ทนายพันธมิตรฯ แฉ! วีรกรรมสุดแสบ “อุดม” ยัดข้อหา “สนธิ” หนักสุด คิดเบิ้ล2 กระทงซ้อน ห้ามฏีกาข้อเท็จจริง แต่ยังได้รับการรับรองให้ฎีกา เผย เป็นเพื่อนร่วมรุ่น “ชายจืด” ไม่แปลกที่โผล่เวทีเสื้อแดง ย้ำเป็นหน้าที่ของ ปชช.ตาม รธน.มาตรา 70 ที่ต้องปกป้องสถาบัน มั่นใจ “สนธิ” รอดคดีหมิ่น เพราะมีขบวนการทำลายสถาบันจริง
วันนี้ (2 ธ.ค.) นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ให้นายเติมศักดิ์ จารุปราณ และนางสาวอุษณีย์ เอกอุษณีย์ สัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ผ่านสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน โดยกล่าวถึงกรณีที่ นายอุดม มั่งมีดี เตรียมขึ้นเวทีเสื้อแดงว่า เป็นอะไรที่ตนช็อกมาก เพราะนายอุดมเคยเป็นถึงผู้พิพากษาที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม ตั้งแต่ที่เป็นทนายให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล คดีที่มีนายอุดมทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษา นับเป็นคดีแรกที่มีคำสั่งลงโทษนายสนธิเป็นเวลา 2 ปี ในความผิดฐานหมิ่นประมาทธรรมดา ตามมาตรา 326 และมาตรา 328 กรณีหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา แต่ศาลอุทธรณ์ไม่เห็นด้วย โดยศาลอุทธณ์บอกว่า หากเข้ามาตรา 328 จะไม่เข้ามาตรา 326 ดังนั้น คำวินิจฉัยของ นายอุดมจึงเป็นการปรับบทกฎหมายผิด พร้อมกันนี้ ศาลอุทธรณ์ได้ให้แก้เหลือลงโทษเฉพาะมาตรา 238 จากเดิมจำคุก 2 ปี ให้ลดเหลือ 6 เดือน อย่างไรก็ตาม เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาสั่งแก้ไข คำพิพากษาศาลชั้นต้น ฝ่ายโจทก์ยังฎีกาต่อ ซึ่งตามกฎหมายต้องหามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แต่ก็ได้รับการับรองให้ฎีกาได้ด้วย
“นายอุดม แต่เดิมเป็นผู้พิพากษารุ่นเดียวกับนายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ การสั่งลงโทษนายสนธิ จึงไม่ได้ทำให้ตนแปลกใจ คดีนี้เราสู้กันมาอย่างหนัก ตนเขียนในอุทธรณ์ไป ท่านสั่งในอุทธรณ์ ตนบอกว่า แม้คำอุทธรณ์ของจำเลย จะเป็นการเสียดสีศาล แต่เพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม ขอให้รับอุทธรณ์ไว้ เราเคารพ เวลาที่ท่านทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธย แต่สิ่งใดที่เราไม่เห็นด้วยก็ต้องโต้แย้ง” นายสุวัตร กล่าว
นายสุวัตรกล่าวต่อว่า ที่นายอุดมพูดเหมือนกลุ่มคนเสื้อแดง หรือ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่ากระบวนการยุติธรรมมีอำนาจนอกระบบ มีมหาอำมาตย์เข้ามาแทรกแซง ตรงนี้ตนไม่แปลกใจเลย สั่งลงโทษนายสนธิแบบเทติ้ว มีอะไรอยู่ในติ้วเทลงมาทั้งหมด ลงโทษปรับอย่างสูง ลงโทษจำคุกอย่างสูง พฤติกรรมเวลาสืบพยาน ในบัลลังก์ ตนเป็นทนายจำเลย นายอุดมที่นั่งเป็นผู้พิพากษาอยู่ จะดุทนายโจทก์ตลอด “คุณสืบอย่างไร ดูซิทนายจำเลยเขาถามเป็นหลัก เป็นเกณฑ์ดีกว่า” เหมือนชมว่าตนทำงานดี แต่ถึงเวลาแล้วสั่งจำคุกนายสนธิ เรื่องนี้กระบวนการยุติธรรมก็จับตาดูด้วยความสงสัยว่า ทำไมไปลงเอยอย่างนั้น
