การประกาศเอาชีวิตนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีของแกนนำคนเสื้อแดงระดับท้องถิ่นอย่าง นายเพชรวรรต วัฒนพงศศิริกุล เมื่อ 19 พฤศจิกายน ก่อให้เกิดกระแสข่าวตามมาอย่างครึกโครม ตามมาด้วยการประชุมเข้มของหน่วยงานความมั่นคงหารือว่าจะเพิ่มมาตรการรับมือในระหว่างการประชุมหอการค้าทั่วประเทศระหว่าง 28-29 พฤศจิกายนอย่างไร
ที่ปรึกษาด้านการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์เองก็อลหม่านไม่แพ้กัน เริ่มจากนายชวน หลีกภัย ซึ่งคำพูดแต่ละคำของอดีตนายกรัฐมนตรีท่านนี้มีน้ำหนักมากต่อการตัดสินใจของทีมงานนายกรัฐมนตรีได้ออกมาให้สัมภาษณ์สนับสนุนให้นายอภิสิทธิ์ เดินทางไปเชียงใหม่ในช่วงสุดสัปดาห์หลังเกิดข่าว
ในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ที่ 21-22 พฤศจิกายน ทีมงานของพรรคประชาธิปัตย์ติดต่อกับเครือข่ายพรรคในพื้นที่ หารือว่าจะใช้สถานที่ใดที่เหมาะสมกว่าโรงแรมเลอเมอริเดียน ซึ่งตั้งอยู่บนถนนที่เล็กแคบหากง่ายต่อการปิดล้อม มีการเสนอสถานที่หลายแห่งกลับไป เช่น บริเวณสวนราชพฤกษ์ที่จัดงานพืชสวนโลก หรือที่โรงแรมโอเรียนเต็ล ดาราเทวี ซึ่งมีลานกว้างเพียงพอต่อการลงจอดเฮลิคอปเตอร์
แต่อย่างไรก็ตามหลังจากที่นายสุเทพ เทือกสุบรรณ บินด่วนกลางดึกมาประชุมที่เชียงใหม่เพื่อเก็บข้อมูลไปประชุมครม.ว่าจะประกาศกฏหมายความมั่นคงในพื้นที่เชียงใหม่หรือไม่ มีการเสนอข้อมูลจากฝ่ายข่าวที่แตกต่างไป หน่วยงานตำรวจบอกว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทยในภาคเหนือจะระดมคนมาเขตละ 1,000 คน รวม ๆ แล้วเหยียบ 50,000 คน แต่ข่าวของฝ่ายทหารกลับให้เพียงประมาณ 5,000 คนเท่านั้น แต่ก็มีผลเพียงพอที่ทำให้ท่าทีของฝ่ายรัฐบาลเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
จากน้ำเสียงยืนยันชัดเจนว่าจะต้องเดินทางมาให้ได้ กลับมาเป็นรีรอไม่ประกาศให้ชัดว่าเป็นเช่นไร น้ำเสียงดังกล่าวสอดคล้องกับการรีรอไม่ประกาศใช้พรบ.ความมั่นคงในพื้นที่เชียงใหม่ โดยอ้างว่ารอดูสถานการณ์อีกครั้งก่อน
เจ้าหน้าที่ทุกระดับ ปิดปากเงียบถึงการเตรียมการ ไม่บอกเรื่องสถานที่ ไม่บอกเรื่องการดำเนินการทางคดีความที่คั่งค้างกับขบวนการคนเสื้อแดง ปกปิดแผนการเตรียมมาตรการรับไว้ได้ในระดับสำคัญ
ท่าทีดังกล่าวของรัฐบาลจึงหาใช่การละล้าละลังแต่ประการเดียว แต่เป็นการซื้อเวลาชิงไหวชิงพริบทางการเมืองระหว่างฝ่ายรัฐบาลกับขบวนการสีแดงพร้อมกันไป
การซื้อเวลาดังกล่าวทำให้ฝ่ายขบวนการสีแดงในพื้นที่ภาคเหนือไม่สามารถจะตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะระดมกำลังจากต่างจังหวัดเข้ามาดีหรือไม่ เพราะไม่ทราบแน่ชัดว่านายกรัฐมนตรีจะเดินทางมาจริงหรือไม่ พร้อมกันนั้นหน่วยการข่าวของรัฐยังมีเวลาเพียงพอที่จะตรวจสอบความเคลื่อนไหวในพื้นที่ต่างจังหวัดต่าง ๆ เพื่อประกอบการตัดสินใจครั้งสุดท้ายของทีมงานนายกรัฐมนตรี
