“สอดแนมการเมือง”
โดย...ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย
ทหารไทยใจกล้า หลังเหตุการณ์14ตุลาคม2516 และ 6 ตุลาคม 2519 พ้นผ่านไป
แม้นความตื่นตัวในห้วงนี้ของประชาชนจะมากขึ้น แต่พรรคการเมืองก็ยังอ่อนแอกว่ากองทัพ ดังนั้น..การกระทำของทหารที่เกี่ยวข้องกับการเมือง จึงต้องกระทำในทางลับและระแวดระวังมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม..แม้นักการเมืองจะสู้กันอย่างดุเดือดในสนามเลือกตั้ง แต่การตั้งรัฐบาลกลับต้องดึงทหารมาช่วยจัดการให้ และนั่นทำให้“ป๋าเปรม”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ได้รับการผลักดันจากฝ่ายทหารให้ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี และเป็นคนกลางในการตั้ง ครม.อีกด้วย
ช่วง“ป๋าเปรม”เป็นนายกรัฐมนตรีนั้น ปัญหาชาติเกิดขึ้นมากมายเหลือคณานับ แต่“ป๋าเปรม”ก็พารัฐนาวาผ่านวิกฤติไปได้ครั้งแล้วครั้งเล่า
วิกฤตเศรษฐกิจเรื่องค่าเงินบาท..แม้“ป๋าเปรม”จะแก้ไขได้ แต่ก็ส่งผลกระทบจนเกือบเกิดการรัฐประหารล้ม“ป๋าเปรม” แต่“ป๋าเปรม”ก็ใช้วิธี“ตัดไฟเสียแต่ต้นลม” ด้วยการโยกย้ายนายทหารบางคนพ้นจากการคุมขุมกำลังในกองทัพทันที
หลังจากนั้นไม่นาน..ก็เกิดเหตุการณ์รัฐประหารมุ่งล้ม“ป๋าเปรม” โดยกลุ่มทหารยังเติร์กรุ่นจปร.7 ที่เคยสนับสนุนให้“ป๋าเปรม”ได้เป็นนายกฯนั่นเอง แต่การรัฐประหารคราครั้งนั้น..ล้ม
เหลวครับ
ความขัดแย้งในหมู่ทหารยังเป็น“คลื่นใต้น้ำ”อย่างต่อเนื่อง ถึงขนาด“ป๋าเปรม”โดนลอบสังหารอีกหลายครั้งหลายครา เดชะบุญ..ที่“ป๋าเปรม”รอดพ้นอันตรายได้ทุกครั้ง!
ทางด้านนักการเมืองขี้ฉ้อนั้น ป๋าเปรมใช้คำ“ยุบสภา”และได้ยุบสภาจริงๆ เมื่อโดนนักการเมืองขี้ฉ้อเหล่านั้นข่มขู่ หรือบีบคั้นกดดันให้กระทำเรื่องผิดๆ ได้ผลครับ..เพราะนักการเมืองเหล่า
นั้นกลัวจะสอบตก ไม่ได้เป็นสส.จากการเลือกตั้งแล้วเลือกตั้งอีก
ดังนั้น..นับแต่ปี 2523-2531 “ป๋าเปรม”ได้ยุบสภาถึง3ครั้ง เป็นรัฐบาลนานถึง 8 ปี
ต้องยอมรับว่า“ป๋าเปรม”บริหารประเทศชาติได้ดีทีเดียว ทั้งในด้านการเมือง เศรษฐกิจ สังคม ทำให้ภาพรวมผู้นำทหารท่านนี้ เป็นที่ชื่นชอบของประชาชนคนไทยทั้งชาติ
แม้น“ป๋าเปรม”จะเป็นนายกฯที่ดีและประชาชนชื่นชอบสักปานใด แต่การเป็นนายกฯที่อยู่นาน..นานเกินไป สำหรับทหาร“ตัวจิ๋ว”ที่เป็น“ลูกป๋า”คนหนึ่ง ซึ่งมักใหญ่ใฝ่สูงอยากเป็นใหญ่ต่อจาก“ป๋าเปรม”ไม่พอใจ
ทหารใหญ่คนนั้นได้หักหลัง“ป๋าเปรม” ด้วยการแอบไปสมคบกับนักการเมืองบางคน พยายามกดดันให้“ป๋าเปรม”หลุดจากตำแหน่งนายกฯ ถึงขนาดประสานงานให้นักวิชาการ 99 คน ลงชื่อในฏีกาฯเป็นบัญชีหางว่าวเลยทีเดียว
รู้เวลาที่จะละ-รู้เวลาที่จะวาง “ป๋าเปรม”เปิดทางให้มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลใหม่อย่างสันติ ด้วยการ“ล้างมือในอ่างทองคำ”ทางการเมืองโดยไม่ลังเล
หลังจากนั้นสังคมไทยก็ได้ พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ นายกรัฐมนตรีคนแรกที่มาจากการเลือกตั้ง เป็นนายกฯสายเลือดทหารที่ถือกันว่า แพรวพราวด้วยเหลี่ยมคูที่เท่าทันนักการเมือง
“น้าชาติ”ผู้หวือหวาได้เปิดนโยบาย“แปรสนามรบ”เวียดนาม กัมพูชา ลาว ให้กลายเป็น“ตลาดการค้า”ทันที ทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์รวมของการค้าและการลงทุน เงินสะพัด-ที่ดินราคาฟูเฟื่อง-ประชาชนหน้าใส จนนักวิชาการเรียกยุคทองทางเศรษฐกิจนี้ว่า“เศรษฐกิจฟองสบู่”
เศรษฐกิจดี-ประชาชนชื่นชอบ แต่ความสัมพันธ์ด้านทหาร-ไม่ดี รัฐบาล“น้าชาติ”มีปัญหาในการแต่งตั้งทหาร ทำให้จปร.รุ่น5 ที่คุมกำลังทหารไม่พอใจอย่างรุนแรง
“น้าชาติ”นายกฯเลือดทหารคนนี้ก็เลยอยู่ไม่ครบเทอม 4 ปี เพราะโดนรัฐประหารโค่นล้มลงจากอำนาจโดยคณะทหาร รสช. ด้วยข้ออ้างว่า..รัฐบาล“น้าชาติ”มีการคอร์รัปชั่นมาก จนได้ฉายารัฐบาล“บุปเฟ่คาบิเน็ต”อันอื้อฉาว
อย่างไรก็ตาม..นายกฯ ตกกระป๋อง และโดนยึดทรัพย์สินส่วนหนึ่ง ด้วยข้อกล่าวหาว่าได้มาเพราะคอร์รัปชั่นอย่าง“น้าชาติ” ก็มิได้ตีโพยตีพายอาละวาดทำร้ายชาติบ้านเมือง “น้าชาติ”ใช้ชีวิตอย่างสงบ..และตั้งคณะทนายสู้คดีความที่รสช.ยัดเยียดให้ จนในที่สุด..ก็ได้ทรัพย์สินที่ถูกอายัดกลับคืนมา(อืม..ทำไมทักษิณไม่ทำอย่างนี้นะ?)
