พอถอดเสื้อครุยลงจากบังลังก์ศาลในพระปรมาภิไธย อุดม มั่งมีดี ก็มีคิวจะขึ้นเวทีเสื้อแดงในการชุมนุมวันที่ 10 ธันวาคม ตามที่ณัฐวุฒิประกาศ นี่ย่อมไม่ใช่การพิสูจน์ข้อกล่าวหาเรื่องความยุติธรรม 2 มาตรฐานเพียงอย่างเดียว แต่เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงการเลือกข้างของสังคมไทยด้วย
ผมคิดว่า ทุกวันนี้ ทั้งสังคมไทยคงยอมรับว่า คนไทยทุกวันนี้แบ่งแยกออกเป็น 2 ฝ่ายอย่างชัดเจน แต่ผมก็แอบหวังว่า สิ่งที่จะทำให้สังคมผสานรอยร้าวได้ก็คือ การดำรงความยุติธรรม และให้ความยุติธรรมเป็นหลักยึดของสังคมไทย
หลังสมัคร สุนทรเวช เสียชีวิต เว็บไซต์ประชาไทที่จอน อึ๊งภากรณ์ ลูกชายของป๋วยและพี่ชายของไจลล์ ตั้งขึ้นก็เต็มไปด้วยถ้อยคำสดุดีคุณอันเอนกอนันต์ต่อผู้ล่วงลับ
สังคมไทยทุกวันนี้จึงเป็นสังคมเปิดหน้าชก แสดงจุดยืนของตัวเองกันอย่างเปิดเผย และแก้ผ้าตัวเองแล้วยืนกลางแดดไปด้วย
หนังสือพิมพ์มติชนและเครือข่ายได้ถูกสังคมกาหัวว่า เป็นสื่อที่สะท้อนทัศนะอันหนุนเนื่องกับการเคลื่อนไหวของทักษิณและพลพรรคเสื้อแดง หลายคนเปิดตัวอย่างไม่อิงแอบอีกต่อไป พวกเขาแทบลืมเรื่องราวการขุดคุ้ยการทุจริตของระบอบทักษิณที่ส่งเข้าชิงรางวัลไปหมดแล้ว และสนุกกับการหาเงินจากหน่วยงานของรัฐ
จะประหลาดใจอะไร เมื่อได้ยินว่า อุดม มั่งมีดีจะมีคิวขึ้นเวทีเสื้อแดงอีกคน
มั่งมีย่อมดีกว่าไม่มั่งมี แต่มั่งมีก็ไม่ได้แปลว่าจะมีดีเสมอไป และการแสวงหาความมั่งมีก็อาจทำให้คนเราก้าวข้ามจากความดีไปสู่ความไม่ดีได้ นี่เป็นสัจจธรรมที่ผ่านการพิสูจน์กิเลสของมนุษย์มานักต่อนักแล้ว
อุดม มั่งมีดี พูดในเวทีอภิปรายของสถาบันพัฒนาตุลาการ ว่า ความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมล่มสลายแล้ว องค์กรยุติธรรมไม่สามารถรักษาความเที่ยงธรรมที่ดีให้ชาติบ้านเมืองได้ วงการยุติธรรมแตกกันรุนแรง มาตรฐานไม่เป็นระดับเดียวกัน หรือที่เรียกว่า 2 มาตรฐานจริง
อดีตผู้พิพากษาพูดด้วยว่า เมืองไทยขณะนี้ยุ่งยากเพราะว่าคนบังคับใช้กฎหมายเป็นมนุษย์มีกิเลส แอ่นเข้าแอ่นออกบ้าง โดยเจตนาบ้างไม่เจตนาบ้าง แล้วก่อความยุ่งยาก พอมันยุ่งยากเข้าก็ไม่ถอยกลับ