การชิงไหวชิงพริบของรัฐบาลกับขบวนการคนเสื้อแดงในภาคเหนือ มีผลเกี่ยวเนื่องเชื่อมโยงในการชิงไหวชิงพริบระหว่างรัฐบาล กับ ขบวนการเสื้อแดงความจริงวันนี้ที่กรุงเทพฯ ซึ่งเดิมกำหนดนัดหมายจะเริ่มในวันที่ 28 พฤศจิกายนที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย
นั่นเพราะว่า หากนายอภิสิทธิ์ตัดสินใจเดินทางไปยังจังหวัดเชียงใหม่ ในวันที่ 29 พฤศจิกายนจะส่งผลให้กระแสสังคมและพื้นที่ข่าวสารเทมายังจังหวัดเชียงใหม่ แทนที่จะเป็นการชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล และหากนายอภิสิทธิ์สามารถทำหน้าที่ของตนที่เชียงใหม่ได้อย่างปลอดโปร่งสามารถเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพ ยิ่งทำให้นายอภิสิทธิ์ได้แต้มต่อเหนือขบวนการคนเสื้อแดงที่อุตส่าห์เคลื่อนขบวนข้ามคืนระหว่าง 28-29 พฤศจิกายนได้ทั้งหมด
นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยของการรีรอไม่ประกาศว่าจะเดินทางไปเชียงใหม่หรือไม่ ที่ทำให้แผนการขยับเกมของขบวนการเสื้อแดงความจริงวันนี้ชะงักลงและต้องคิดหนักมากขึ้นว่าจะเดินเกมเช่นไรต่อไป ยิ่งมีกระแสต่อต้านไม่เห็นด้วยที่จะเคลื่อนไหวทางการเมืองในช่วงพิธีสำคัญของบ้านเมืองทำให้ขบวนการเสื้อแดงต้องประกาศเลื่อนการชุมนุมในที่สุด
อย่างไรก็ตามสำหรับหน่วยงานความมั่นคงในพื้นที่ยังต้องเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยสูงสุดเช่นเดิม จนกว่าทีมงานของนายอภิสิทธิ์ จะตัดสินใจทุบโต๊ะขั้นสุดท้ายว่าจะเดินทางไปเชียงใหม่หรือไม่
นั่นเพราะหน่วยงานความมั่นคงได้กลิ่นการลอบสังหารนายกรัฐมนตรีและบุคคลสำคัญในรัฐบาลมาก่อน หาใช่เฉพาะกรณีที่นายเพชรวรรตประกาศบนเวทีเสื้อแดงแต่อย่างใด
แผนลอบสังหารมือสมัครเล่น ขวางทางมืออาชีพ
ก่อนหน้าวันที่ 19 พฤศจิกายนที่นายเพชรวรรต ได้ประกาศเอาชีวิตนายกรัฐมนตรี เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประชุมหารือมาตรการรักษาความปลอดภัยของนายกรัฐมนตรีมาแล้ว
โดยในวันที่ 18 พฤศจิกายน กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 5 ประชุมนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่หารือในเรื่องนี้ ในการประชุมนัดนั้นได้มีการเสนอและประเมินสถานการณ์หลายแบบ บางส่วนมองว่าการเคลื่อนไหวของคนเสื้อแดงไม่น่าจะรุนแรง เพราะมีกลุ่มเสื้อแดงที่มีท่าทีคุกคามอยู่เพียงกลุ่มเดียวคือ กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ที่นำโดยนายเพชรวรรต แต่ก็มีความเห็นแย้ง โดยมองว่า สถานการณ์การเมืองตอนนี้รุนแรงและแหลมคม ประกอบกับเพิ่งจะมีข่าวยิงระเบิดเอ็ม 79 มายังเวทีพันธมิตรที่ท้องสนามหลวงหมายเอาชีวิตนายสนธิ ลิ้มทองกุล จึงอยากให้ประเมินสถานการณ์รุนแรงไว้ก่อน
