมยิงเข้าใส่เสี่ยฮวดจนเสียชีวิตตายคารถ
ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ขอออกหมายจับ “นายปรีชา สถาวร” หรือ “แดง สิงห์ป่าซุง” พร้อมกับพวก ซึ่งนายปรีชาได้เข้ามอบตัวและปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่มีการซัดทอดว่า ในการวางแผนสังหารนั้น มีนายตำรวจร่วมอยู่ด้วย จึงนำไปสู่การออกหมายจับอีก 10 คน โดยในจำนวนนี้มีเจ้าหน้าที่ตำรวจรวมอยู่ด้วย 5 คน ได้แก่ ร.ต.อ.ไชยยันต์ วิชัยดิษฐ ร.ต.อ.จักรกริช ทรงศิริ ส.ต.ต.สมยศ ชุ่มเต ส.ต.ต.สุพจน์ วงศ์จำปา ส.ต.ต.เอก ธนะธีระพงษ์
ทว่า ระหว่างที่คดีพิจารณาอยู่ในชั้นศาลแดง สิงห์ป่าซุง ก็ถูกคนร้ายดักยิงด้วยอาวุธสงครามพรุนทั้งร่างขณะอยู่ในรถกระบะโตโยต้า และสุดท้ายเมื่อขาดพยาน ศาลจึงมีคำพิพากษายกฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด
คลื่นลม ณ ชายทะเลด้านตะวันออกสงบราบเรียบได้ไม่นานก็กลับต้องระอุขึ้นอีกครบ เมื่อ "มือขวา"ของกำนันเป๊าะ คือ นายกำพล คุปตวานิชเจริญ หรือ "เสี่ยเก๊า" ถูกยิงถล่มเสียชีวิตไปอีก และตามมากับอีกหลายชีวิต
และทั้งหมดนั้นคือตัวอย่างตำนานเลือดของบรรดาผู้มีอิทธิพลแห่งชลบุรี ซึ่งเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่า นี่เป็นวิธีการแก้ปัญหาแบบคนชลบุรี และเมื่อเข้าใจวิธีการสางปมความขัดแย้งในแบบฉบับของเจ้าพ่อภาคตะวันออกแล้ว คงไม่แปลกใจว่า ทำไมจึงต้องฆ่านางสุนัทที เพราะทางตำรวจพุ่งประเด็นของการสังหารโหดนางสุนัททีว่า เป็นผลมาจากปมขัดแย้งทางธุรกิจ และปมขัดแย้งดังกล่าวอาจมีต้นสายปลายเหตุอยู่ที่ตลาดดร.ประโยชน์ เนื่องจำนงค์ ที่ตั้งอยู่ ณ ตำบลหนองซากก็เป็นได้
ทั้งนี้ หลักฐานที่สำคัญยิ่งก็คือ การที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจสรุปว่า อาวุธปืนที่ยิงนางสุนัททีนั้นคือ .38 ซึ่งเป็นปืนที่บรรดาซุ้มมือปืนในภาคตะวันออกนิยมใช้เพื่อป้องกันไม่ให้ปลอกกระสุนตกในที่เกิดเหตุ และกลายเป็นหลักฐานสาวไปถึงตัวคนร้าย ขณะที่มือปืนภาคอื่นๆ นิยมใช้ขนาด 11 มม.หรือไม่ก็อาวุธสงครามไปเลย
ขุมทรัพย์ “สุนัทที” ขุมทรัพย์ “เนื่องจำนงค์”
ที่นี้ ก็มาถึงประเด็นสำคัญอันอาจจะเป็นชนวนเหตุของการฆาตกรรมโหดสะท้านประเทศในขณะนี้ว่ามีความเกี่ยวข้องกับเรื่องอะไรบ้าง
ด้วยความที่นางสุนัททีเป็นหญิงเก่งและแกร่ง จนทำให้เป็น “คนโปรด” ของนายประโยชน์ผู้เป็นพ่อสามี ขณะที่ พล.ต.ต.ปิยะชาติ สามีนายตำรวจเองก็ไม่มีความถนัดในทางธุรกิจการค้าเท่าใดนัก ทำให้เธอมีโอกาสได้เข้ามาบริหารจัดการทรัพย์สมบัติต่างๆ ของสามี รวมทั้งทรัพย์สมบัติของตระกูลเนื่องจำนงค์ตามที่ได้รับมอบหมายจากนายประโยชน์ นอกเหนือจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เธอปลุกปั้นมาด้วยตัวเอง
เพราะต้องไปลืมว่า นายประโยชน์นั้นคือแลนด์ลอร์ดที่มีที่ดินอยู่ในมือจำนวนมาก เรียกว่าเป็น 1 ใน 2 เจ้าพ่อที่ดินของอำเภอบ้านบึงที่เคียงคู่มากับ “นายดรงค์ สิงห์โตทอง” หรือ “เฮียซุ้ย” นายกสมาคมกลุ่มอาชีพการเกษตรเลยทีเดียว