ผมเชื่อคำพูดของอุดม มั่งมีดีครับ และเชื่อว่าสิ่งที่อุดม มั่งมีดีพูดนั้นเป็นเรื่องจริง ว่า ตุลาการก็เป็นมนุษย์ที่มีกิเลส เพราะก่อนหน้านี้แม้ว่าผมจะไม่เห็นด้วยกับการพิจารณาคดีในหลายๆเรื่อง ผมคิดว่าคนอื่นๆก็คิดเช่นนี้ แต่ก็ไม่มีใครกล้าไปตอแยกับศาล จนกระทั่งศาลมาเปิดโปงกันเอง ดังนั้นพออุดมมาพูดแบบนี้ ผมว่าก็ดีเหมือนกัน
เพียงแต่ผมไม่รู้ว่า การที่อุดมยอมรับว่า ผู้พิพากษาก็เป็นมนุษย์ที่มีกิเลส และการพิจารณาคดีของผู้พิพากษามี 2 มาตรฐาน การพิพากษาไม่เป็นไปในระดับเดียวกันนั้น จะนับรวมตัวเองเข้าด้วยหรือไม่
หรืออุดม มั่งมีดี วิพากษ์สถาบันตุลาการที่ตัวเองเคยทำงาน เพื่อจะบอกว่า ตัวเองนั้นเป็นคนที่ไม่มีกิเลส ไม่แอ่นเข้าแอ่นออก และตัดสินคดีความด้วยความเป็นธรรม
ซึ่งผมต้องบอกอุดมก่อนว่าผมไม่เชื่อ เพราะอุดมก็เป็นมนุษย์ย่อมไม่อาจก้าวข้ามสิ่งที่ตัวเองเชื่อว่า มนุษย์ก็ต้องมีกิเลสไปได้
อย่างไรก็ตามคำพูดของอุดม มั่งมีดีก็ท้าทายสถาบันยุติธรรม และยิ่งทำให้ต้องการคำตอบจากคนในกระบวนการยุติธรรมว่า การถูกเปิดโปงจากคนในกระบวนการยุติธรรมด้วยกันเองอย่างอุดม มั่งมีดีนั้น วงการตุลาการมีความรู้สึกอย่างไร มีความคิดอย่างไร หรือนิ่งเฉยเหมือนยอมรับว่า เป็นเรื่องจริง
ผมไม่รู้หลักในการพิจารณาคดีในศาลถ้าผู้ถูกกล่าวหานิ่งเฉย ผู้พิพากษาจะตีความว่าอย่างไร
อย่าลืมว่า การนิ่งเฉยของศาลที่ถูกกล่าวหาว่า ไม่ยุติธรรมนั้นไม่ได้เกิดจากปากของอุดมเป็นครั้งแรก แต่เคยเกิดจากปากของทักษิณมาแล้วหลายครั้ง ผมเองก็เคยตั้งคำถามว่า ทำไมศาลจึงนิ่งเฉยต่อข้อกล่าวหาของทักษิณได้
และสิ่งที่ต้องตั้งคำถามก็คือ คำพูดของอุดมที่ว่า ความยุติธรรมของศาลในปัจจุบันที่เกิดความแตกแยก และไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันนั้นเกิดจากอะไร และสังคมไทยถูกศาลใช้ความยุติธรรมที่ไม่เป็นมาตรฐานระดับเดียวกันจริงหรือ
แล้วความยุติธรรมที่ไม่เป็นมาตรฐานระดับเดียวกันนั้นเกิดจากความรู้ ประสบการณ์ และวุฒิภาวะที่ไม่เท่าเทียมกันของศาล หรือเกิดจากการเลือกข้างเหมือนที่เกิดขึ้นในทุกองค์กรและทุกระดับในสังคมไทย
แต่การที่อุดมลงจากบังลังก์ศาลแล้วมีคิวจะขึ้นเวทีเสื้อแดงตามที่ณัฐวุฒิประกาศในการชุมนุมวันที่ 10 ธันวาคมนั้น มันก็พอจะตอบคำถามได้ว่า อุดมมีจุดยืนอย่างไร และคำอภิปรายของอุดมก็บอกได้ว่า ถ้าอุดมเลือกขึ้นเวทีเสื้อแดงตามที่ณัฐวุฒิประกาศจริง ก็ไม่ใช่เพราะอุดมไม่รู้ว่า สังคมแตกแยกและแบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างไร