ต่อจากเจ้าหน้าที่ระดับปฏิบัติการของกองบังคับการตำรวจภูธรจังหวัดเชียงใหม่ได้ประชุมหารือรายละเอียดของแผนการรักษาความปลอดภัยในสายวันที่ 19 พฤศจิกายน อันเป็นวันเดียวกับที่นายเพชรวรรต ประกาศผ่านรายการวิทยุหมายเอาชีวิตผู้นำ
โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ประเมินว่า ขบวนการคนเสื้อแดงได้ยกระดับวิธีการต่อสู้ขึ้นมาจากเดิม ไม่อยากจะให้จำกัดมองไปที่กลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เพียงกลุ่มเดียว เพราะในการอบรมโรงเรียนผู้นำ นปช. ที่เชียงใหม่ได้มีหลักสูตรอบรมเรื่องการทำมวลชน กลยุทธ์การต่อสู้แบบต่าง ๆ รวมทั้งยกระดับการจัดตั้งเครือข่ายเป็นระบบขึ้นมา ดังนั้นในวันจริงจะไม่มีเฉพาะกลุ่มรักเชียงใหม่ที่ท้าทายแบบเปิดหน้า เพราะจะมีกลุ่มที่ไม่ประกาศอีกหลายกลุ่มที่จะเข้ามาปฏิบัติการต่อต้าน
การประเมินของหน่วยความมั่นคงในเรื่องการลอบทำร้ายนายกรัฐมนตรี แบ่งออกเป็น 2 พวกคือ มืออาชีพที่ผ่านการวางแผนเพื่อลอบสังหารโดยเฉพาะ ซึ่งในประเด็นนี้ได้มีข่าวสารมาก่อนแล้วว่า บุคคลในรัฐบาลที่เป็นเป้าหมายก็คือ นายอภิสิทธิ์ และ นายกษิต ภิรมย์ ขณะที่บุคคลนอกรัฐบาลก็คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล
ส่วนอีกพวกหนึ่งเรียกว่ามือสมัครเล่น ซึ่งแม้จะไม่ผ่านการฝึกอบรมไม่มีแผนการที่รัดกุมเหมือนมืออาชีพ แต่จะอาศัยความบ้าบิ่น ความฮึกเหิมเพราะเป็นคนในพื้นที่เข้าใจว่าพื้นที่ดังกล่าวตนมีพรรคพวกเครือข่ายคอยช่วยเหลืออยู่
การออกมาประกาศของนายเพชรวรรต จึงมองได้สองทางคือทางแรกเป็นการเสริมคำพูดของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่ทวิตถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงเพื่อปลุกเร้าคนให้ออกมาประท้วงรัฐบาล ดังนั้นจึงเลือกที่จะใช้คำกล่าวที่รุนแรงเพื่อข่มขู่และสร้างกระแสกดดันรัฐ แต่อีกทางหนึ่งคำพูดดังกล่าวกลับทำให้แผนการที่อาจจะมีผู้เตรียมให้เชียงใหม่เป็น คิลลิ่งโซนของนายอภิสิทธิ์เสียไปโดยไม่รู้ตัว
การปูดข่าวการเตรียมงานของมืออาชีพที่เตรียมจะทำคาร์บอมบ์ไว้ โดยนายเพชรวรรตได้เผลอพูดไปในรายการสภากาแฟเช้าวันที่ 13 พฤศจิกายน โดยบอกว่าตนทราบว่ามีคนสามคนที่เตรียมการเรื่องนี้ จะมีคนตายเป็นหลักร้อยและตนขอประกาศว่าไม่เกี่ยวข้องด้วย การปูดข่าวดังกล่าวทำให้การทำงานของมืออาชีพถูกเปิดโปงไป
แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือ คำประกาศระดมคนภาคเหนือ 8 จังหวัดมาเอาชีวิตนายกรัฐมนตรีที่ได้พูดไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน เป็นคำกล่าวที่พลั้งเผลอไม่ได้ผ่านการไตร่ตรอง และวางแผนไว้ก่อน เพราะไม่ได้ประสานกับแกนนำที่ใกล้ชิดตระกูลชินวัตร และไม่สอดประสานกับขบวนการเสื้อแดงความจริงวันนี้ซึ่งมีกำหนดเดิมจะเคลื่อนไหวในช่วงเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม การประกาศเอาชีวิตนายอภิสิทธิ์ โดยมวลชนเสื้อแดงสมัครเล่นในพื้นที่ใช่ว่าจะไม่มีน้ำหนักเลยเสียทีเดียว เนื่องจากกลุ่มเสื้อแดงในเชียงใหม่ผ่านการใช้กำลัง และใช้อาวุธมาโดยตลอด
อย่างเช่น การยิงนายเศรษฐา เจียมกิจวัฒนา บิดาแกนนำวิหคเรดิโอเมื่อเดือนพฤศจิกายนปีที่แล้วกลางถนน ต่อมาในระหว่างการประท้วงหลาย ๆ ครั้งคนเสื้อแดงกลุ่มนี้ก็ถูกจับกุมอาวุธปืน ปรากฏเป็นข่าวสองครั้ง โดยคนแรกคือ ดีเจ.แหล่ ซึ่งเป็นหัวหน้าการ์ดเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 เมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมาขณะนี้อยู่ระหว่างการประกันตัวสู้คดี อีกรายคือ นายวรกัน นันทะชัย การ์ดเสื้อแดงกลุ่มรักเชียงใหม่ 51 ญาติของนางกัญญาภัค มณีจักร แกนนำกลุ่ม ซึ่งถูกจับกุมพร้อมอาวุธปืนและศาลมีคำพิพากษาจำคุก 9 เดือน
กลุ่มคนเสื้อแดงดังกล่าวยังเกี่ยวข้องโดยตรงกับการขว้างระเบิดอาคารสำนักงานกลุ่มเฮาฮักพระเจ้าอยู่หัว กลางเมืองเชียงใหม่เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เป็นการกระทำที่อุกอาจเพราะใช้รถตู้ที่ทางกลุ่มใช้งานเป็นประจำบรรทุกคนเสื้อแดง ไปขว้างระเบิดกลางที่สาธารณะ 5-6 ลูกต่อจากนั้นก็ระดมคนปิดหน้าไปทำร้ายประชาชนเสื้อเหลืองที่มาร่วมงาน
การกระทำของกลุ่มเสื้อแดงในเมืองเชียงใหม่ในช่วงที่ผ่านมาเป็นเครื่องยืนยันถึงความบ้าบิ่นและพร้อมจะใช้อาวุธเพื่อทำร้ายเป้าหมาย ซึ่งหน่วยงานความมั่นคงมองข้ามไม่ได้
กลุ่มเสื้อแดงในพื้นที่เชียงใหม่และใกล้เคียงที่มีศักยภาพอีกกลุ่มหนึ่งคืออดีตสหายที่เคยเข้าป่า สหายกลุ่มนี้ไม่ใช่นักศึกษาแต่เป็นชาวนาในภาคเหนือ เคยผ่านการฝึกและสู่รบจริง ปัจจุบันสหายในภาคเหนือแตกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกสนับสนุนสีเหลือง แต่อีกกลุ่มเข้าร่วมกับฝ่ายเสื้อแดงไม่เอาเจ้าซึ่งเป็นอีกกลุ่มที่ทางการจับตาเช่นกัน
อย่างไรก็ตาม การกล้าบ้าบิ่นถึงของนายเพชรวรรตถึงกับกล้าประกาศต่อที่สาธารณะว่าพวกตนมีเป้าหมายเอาชีวิตนายกรัฐมนตรี กลับเป็นผลดีให้กับ นายอภิสิทธิ์ เพราะทำให้เกิดการตื่นตัวขึ้นมาในที่สุด
มืออาชีพของจริงมาจากชายแดน
แหล่งข่าวความมั่นคงระดับนายพล กล่าวว่า ตนได้พบความเคลื่อนไหวของกองกำลังที่ผ่านการฝึกอาวุธจากชายแดนเขตภาคเหนือตอนล่าง ตั้งแต่ก่อนที่เกิดกรณียิงระเบิดเอ็ม 79 ใส่เวทีพันธมิตร ซึ่งการเคลื่อนไหวที่ชายแดนภาคเหนือตอนล่างละแวกจังหวัดตากและจังหวัดใกล้เคียงดังกล่าวสอดคล้องกับข่าวการฝึกกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายสนับสนุนเสื้อแดงในประเทศกัมพูชา