ก่อนการเสียชีวิต นางสุนัททีมีงานใหญ่งานหนึ่งที่กำลังปลุกปั้น นั่นก็คือ การดึงกลุ่มทุนจากสหรัฐฯ มาเป็นพันธมิตรร่วมพัฒนาเอนเตอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ บนที่ดินของตระกูลเนื่องจำนงค์ ที่จังหวัดชลบุรี พื้นที่ราว 6,000 ไร่ ด้วยการเนรมิตให้เป็นโรงแรมระดับ 5 ดาว สนามกอล์ฟขนาด 18 หลุม 1 สนาม สปอร์ตคลับ ศูนย์สุขภาพและที่อยู่อาศัยในรูปแบบลองสเตย์ เพื่อรองรับนักเดินทางและผู้อยู่อาศัยในย่านสนามบินสุวรรณภูมิ
การเข้าไปแตะที่ดินของตระกูลเนื่องจำนงค์ของนางสุนัททีนั้น นัยว่า ได้ก่อให้เกิดแรงกระเพื่อมสำคัญขึ้นในตระกูล เพราะต้องไม่ลืมว่า นายประโยชน์ไม่ได้มีภรรยาคือ “นางรำแพน” แค่คนเดียวเท่านั้น หากยังแตกสาแหรกออกไปในอีกหลายสาย
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่ถูกจับตามองมากที่สุดก็คือกรณีความขัดแย้งในกิจการตลาดเกษตรและอาหารชื่อ “ตลาดดร.ประโยชน์ เนื่องจำนงค์” ซึ่งตั้งอยู่เลขที่ 5 หมู่ 10 บริเวณสี่แยกหนองชาก ตำบลหนองชาก อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี ซึ่งนางสุนัททีได้รับมอบหมายจากพ่อสามีให้เป็นผู้ควบคุมและดูแลผลประโยชน์ทั้งหมดหลังจากเกิดปัญหา “คนใกล้ชิด” ที่นายประโยชน์มอบหมายให้ดูแลกิจการในช่วงเดือนสิงหาคม 2552 ได้ขึ้นค่าเช่าแผงจากเดือนละ 300-500 บาท เป็นแผงละ 1,500 บาท จนพ่อค้าแม่ค้าในตลาดไม่พอใจและรวมตัวกันร้องเรียนต่อนายประโยชน์
และคนใกล้ชิดดังกล่าวก็มีนามสกุล “เนื่องจำนงค์” อีกต่างหาก
หลังได้รับมอบหมาย นางสุนัททีได้ตัดสินใจคิดค่าเช่าแผงในอัตราเท่าเดิมคือ 300-500 บาท พร้อมทั้งแต่งตั้งให้คณะผู้บริหารชุดใหม่เข้าไปควบคุมกิจการแทนผู้บริหารชุดเก่า และขอให้พ่อค้าแม่ค้าผู้เช่าแผงแต่ละราย ทั้งเช่ารายวัน รายเดือนหรือเซ้งรายปี นำเงินค่าเช่าแผงไปชำระให้กับผู้บริหารชุดใหม่ที่ได้รับมอบหมาย โดยไม่รับผิดชอบการทำธุรกรรมกับผู้จัดการตลาดชุดเก่า ทำให้มีเงินรายได้หมุนเวียนถึงเดือนละกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเรื่องดังกล่าวทำให้ผู้สูญเสียผลประโยชน์เกิดความไม่พอใจ และมีรายงานข่าวยืนยันชัดเจนว่า มีการขู่ฆ่าและหนักข้อถึงขั้นส่งคนถืออาวุธไปข่มขู่ด้วย
แต่รายงานข่าวในทางลับของทางเจ้าหน้าที่ตำรวจ ก็ยังไม่ปักใจเชื่อในประเด็นนี้ทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะยังมีอีกประเด็นหนึ่งที่ไม่อาจตัดไปได้ นั่นก็คือ ความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในโครงการไพร์มเนเจอร์ วิลล่า หัวหิน ซึ่งมีมูลค่าการขายประมาณ 2,000 ล้านบาท โดยพัฒนาบนที่ดินจำนวน 102 ไร่
ว่ากันว่า ในช่วงของการเจรจาติดต่อซื้อขายที่ นางสุนัททีเคยมีปัญหากับ “มือปืนเมืองเพชร” ที่มีส่วนเกี่ยวพันกับการซื้อขายที่ดินดังกล่าวด้วย
อย่างไรก็ตาม ถึงตรงนี้...ยังไม่มีใครรู้ว่า สาเหตุของการสั่งฆ่านางสุนัททีในครั้งนี้เป็นเพราะอะไร และใครเป็นผู้วางแผนฆ่า แต่ก็เชื่อว่า ในอีกไม่ช้า ภาพต่างๆ ที่กระจัดจายคงจะมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เพื่อเป็นของขวัญให้กับเธอก่อนที่จะถึงวันคล้ายวันเกิดอายุครบรอบ 52 ปี ในวันที่ 27 ธันวาคมนี้
เหตุที่ว่าน่าจะไม่ช้าก็เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า นางสุนัททีนั้นมีความสนิทสนมใกล้ชิดและทำธุรกิจร่วมกับลูกสาวของหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ที่มียอดพิมพ์สูงสุดของประเทศไทย ซึ่งจะเป็นตัวเร่งให้คดีนี้คลี่คลายเร็วขึ้น