และแม้ว่า อุดมจะไม่ได้บอกว่า ความยุติธรรมอันไหนที่เป็น 2 มาตรฐาน และ 2 มาตรฐานที่อุดมว่านั้นสอดคล้องกับที่ทักษิณและเสื้อแดงกล่าวหาว่าหรือไม่ แต่จุดที่อุดมเลือกยืนก็พอจะเป็นคำตอบของคำถามได้เป็นอย่างดี
อย่างน้อยคำพูดของทักษิณ และเสื้อแดงที่กล่าวหาว่า กระบวนการยุติธรรมไทยมี 2 มาตรฐานนั้น ก็ได้รับการตอกย้ำจากอุดม มั่งมีดีคนวงในกระบวนการตุลาการเอง
เช่นที่อุดมพูดว่า กระบวนการยุติธรรมมีอำนาจนอกระบบ มีมหาอำมาตย์เข้ามาแทรกแซง สถาบันตุลาการก็ยิ่งต้องให้คำตอบที่สร้างความเชื่อมั่นกับสังคมไทยว่า ศาลนั้นยังสามารถผดุงความยุติธรรมอย่างเป็นมาตรฐานเดียวกันได้อยู่และไม่มีใครที่เข้ามาแทรกแซงได้
และผมคิดว่า ศาลจะนิ่งเฉยเหมือนถูกทักษิณและคนเสื้อแดงกล่าวหาไม่ได้อีกแล้ว เพราะคนที่กล่าวหาศาลครั้งนี้คือ อดีตผู้พิพากษาระดับสูง
เมื่ออุดม มั่งมีดี ได้ตั้งคำถามให้สถาบันตุลาการทั้งกระบวนการต้องให้คำตอบต่อสังคมไทยเพื่อพิสูจน์ข้อกล่าวหา 2 มาตรฐาน การพิพากษามาตรฐานไม่เป็นไปในระดับเดียวกันแล้ว
ผมคิดว่า อุดม มั่งมีดีต้องตอบคำถามนี้ต่อสังคมไทยด้วย
เพราะอุดม มั่งมีดี คือ ผู้พิพากษาให้จำคุกสนธิ ลิ้มทองกุล ในคดีหมิ่นประมาทภูมิธรรม เวชยชัยในศาลชั้นต้น ว่า อุดมได้ใช้การพิจารณาคดีที่อุดมระบุเองว่า มี 2 มาตรฐาน หรือการพิพากษามาตรฐานไม่เป็นไปในระดับเดียวกันหรือไม่
การพิจารณาคดีก้าวพ้นจากกิเลสของมนุษย์ที่ตุลาการต้องยึดมั่นตามหลักอินทภาษดังนี้หรือไม่
1.โลภาคติ คือ การไม่ลุ่มหลงในทรัพยสินเงินทอง ไม่ให้เกิดความเอนเอียงในใจเพราะความละโมบโลภมาก
2.โทสาคติ คือ ไม่ให้เกิดความเอนเอียงในใจด้วยเพราะมีความโกรธ ความอาฆาตเคียดแค้นอยู่ในใจกับผู้ที่อยู่เบื้องหน้าตน
3.โมหาคติ คือ ไม่ลุ่มหลงในยศถาบรรดาศักดิ์ โดยยึดมั่นในความสุจริตเที่ยงธรรม
4.ภยาคติ คือไม่ให้เกิดความเอนเอียงในใจเพราะบังเกิดความกลัว ไม่ว่าจะกลัวตาย กลัวจะเกิดการเสื่อมยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นต้น
ผมเชื่อมั่นว่า ถ้าอุดม มั่งมีดี จะตัดสินใจเลือกข้างขึ้นเวทีเสื้อแดงจริงก็ด้วยสติสัมปัญชัญญะที่เต็มเปี่ยม
แต่ผมอยากได้ยินอุดม ตอบคำถามเรื่องมาตรฐานของอุดมในคดีสนธิ ลิ้มทองกุล ว่า ไม่ได้เป็นไปเหมือนที่อุดมกำลังกล่าวหากระบวนการยุติธรรมทั้งระบบด้วย
surawhisky@hotmail.com