รายงานข่าวกองกำลังติดอาวุธชายแดนยังสอดคล้องกับข่าวของ พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน ที่ได้เปิดเผยมาก่อนแล้ว
มีการวิเคราะห์ว่า กองกำลังติดอาวุธจากชายแดนที่ถูกสั่งเข้าไปปฏิบัติการในเมืองหลวง และอาจจะโยกมาปฎิบัติที่เชียงใหม่ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการโค่นล้มรัฐบาลที่จัดเตรียมเอาไว้ โดยจะแอบแฝงมวลชนเสื้อแดงเพื่อปฏิบัติการอุกอาจตามที่ได้รับมอบหมาย
หน่วยการข่าวเพื่อเตรียมมาตรการรักษาความปลอดภัยบุคคลสำคัญมองว่า การปฎิบัติการของมือฆ่าจากชายแดน จะครอบคลุมทั้งเรื่องการก่อการร้าย การจลาจลในระหว่างการประท้วงเช่นเผาปั๊มน้ำมันหรือปั๊มแก๊ส วางเพลิง และทำร้ายประชาชน หรือเจ้าหน้าที่ที่ตั้งรับ และยังสามารถปฏิบัติการแอบแฝงในกลุ่มประชาชนผู้ประท้วงเอาชีวิตเป้าหมาย ในรูปแบบเดียวกับที่เคยเกิดที่เมืองพัทยา และกระทรวงมหาดไทย เมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่รอบนี้ผู้ปฎิบัติการจะเป็นมืออาชีพที่หวังผลได้จริง
"ลอบสังหาร"จุดพลิกทางการเมือง
แม้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร จะโฟนอินเข้ามายังที่ประชุมพรรคเพื่อไทยเมื่อคืนวันที่ 24 พฤศจิกายนที่ผ่านมาว่า ขอให้ทบทวนการเคลื่อนไหวชุมนุมในช่วงใกล้พิธีสำคัญใหม่ จนที่สุดแกนนำนปช. ได้ประกาศเลื่อนการนัดหมายชุมนุมออกไป เหมือนกับเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศตึงเครียดทางการเมืองลงมาในระดับสำคัญ แต่อย่างไรก็ตามไม่ได้หมายความว่าการเคลื่อนไหวเพื่อมุ่งหมายเอาชีวิตบุคคลสำคัญที่เป็นขวากหนามการกลับสู่อำนาจของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรจะยุติลง
คำยืนยันของแหล่งข่าวความมั่นคงว่า เป้าหมายสำคัญที่พวกเขาต้องกำจัดให้ได้ก็คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล นายกษิต ภิรมย์ ก็ยังคงต้องระวังต่อไป เช่นเดียวกับ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เพราะหากนายอภิสิทธิ์เป็นอะไรไปจะทำให้เกิดการต่อรองทางการเมืองใหม่อีกรอบในระหว่างพรรครัฐบาล ซึ่งจะได้ผลเร็วกว่าการเลือกตั้งใหม่ด้วยซ้ำไป เนื่องจากเป็นจังหวะให้ต่อรอง หรือเสนอซื้อส.ส.ในพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อพลิกกลับมาเป็นรัฐบาลได้ทันที
และล่าสุดประจักษ์พยานที่ยืนยันถึงความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในเชียงใหม่ ซึ่งอาจจะขยายผลมาถึงการชุมนุมใหญ่ของคนเสื้อแดงในกรุงเทพฯ ถ้าไม่มีการประกาศล้มเลิกไปเสียก่อนก็คือ การที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าตรวจค้นบ้านคนเสื้อแดงที่จังหวัดเชียงใหม่และเจอระเบิดปึงปองมากถึง 6,000 ลูก ไม่นับรวมถึงลูกปืนอีกจำนวนมากเมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา