“ศรีสุวรรณ” แขวะ “มาร์ก” แสดงสมบทบาท กินกุ้งโชว์ ควรตบรางวัลตุ๊กตาทอง ชี้ รบ.บิดเบือนสื่อ สร้างภาพลบชาวมาบตาพุด เผยเตรียมยื่น 181 โครงการเข้าข่ายก่อมลพิษรุนแรง จี้กฤษฏีกา กระทุ้ง รบ.ออก กม.ลูกมาตรา 67 ขณะที่ “สมบัติ” แนะจับตา รบ. ตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย สางปัญหาขัดแย้ง วอนอย่าปิดกั้นข้อเท็จจจริง
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "คนในข่าว"
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 4พฤศจิกายน 2552 โดยมี นางสาวรัตน์ติกรณ์ จารุเกษตรวิทย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้รับเกียรติจากนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน สภาทนายความ และนายสมบัติ เบญจศิริมงคล นักวิชาการอิสระ มาร่วมพูดคุยถึง ท่าทีของรัฐบาล และการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน กับการแก้ปัญหามลพิษ ในพื้นที่มาบตาพุด
นายศรีสุวรรณ กล่าวถึงกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ ชาวบ้านมาบตาพุด มาให้ปากคำข้อเท็จจริง ว่า ตนไม่เคยเห็นพฤติกรรมกร่าง ของอัยการ ที่ซักค้านพยาน ด้วยวาจาตะคอกแบบนี้ ปกติทุกคนต้องเคารพศาล เพราะถือว่า ศาลทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธย ใครที่ทำอะไรไม่ดี อาจหมิ่นศาลได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ ว่า ท่านอัยการ กร่างคนนี้ มีผลประโยชน์อะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เนื่องจากการ ซักผู้ต้องหาในห้องซักพยาน ไม่ใช่อยู่ในห้องพิจารณาคดี ตามกฎหมายจำเลยมีสิทธิที่จะไม่พูดก็ได้ และที่น่าแปลกไปกว่านั้น ทำไม ประธานตุลาการศาล ไม่ตำหนิอัยการ คนนี้ ว่ากระทำการก้าวร้าวอย่างนี้ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่าพฤติกรรมของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ไปโชว์การกิน กุ้ง ในพื้นที่ใกล้ชายฝั่งมาบตาพุด นั้น ต้องให้รางวัลตุ๊กตาทอง ฐานแสดงได้สมบทบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีนักวิชาการจาก หลายสถาบัน นำสัตว์ทะเล ที่อยู่ใกล้โรงงาน มาตรวจสอบ พบ มีโลหะหนักเจือปนหลายประเภท นายสมบัติ กล่าวเสริมว่าหลายเรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ เดินตามก้นรัฐบาลยุคทักษิณ ที่ สร้างภาพเก่ง ผักชีโรยหน้า การที่ไปโชว์ กินกุ้ง เป็นอะไรที่หน่อมแน้มมาก วิญญูชนทั่วไป ย่อมรู้ ได้ว่าเป็นการสร้างภาพ เพราะคนระดับ นายกฯ ไปกินจะต้องมีการตรวจสอบมาแล้วอย่างดี ว่าปลอดภัย ถ้าแน่จริงก็จับกุ้งแล้วปรุงให้เห็นในตอนนั้นเลย