เมื่อคณะทหารทำรัฐประหารล้มรัฐบาลสำเร็จ คณะนายทหารรสช.ย่อมต้องผลักดันให้พรรคพวกขึ้นเป็นใหญ่..เป็นธรรมดา พล.อ.สุจินดา คราประยูร จึงขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี“เสียสัตย์เพื่อชาติ”
แต่กระแสนายกฯต้องมาจากการเลือกตั้งนั้น..ติดตลาดเสียแล้ว ประชาชนคนไทยจึงไม่ยอมรับนายกฯที่“เสียสัตย์เพื่อชาติ”คนนี้ จนเกิดขบวนการต่อสู้ขับไล่นายกฯ“สุจินดา”อย่างกว้างขวาง
สื่อมวลชนที่ออกมาต่อกรกับนายกฯ“สุจินดา” อย่างถึงลูกถึงคนชนิดไม่กลัวเจ๊ง-ไม่กลัวตายคราครั้งนั้น ชื่อ สนธิ ลิ้มทองกุล แห่งค่ายผู้จัดการ ส่วนภาคประชาชนนั้น..พล.ต.จำลอง ศรีเมือง เป็นหัวหอกที่นำประชาชนออกต่อสู้ขับไล่ นายกฯ“สุจินดา”อย่างเหนียวแน่นต่อเนื่อง
ในที่สุดคณะทหารรสช.ก็จนตรอก ต้องหันมาสู่หนทางปราบปรามประชาชน ด้วยการส่งทหารกลุ่มหนึ่งออกล่าสังหาร นายสนธิ ลิ้มทองกุล และจับตัวพล.ต.จำลอง ศรีเมือง ไปคุมขัง ด้วยหวังว่า..การชุมนุมต่อสู้รัฐบาลรสช.จะเกรงกลัวและยุติลง
แต่เผด็จการทหารคิดผิด..คลื่นมหาประชาชนกลับเพิ่มขึ้น..เพิ่มขึ้น
ในที่สุดกลุ่มนายทหารรสช.ก็ได้ออกคำสั่งอธรรม ให้ทหารชั้นผู้น้อยลั่นกระสุนปืนเข่นฆ่าประชาชน ปืนดังแต่ละครั้ง..ชีวิตมนุษย์ก็ร่วงผล็อย ชีวิตแล้วชีวิตเล่าล้มทบท่าว..เลือดนองทาท้องถนนราชดำเนินอย่างต่อเนื่อง
นั่นคือเหตุการณ์วันที่ 17 พฤษภาคม 2535 หรือเรียกกันว่า“พฤษภาทมิฬ”
เหตุการณ์เข่นฆ่าประชาชนของทหารกลุ่มรสช. มีทีท่าจะบานปลายออกไปเรื่อยๆ เพราะคณะทหารรสช.ไม่ละลดการฆ่าฟัน ในขณะที่ประชาชนคนไทยก็ไม่ยอมแพ้..ยังคงสู้ยิบตา นั่นทำให้นักข่าวต่างประเทศทั่วโลก มุ่งหน้าเดินทางมาสู่ประเทศไทย เพื่อเตรียมรายงานข่าวนี้ออกสู่สายตาชาวโลกกันอย่างคึกคัก
แต่แล้ว..พระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ อันเป็นที่รักเทิดทูนของปวงชนชาวไทย ได้เสด็จออกมายุติปัญหานี้อย่างเท่าทันสถานการณ์
พล.อ.สุจินดา คราประยูร ประกาศลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างกระทันหัน!
. นักข่าวต่างประเทศทั่วโลก..งง-งง-และงง เพราะเรื่องที่เห็นอยู่ตรงหน้า ว่าเมืองไทยจะต้องเกิดการนองเลือดมากขึ้น..เพิ่มขึ้น แต่เมื่อคู่กรณีที่กำลังปะทะกันแบบเอาเป็นเอาตาย ได้เข้าเฝ้าพระ
บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พลันทุกอย่างก็พลิกเปลี่ยนแบบหักมุม!!
พฤษภาเลือด-พฤษภาทมิฬ..ยุติลงราวปาฏิหารย์ พสกนิกรชาวไทยยกมือพนมขึ้นเหนือหัว พร้อมเปล่งคำ“ทรงพระเจริญ-ทรงพระเจริญ-ทรงพระเจริญ”ดังลั่นในดวงใจ เมื่อความสงบ-สันติ ได้หวนกลับคืนมาสู่ผืนแผ่นดินไทยอีกครั้งหนึ่ง !!!
ฝรั่งมังค่าอาจไม่เข้าใจ..แต่สำหรับคนไทยแล้ว ความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯนั้น เกินกว่าฝรั่งมังค่าและคนไทยบางคนบางกลุ่มล้มเจ้าจะเข้าใจได้ครับ
ทว่า..ประชาชนคนไทยทั้งชาติเข้าใจ รวมทั้งรักและภูมิใจใน“พ่อของแผ่นดิน”พระองค์นี้เป็นที่สุด
ทหารไทยใจกล้า..ขอท่านจงภาคภูมิใจ และอย่าให้ใครหน้าไหนได้จาบจ้วงหยาบหยาม จงปกป้อง“จอมทัพ”อันแสนประเสริฐยิ่ง ของกองทัพไทยพระองค์นี้..ด้วยชีวิตเทอญ เพราะพระองค์ฯ คือ เพชรงามประเมินค่ามิได้ของกองทัพไทยครับ