ทั้งนี้ ตั้งแต่ปี 48-49 นายสนธิถูกฟ้อง 58 เรื่อง เราชนะเกือบหมด โดยถูกสั่งจำคุกเพียง 2 คดี ซึ่งหนึ่งในคดีที่ตนไม่สบายใจ ก็คือคดีนี้ ที่อยู่ระหว่างฎีกา อย่างไรก็ตาม ตนมั่นใจว่า ศาลฎีกาจะพิพากษาปล่อย เพราะในฎีกาเขียนไปอย่างละเอียด อธิบายทุกสิ่งทุกอย่าง ว่า สิ่งที่ นายสนธิ พูด เป็นความจริง นายภูมิธรรมเคยเข้าป่าจริง เป็นเหมาอิสม์จริง จากเด็กเหมาเป็นเด็กแม้ว แต่ศาลอุทธรณ์ยังเห็นว่า บางสิ่งที่นายสนธิพูด เมื่อเขากลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว นายสนธิ ยังพิสูจน์ไม่ได้ว่าเมื่อเขาออกมาจากป่าแล้วเขายังดำรงค์ความคิดเช่นนั้นอยู่ ประเด็นนี้ตนก็ได้บอกกับศาลว่า คนเราดูในเวลานี้ไม่ได้ ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน นายสนธิเป็นนักประวัติศาสตร์ ดังนั้น การมองทุกสิ่งทุกอย่าง นายสนธิจะมองจากอดีต อดีตเป็นเครื่องชี้ปัจจุบัน ปัจจุบันเป็นเครื่องชี้อนาคต
เหมือนอย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ในสมัยก่อนเรามองไม่ออกว่า เขาเป็นอย่างไร แต่เราเพียงแต่คิดว่า ถ้านายกฯ ไม่จงรักภักดิ์ดี แล้วผีที่ไหนจะจงรักภักดีวะ หรือว่าถ้าอยากให้ลาออกก็ให้กระซิบ หรือบอกว่าบ้านเมืองเราที่วุ่นว่าย เพราะมีองค์กรนอกรัฐธรรมนูญ มีผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญเข้ามาวุ่นวายมากเกินไป หรือตอนทูลเกล้าฯ ถวายฎีกา ก็บอกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะกลับมาได้หรือไม่ก็ด้วยพระบารมี หรือพลังของพี่น้องประชาชน เราได้บอกว่าคำเหล่านี้ ฉิวเฉียดตลอดเวลา แม้กระทั้งกรณีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ไปต่างจังหวัด เอาธงไตรรงค์ซึ่งมีคำว่าทรงพระเจริญมาโบกตอนรับกันเช่นนี้ เป็นสิ่งที่มิบังควร หาก พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ถ้าไม่เห็นด้วยในเมื่อรู้แล้วถึงไม่ห้าม และไม่ได้ทำสถานที่เดียว หลายจังหวัดในภาคอีสาน แม้กระทั่งคาราวานคนจน ที่มาต้อนรับ ก็เอาธงที่มีคำว่า ทรงพระเจริญ มาโบกต้อนรับ เช่นนี้ก็น่าเป็นห่วงว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จงรักภักดิ์ดีจริงหรือไม่ ล่าสุดไทมส์ออนไลน์ ถือเป็นการเปิดหน้าชกกันเลย เราได้นำเสนอสิ่งเหล่านี้ให้ศาลท่านได้ทราบ ว่า ขณะนี้มีขบวนการโจมตีเบื้องสูง
“การที่นายสนธิ และพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ออกมาปกป้องเช่นนี้ เป็นหน้าที่ของปวงชนชาวไทยที่ต้องทำ เพราะตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 70 บัญญัติ ว่า บุคคลมีหน้าที่พิทักษ์รักษา ปกป้องไว้ซึ่งชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ดังนั้น การที่ประชาชนจะลุกขึ้นมาปกป้อง พระมหากษัติรย์ จึงไม่เป็นความผิด” นายสุวัตรกล่าว