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่าสิ่งที่สมาคมต่อต้านโลกร้อนทำ ไม่ได้โกรธหรือเกลียด ผู้ประกอบการ แต่ต้องการให้รัฐบาล ปฎิบัติตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญ 2550 คำนึงถึงประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะสิ่งที่รัฐบาลทำทุกวันนี้ พยายามเอาใจผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการพูดอะไร รัฐบาลจะรับฟัง แล้วดันเข้าสู่ครม. ตลอด ขณะที่ประชาชน ร้องเรียนผลกระทบมาตลอดเหมือนกัน แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไขอย่างจริงจัง มองปัญหาเศรฐกิจ สำคัญมากกว่าคุณภาพชีวิตขอประชาชน อาจเป็นเพราะเหตุนี้ ทำให้คุณภาพของนักการเมืองไทย ยังล้าหลังอยู่
นายศรีสุวรรณ กล่าวถึงข้ออ้างของรัฐบาล ที่ว่าหากไม่ผลักดันให้โครงการต่างๆ เดินหน้าต่อไปจะ กระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุน ทำให้คนตกงาน ว่า คำพูดเหล่านี้ ไม่เคยปรากฎอยู่ในสำนวนของศาล รัฐบาลพยายามใช้สื่อบิดเบือน ให้คนเข้าใจไปในทางที่ตัวเองต้องการ เพื่อให้มองผู้ประท้วงในภาพลบ ทั้งที่ปัญหาความวุ่นวาย เกิดจากรัฐบาลไม่ทำตามกฎหมาย ไม่มองคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งนี้นอกจากยื่นฟ้องปัญหามลพิษ ในพื้นที่มาบตาพุดแล้ว ตนจะยื่นฟ้องอุตสาหกรรมอีก 181 โครงการทั่วประเทศ ที่สำรวจมาแล้ว ว่า มีมลพิษเข้าข่ายใกล้เคียงกับมาบตาพุดด้วย อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า โครงการเหล่านี้น่าจะรู้ตัวดี ว่า ใครบ้างที่จะเข้าข่าย 181 โครงการนี้ ดังนั้นควรรีบทำให้ถูกต้องตามมาตา 67 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ เสีย อย่างต้องให้ถึงขั้นฟ้องร้องกันก่อนเลย
“ไม่ผิดที่ผู้ประกอบการจะมองตน เป็นผู้ร้าย แต่ตน ไม่แคร์สายตานักลงทุน เพราะจุดประสงค์ของเรา ต้องการช่วยประชาชน ซึ่งเป็นคนหมู่มากที่ได้รับความเดือดร้อน อย่างไรก็ตามหาก อุตสาหกรรม ที่จะมาจัดตั้งโรงงาน เคารพกติกา ไม่พยายามหาช่องโหว่กฎหมาย ก็สามารถทำงานร่วมกันได้ การที่จะมาบิดบังข้อมูลข่าวสาร ไม่เกิดประโยชน์ กลับจะมาทิ่มแทงทีหลัง ดังนั้นหากนักลงทุน เป็นมิตรต่อชุมชน ก็จะอยู่กับประชาชนได้อย่างยั่งยืน” นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่าหลังมีการหารือระหว่างชาวบ้านมาบตาพุดกับนายกฯ เพื่อหาข้อยุติได้ข้อสรุป ให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 4 ฝ่าย เพื่อหาทางออก ตรงนี้ในเบื้องต้นเห็นด้วย แต่ยังไม่เห็นด้วย 100% เพราะที่ผ่านมารัฐบาล ลุกรี้ลุกรน พยายามอุ้มนักธุรกิจ ด้วยการแก้ไข พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 มีการปิดประตูห้องคุยกัน จนได้ข้อสรุปที่ออกมาในลักษณะ บิดๆเบี้ยวๆ ดูขวางหูขวางตาไปหมด ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องดูคำสั่งของนายกฯ ก่อนว่าจะตั้งใครเข้าไปเป็นคณะกรรมการเหล่านั้นบ้าง ถ้าเอานอมินีของโรงงานเขามา ตนก็รับไม่ได้ หากเป็นอย่างนี้จะตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมากี่ฝ่าย ก็ไม่เกิดประโยชน์
