ASTVผู้จัดการรรายวัน - มติ กกต.ชี้ "พฤฒิชัย ดำรงรัตน์" รมช.คลังถือหุ้นเกินกฎหมายกำหนด ให้พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี เจ้าตัวรอศาลชี้ขาด ขณะที่ ศาล รธน.ตัดสินให้ "เกียรติกร" พ้นจาก ส.ส.ปราจีนบุรี
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงว่า ที่ประชุม กกต.มีมติเสียงข้างมากให้เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาความเป็นรัฐมนตรีของ นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรค 3
สืบเนื่องจากการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหนังสือแจ้งต่อ กกต.ว่า นายพฤฒิชัย ได้ถือหุ้นในบริษัทเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยได้ถือหุ้นใน 2 บริษัท คือหุ้นในบริษัท ครัวราสเบอรี่ จำกัด จำนวน 200 หุ้น จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 1,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 20 และถือหุ้นในบริษัท อีสเทอร์น ดราก้อน จำกัด จำนวน 450,000 หุ้น จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 4 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 11.25 จึงเถือเป็นการถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัท และมิได้มีหนังสือแจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.ทราบว่า ประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในบริษัททั้ง 2 แห่ง ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 269 ประกอบมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7)
"การกระทำดังกล่าวของนายพฤฒิชัย เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยเจตนา เป็นการจงใจปกปิดการถือหุ้น ข้ออ้างที่นายพฤฒิชัย หยิบยกขึ้นต่อสู้โดยระบุว่า บริษัททั้ง 2 แห่งได้เลิกกิจการไปแล้ว แต่เมื่อได้ตรวจสอบก็พบว่าบริษัทแห่งหนึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการชำระบัญชี และอีกหนึ่งแห่งยังไม่ได้ชำระบัญชี ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1,249 แม้บริษัทจะเลิกกิจการ แต่ก็ให้ถือว่ายังคงตั้งอยู่ ตลอดระยะเวลาที่จำเป็นในการชำระบัญชี ดังนั้นจึงถือว่าบริษัททั้ง 2 แห่งยังคงอยู่"
นายพฤฒิชัย เปิดเผยภายหลังรับทราบมติ กกต.ดังกล่าวแล้ว โดยยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวตนเองได้เคยชี้แจงไปแล้ว 1 ครั้ง และจะไม่ชี้แจงอะไรอีกแล้ว ซึ่งหลังจากนี้คงจะต้องให้เป็นไปตามกระบวนการในชั้นศาล และจะยังคงทำหน้าที่รัฐมนตรีต่อไปตามปกติ
***นายกฯ อุ้ม “พฤติชัย”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นปัญหามาตั้งตอนต้น คือ ที่เคยฟังจากเจ้าตัว บอกว่า เป็นหุ้นในบริษัทที่อยู่ในระหว่างการชำระบัญชี จำได้ตั้งแต่ช่วงตอนต้น น.พ.พฤฒิชัย เคยมาพูดเรื่องถือหุ้นว่ามีปัญหาบริษัทอยู่ระหว่างการชำระบัญชี ต้องไปเช็คดู และจากการหารือกับนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกรณ์ระบุว่าเพิ่งได้คุยกับรัฐมนตรีช่วย เป็นเรื่องของบริษัทที่อยู่ระหว่างการชำระบัญชี จะขอดูข้อเท็จจริงอีกทีหนึ่ง เมื่อถามอีกว่าจะถือโอกาสปรับครม.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบคำถาม ได้แต่นิ่งเงียบ
เมื่อถามว่า รู้ว่ามีปัญหาทำไมถึงให้มาเป็นรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีแล้วมีปัญหาเพราะตอนนั้นมีรัฐมนตรีหลายคนมีปัญหาเรื่องบัญชีทรัพย์สิน เช่น บางคนตอนนั้นต้องโอนให้บริษัทจัดการ แล้วบางครั้งไม่มีบริษัทยอมรับ จะเป็นประเด็นที่มีการหารือกัน เมื่อถามอีกว่า การปรับ ครม.คราวนี้จะมีการตรวจเข้มก่อนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบพร้อมขึ้นรถยนต์ไปในทันที
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎกติกา กฎหมายว่าอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ไม่มีการฉวยโอกาสนี้ปรับ ครม.
นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) แถลงว่า ที่ประชุม กกต.มีมติเสียงข้างมากให้เสนอต่อศาลรัฐธรรมนูญเพื่อพิจารณาความเป็นรัฐมนตรีของ นายพฤฒิชัย ดำรงรัตน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 วรรค 3
สืบเนื่องจากการที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีหนังสือแจ้งต่อ กกต.ว่า นายพฤฒิชัย ได้ถือหุ้นในบริษัทเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด โดยได้ถือหุ้นใน 2 บริษัท คือหุ้นในบริษัท ครัวราสเบอรี่ จำกัด จำนวน 200 หุ้น จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 1,000 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 20 และถือหุ้นในบริษัท อีสเทอร์น ดราก้อน จำกัด จำนวน 450,000 หุ้น จากจำนวนหุ้นทั้งหมด 4 ล้านหุ้น คิดเป็นร้อยละ 11.25 จึงเถือเป็นการถือหุ้นเกินกว่าร้อยละ 5 ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่ายได้ในบริษัท และมิได้มีหนังสือแจ้งให้ประธาน ป.ป.ช.ทราบว่า ประสงค์จะได้รับประโยชน์จากการเป็นหุ้นส่วนหรือผู้ถือหุ้นในบริษัททั้ง 2 แห่ง ภายใน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับการแต่งตั้ง ซึ่งเป็นการต้องห้ามตามรัฐธรรมนูญมาตรา 269 ประกอบมาตรา 5 แห่ง พ.ร.บ.การจัดการหุ้นส่วนและหุ้นของรัฐมนตรี พ.ศ. 2543 อันเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญมาตรา 182 (7)
"การกระทำดังกล่าวของนายพฤฒิชัย เป็นการฝ่าฝืนกฎหมายโดยเจตนา เป็นการจงใจปกปิดการถือหุ้น ข้ออ้างที่นายพฤฒิชัย หยิบยกขึ้นต่อสู้โดยระบุว่า บริษัททั้ง 2 แห่งได้เลิกกิจการไปแล้ว แต่เมื่อได้ตรวจสอบก็พบว่าบริษัทแห่งหนึ่งยังอยู่ในขั้นตอนการชำระบัญชี และอีกหนึ่งแห่งยังไม่ได้ชำระบัญชี ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1,249 แม้บริษัทจะเลิกกิจการ แต่ก็ให้ถือว่ายังคงตั้งอยู่ ตลอดระยะเวลาที่จำเป็นในการชำระบัญชี ดังนั้นจึงถือว่าบริษัททั้ง 2 แห่งยังคงอยู่"
นายพฤฒิชัย เปิดเผยภายหลังรับทราบมติ กกต.ดังกล่าวแล้ว โดยยืนยันว่า เรื่องดังกล่าวตนเองได้เคยชี้แจงไปแล้ว 1 ครั้ง และจะไม่ชี้แจงอะไรอีกแล้ว ซึ่งหลังจากนี้คงจะต้องให้เป็นไปตามกระบวนการในชั้นศาล และจะยังคงทำหน้าที่รัฐมนตรีต่อไปตามปกติ
***นายกฯ อุ้ม “พฤติชัย”
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กล่าวว่า เรื่องดังกล่าวเป็นปัญหามาตั้งตอนต้น คือ ที่เคยฟังจากเจ้าตัว บอกว่า เป็นหุ้นในบริษัทที่อยู่ในระหว่างการชำระบัญชี จำได้ตั้งแต่ช่วงตอนต้น น.พ.พฤฒิชัย เคยมาพูดเรื่องถือหุ้นว่ามีปัญหาบริษัทอยู่ระหว่างการชำระบัญชี ต้องไปเช็คดู และจากการหารือกับนายกรณ์ จาติกวณิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกรณ์ระบุว่าเพิ่งได้คุยกับรัฐมนตรีช่วย เป็นเรื่องของบริษัทที่อยู่ระหว่างการชำระบัญชี จะขอดูข้อเท็จจริงอีกทีหนึ่ง เมื่อถามอีกว่าจะถือโอกาสปรับครม.หรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบคำถาม ได้แต่นิ่งเงียบ
เมื่อถามว่า รู้ว่ามีปัญหาทำไมถึงให้มาเป็นรัฐมนตรี นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า ไม่ใช่ แต่เขาได้รับการแต่งตั้งเป็นรัฐมนตรีแล้วมีปัญหาเพราะตอนนั้นมีรัฐมนตรีหลายคนมีปัญหาเรื่องบัญชีทรัพย์สิน เช่น บางคนตอนนั้นต้องโอนให้บริษัทจัดการ แล้วบางครั้งไม่มีบริษัทยอมรับ จะเป็นประเด็นที่มีการหารือกัน เมื่อถามอีกว่า การปรับ ครม.คราวนี้จะมีการตรวจเข้มก่อนเข้ามาเป็นรัฐมนตรีหรือไม่ นายอภิสิทธิ์ ไม่ตอบพร้อมขึ้นรถยนต์ไปในทันที
นายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า ไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎกติกา กฎหมายว่าอย่างไรก็ต้องปฏิบัติตามนั้น ไม่มีการฉวยโอกาสนี้ปรับ ครม.