นายสมบัติ กล่าวเสริมว่ารัฐบาลต้องทำงานให้เร็วกว่านี้ คณะกรรมการพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องตั้งก็ได้ สามารถตัดสินใจได้เลย ด้วยการเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาตรวจสอบ ก็จะรู้ทันทีว่า โครงการต่างๆ เข้าข่ายในนิยามคำว่า รุนแรง หรือไม่ ทั้งนี้ถ้าหากตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ขึ้นมาแล้วมีความเห็นขัดแย้งกัน ก็จะยุ่งยากต้องมานั่งสรรหาคณะกรรมการสมานฉันท์อีก
“พนักงานกฤษฎีกา ทำอะไรอยู่ รู้หรือป่าวว่ามีหน้าที่ให้ความเห็นทางกฎหมายของรัฐบาล รัฐธรรมนูญ 50 บอกว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของชุมชน ต้องออกกฎหมายลู ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ตรงนี้สำนักงานกฤษฏีกา ต้องบอกให้ รัฐบาลออกกฎหมาย ซึ่งขณะนี่นอกจากจะไม่ทำแล้ว ยังไปให้ความเห็นแย้ง ต่อคำสั่งศาลปกครอง อีก” นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวว่ารัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ มักจะยัดเยียดให้ประชาชนรับรู้ แต่ข้อเสียหากไม่มีการสร้างโรงงาน โดยอ้าง จีดีพี หรือนักลงทุนจะหนีจากประเทศไทย ประเด็นนี้สามารถหาความสมดุลของทั้งสองฝ่ายได้ อย่างในต่างประเทศ เตาเผาขยะบ้านเขา ปล่อยสารก่อมะเร็ง แค่ 0.01ไมโครกรรม ขณะที่บ้านเราปล่อยสารก่อศาลมะเร็งถึง 30 ไม่โครกรรม ตรงนี้ที่เขาทำได้เพราะเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลแล้ว ดังนั้นหากจะให้มีโครงการอุตสาหกรรม ขึ้นอีก ต้องเอาอุตสาหกรรมสีเขียวเข้ามาใช้ เพราะถ้าคนมีคุณภาพ ใครก็อยากมาลงทุน หากมีอุตสาหกรรม ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใครก็อยากมาลงทุน และไม่ว่าจะช้าหรือเร็วอุตสาหกรรมไทยก็ต้องพัฒนาไปถึงจุดนั้น
นายสมบัติ กล่าวถึงคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการแถลงนโยบาย ที่เน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ว่า การได้รับข้อมูลข่าวสารที่เท่าเทียมกัน คือ ประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่การรับรู้ข้อมูลข่าวสารในบ้านเรา เป็นการให้ข้อมูลเฉพาะกลุ่ม ตรงนี้เองทำให้สังคมในบ้านเราไม่กระตือรือล้นที่จะออกมาเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐาน ดังนั้น ต้องทำให้ประชาชนรู้ถึงสิทธิของตัวเองให้ได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญ ระบุให้ประชาชนมีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นธรรม และเท่าเทียมกัน
นายศรีสุวรรณ กล่าวเสริมว่าหลังจากสมาคมต่อต้านโลกร้อน ฟ้องคดี 76 โครงการในมาบตาพุด ตนได้ทำจดหมาย ไปถึง กระทรวงอุตสาหรรม ว่า มีโรงงานใดบ้าง ที่ให้ใบประกอบการไปแล้ว ซึ่งได้รับคำตอบมาว่า ข้อมูลที่ตนถาม เป็นความลับ อาจก่อให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ถ้าอยากรู้ต้องไปถาม คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเอาเอง นี่คือเหตุผลที่ทำไม่หน่วยงานของรัฐต้องปิดข้อมูลข่าวสาร ตรงนี้เองทำให้ประชาชนต้องแสดงออกด้วยการปิดถนนบ้าง เดินขบวนบ้าง ทั้งที่จริงข้อมูลเหล่านี้ ควรเปิดเผย ให้ชุมชนต่างๆ ได้รับรู้ เพราะหากผู้ประกอบการ นำข้อเท็จจริง มาเปิดเผยต่อชาวบ้าน ตั้งแต่เริ่มแรก ตนเชื่อว่า ประชาชนจะให้การยอมรับ เพราะชาวบ้านเองก็ได้ประโยชน์ จากการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม เหมือนกัน
“หากนักการเมือง ทำตามกฎหมาย ปัญหาจะไม่เกิดขึ้น นักการเมืองบ้านเราพยายามหลีกเลี่ยงกฎหมาย จับตรงไหนเละตรงนั้น ทางออกตอนนี้ต้องทำให้ ประชาชนเข้าใจสิทธิของตัวเองให้ได้ ที่ผ่านมาตน ยังไม่เห็นรัฐบาลไหนจริงใจ แก้ปัญหาเพื่อส่วนรวม มีแต่แก้ปัญหาส่วนตัวทำอย่างไร ให้เป็นรัฐบาลได้นานที่สุด” นายสมบัติ กล่าว
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง รายการ "คนในข่าว"
รายการ “คนในข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี-ทีวีของประชาชน ช่วงเวลา 20.30-21.30 น. วันที่ 4พฤศจิกายน 2552 โดยมี นางสาวรัตน์ติกรณ์ จารุเกษตรวิทย์ เป็นผู้ดำเนินรายการ ซึ่งได้รับเกียรติจากนายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน สภาทนายความ และนายสมบัติ เบญจศิริมงคล นักวิชาการอิสระ มาร่วมพูดคุยถึง ท่าทีของรัฐบาล และการเคลื่อนไหวของภาคประชาชน กับการแก้ปัญหามลพิษ ในพื้นที่มาบตาพุด
นายศรีสุวรรณ กล่าวถึงกรณีที่ศาลมีคำสั่งให้ ชาวบ้านมาบตาพุด มาให้ปากคำข้อเท็จจริง ว่า ตนไม่เคยเห็นพฤติกรรมกร่าง ของอัยการ ที่ซักค้านพยาน ด้วยวาจาตะคอกแบบนี้ ปกติทุกคนต้องเคารพศาล เพราะถือว่า ศาลทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธย ใครที่ทำอะไรไม่ดี อาจหมิ่นศาลได้ ด้วยเหตุนี้ทำให้อดคิดไม่ได้ ว่า ท่านอัยการ กร่างคนนี้ มีผลประโยชน์อะไรอยู่เบื้องหลังหรือไม่ เนื่องจากการ ซักผู้ต้องหาในห้องซักพยาน ไม่ใช่อยู่ในห้องพิจารณาคดี ตามกฎหมายจำเลยมีสิทธิที่จะไม่พูดก็ได้ และที่น่าแปลกไปกว่านั้น ทำไม ประธานตุลาการศาล ไม่ตำหนิอัยการ คนนี้ ว่ากระทำการก้าวร้าวอย่างนี้ เป็นพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง
นายศรีสุวรรณ กล่าวต่อว่าพฤติกรรมของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ที่ไปโชว์การกิน กุ้ง ในพื้นที่ใกล้ชายฝั่งมาบตาพุด นั้น ต้องให้รางวัลตุ๊กตาทอง ฐานแสดงได้สมบทบาท ทั้งที่ก่อนหน้านี้ มีนักวิชาการจาก หลายสถาบัน นำสัตว์ทะเล ที่อยู่ใกล้โรงงาน มาตรวจสอบ พบ มีโลหะหนักเจือปนหลายประเภท นายสมบัติ กล่าวเสริมว่าหลายเรื่องที่รัฐบาลชุดนี้ เดินตามก้นรัฐบาลยุคทักษิณ ที่ สร้างภาพเก่ง ผักชีโรยหน้า การที่ไปโชว์ กินกุ้ง เป็นอะไรที่หน่อมแน้มมาก วิญญูชนทั่วไป ย่อมรู้ ได้ว่าเป็นการสร้างภาพ เพราะคนระดับ นายกฯ ไปกินจะต้องมีการตรวจสอบมาแล้วอย่างดี ว่าปลอดภัย ถ้าแน่จริงก็จับกุ้งแล้วปรุงให้เห็นในตอนนั้นเลย
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่าสิ่งที่สมาคมต่อต้านโลกร้อนทำ ไม่ได้โกรธหรือเกลียด ผู้ประกอบการ แต่ต้องการให้รัฐบาล ปฎิบัติตามกฎหมาย รัฐธรรมนูญ 2550 คำนึงถึงประชาชนเป็นที่ตั้ง เพราะสิ่งที่รัฐบาลทำทุกวันนี้ พยายามเอาใจผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการพูดอะไร รัฐบาลจะรับฟัง แล้วดันเข้าสู่ครม. ตลอด ขณะที่ประชาชน ร้องเรียนผลกระทบมาตลอดเหมือนกัน แต่ไม่ได้รับการเหลียวแลแก้ไขอย่างจริงจัง มองปัญหาเศรฐกิจ สำคัญมากกว่าคุณภาพชีวิตขอประชาชน อาจเป็นเพราะเหตุนี้ ทำให้คุณภาพของนักการเมืองไทย ยังล้าหลังอยู่
นายศรีสุวรรณ กล่าวถึงข้ออ้างของรัฐบาล ที่ว่าหากไม่ผลักดันให้โครงการต่างๆ เดินหน้าต่อไปจะ กระทบต่อเศรษฐกิจ ทำให้นักลงทุนไม่กล้าเข้ามาลงทุน ทำให้คนตกงาน ว่า คำพูดเหล่านี้ ไม่เคยปรากฎอยู่ในสำนวนของศาล รัฐบาลพยายามใช้สื่อบิดเบือน ให้คนเข้าใจไปในทางที่ตัวเองต้องการ เพื่อให้มองผู้ประท้วงในภาพลบ ทั้งที่ปัญหาความวุ่นวาย เกิดจากรัฐบาลไม่ทำตามกฎหมาย ไม่มองคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งนี้นอกจากยื่นฟ้องปัญหามลพิษ ในพื้นที่มาบตาพุดแล้ว ตนจะยื่นฟ้องอุตสาหกรรมอีก 181 โครงการทั่วประเทศ ที่สำรวจมาแล้ว ว่า มีมลพิษเข้าข่ายใกล้เคียงกับมาบตาพุดด้วย อย่างไรก็ตามตนเชื่อว่า โครงการเหล่านี้น่าจะรู้ตัวดี ว่า ใครบ้างที่จะเข้าข่าย 181 โครงการนี้ ดังนั้นควรรีบทำให้ถูกต้องตามมาตา 67 ของกฎหมายรัฐธรรมนูญ เสีย อย่างต้องให้ถึงขั้นฟ้องร้องกันก่อนเลย
“ไม่ผิดที่ผู้ประกอบการจะมองตน เป็นผู้ร้าย แต่ตน ไม่แคร์สายตานักลงทุน เพราะจุดประสงค์ของเรา ต้องการช่วยประชาชน ซึ่งเป็นคนหมู่มากที่ได้รับความเดือดร้อน อย่างไรก็ตามหาก อุตสาหกรรม ที่จะมาจัดตั้งโรงงาน เคารพกติกา ไม่พยายามหาช่องโหว่กฎหมาย ก็สามารถทำงานร่วมกันได้ การที่จะมาบิดบังข้อมูลข่าวสาร ไม่เกิดประโยชน์ กลับจะมาทิ่มแทงทีหลัง ดังนั้นหากนักลงทุน เป็นมิตรต่อชุมชน ก็จะอยู่กับประชาชนได้อย่างยั่งยืน” นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายศรีสุวรรณ กล่าวว่าหลังมีการหารือระหว่างชาวบ้านมาบตาพุดกับนายกฯ เพื่อหาข้อยุติได้ข้อสรุป ให้มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 4 ฝ่าย เพื่อหาทางออก ตรงนี้ในเบื้องต้นเห็นด้วย แต่ยังไม่เห็นด้วย 100% เพราะที่ผ่านมารัฐบาล ลุกรี้ลุกรน พยายามอุ้มนักธุรกิจ ด้วยการแก้ไข พ.ร.บ.สิ่งแวดล้อม 2535 มีการปิดประตูห้องคุยกัน จนได้ข้อสรุปที่ออกมาในลักษณะ บิดๆเบี้ยวๆ ดูขวางหูขวางตาไปหมด ด้วยเหตุนี้ทำให้ต้องดูคำสั่งของนายกฯ ก่อนว่าจะตั้งใครเข้าไปเป็นคณะกรรมการเหล่านั้นบ้าง ถ้าเอานอมินีของโรงงานเขามา ตนก็รับไม่ได้ หากเป็นอย่างนี้จะตั้งคณะกรรมการ ขึ้นมากี่ฝ่าย ก็ไม่เกิดประโยชน์
นายสมบัติ กล่าวเสริมว่ารัฐบาลต้องทำงานให้เร็วกว่านี้ คณะกรรมการพวกนี้ ไม่จำเป็นต้องตั้งก็ได้ สามารถตัดสินใจได้เลย ด้วยการเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่ เข้ามาตรวจสอบ ก็จะรู้ทันทีว่า โครงการต่างๆ เข้าข่ายในนิยามคำว่า รุนแรง หรือไม่ ทั้งนี้ถ้าหากตั้งคณะกรรมการ 4 ฝ่าย ขึ้นมาแล้วมีความเห็นขัดแย้งกัน ก็จะยุ่งยากต้องมานั่งสรรหาคณะกรรมการสมานฉันท์อีก
“พนักงานกฤษฎีกา ทำอะไรอยู่ รู้หรือป่าวว่ามีหน้าที่ให้ความเห็นทางกฎหมายของรัฐบาล รัฐธรรมนูญ 50 บอกว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับสิทธิของชุมชน ต้องออกกฎหมายลู ให้แล้วเสร็จภายใน 1 ปี ตรงนี้สำนักงานกฤษฏีกา ต้องบอกให้ รัฐบาลออกกฎหมาย ซึ่งขณะนี่นอกจากจะไม่ทำแล้ว ยังไปให้ความเห็นแย้ง ต่อคำสั่งศาลปกครอง อีก” นายศรีสุวรรณ กล่าว
นายสมบัติ กล่าวว่ารัฐบาลหรือผู้มีอำนาจ มักจะยัดเยียดให้ประชาชนรับรู้ แต่ข้อเสียหากไม่มีการสร้างโรงงาน โดยอ้าง จีดีพี หรือนักลงทุนจะหนีจากประเทศไทย ประเด็นนี้สามารถหาความสมดุลของทั้งสองฝ่ายได้ อย่างในต่างประเทศ เตาเผาขยะบ้านเขา ปล่อยสารก่อมะเร็ง แค่ 0.01ไมโครกรรม ขณะที่บ้านเราปล่อยสารก่อศาลมะเร็งถึง 30 ไม่โครกรรม ตรงนี้ที่เขาทำได้เพราะเทคโนโลยีพัฒนาไปไกลแล้ว ดังนั้นหากจะให้มีโครงการอุตสาหกรรม ขึ้นอีก ต้องเอาอุตสาหกรรมสีเขียวเข้ามาใช้ เพราะถ้าคนมีคุณภาพ ใครก็อยากมาลงทุน หากมีอุตสาหกรรม ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ใครก็อยากมาลงทุน และไม่ว่าจะช้าหรือเร็วอุตสาหกรรมไทยก็ต้องพัฒนาไปถึงจุดนั้น
นายสมบัติ กล่าวถึงคำพูดของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในการแถลงนโยบาย ที่เน้นให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการพัฒนาประเทศ ว่า การได้รับข้อมูลข่าวสารที่เท่าเทียมกัน คือ ประชาธิปไตยอย่างหนึ่ง แต่ส่วนใหญ่การรับรู้ข้อมูลข่าวสารในบ้านเรา เป็นการให้ข้อมูลเฉพาะกลุ่ม ตรงนี้เองทำให้สังคมในบ้านเราไม่กระตือรือล้นที่จะออกมาเรียกร้องสิทธิขั้นพื้นฐาน ดังนั้น ต้องทำให้ประชาชนรู้ถึงสิทธิของตัวเองให้ได้ เพราะตามรัฐธรรมนูญ ระบุให้ประชาชนมีสิทธิที่จะรับรู้ข้อมูลข่าวสารที่เป็นธรรม และเท่าเทียมกัน
นายศรีสุวรรณ กล่าวเสริมว่าหลังจากสมาคมต่อต้านโลกร้อน ฟ้องคดี 76 โครงการในมาบตาพุด ตนได้ทำจดหมาย ไปถึง กระทรวงอุตสาหรรม ว่า มีโรงงานใดบ้าง ที่ให้ใบประกอบการไปแล้ว ซึ่งได้รับคำตอบมาว่า ข้อมูลที่ตนถาม เป็นความลับ อาจก่อให้เกิดความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ถ้าอยากรู้ต้องไปถาม คณะกรรมการข้อมูลข่าวสารเอาเอง นี่คือเหตุผลที่ทำไม่หน่วยงานของรัฐต้องปิดข้อมูลข่าวสาร ตรงนี้เองทำให้ประชาชนต้องแสดงออกด้วยการปิดถนนบ้าง เดินขบวนบ้าง ทั้งที่จริงข้อมูลเหล่านี้ ควรเปิดเผย ให้ชุมชนต่างๆ ได้รับรู้ เพราะหากผู้ประกอบการ นำข้อเท็จจริง มาเปิดเผยต่อชาวบ้าน ตั้งแต่เริ่มแรก ตนเชื่อว่า ประชาชนจะให้การยอมรับ เพราะชาวบ้านเองก็ได้ประโยชน์ จากการตั้งโรงงานอุตสาหกรรม เหมือนกัน
“หากนักการเมือง ทำตามกฎหมาย ปัญหาจะไม่เกิดขึ้น นักการเมืองบ้านเราพยายามหลีกเลี่ยงกฎหมาย จับตรงไหนเละตรงนั้น ทางออกตอนนี้ต้องทำให้ ประชาชนเข้าใจสิทธิของตัวเองให้ได้ ที่ผ่านมาตน ยังไม่เห็นรัฐบาลไหนจริงใจ แก้ปัญหาเพื่อส่วนรวม มีแต่แก้ปัญหาส่วนตัวทำอย่างไร ให้เป็นรัฐบาลได้นานที่สุด” นายสมบัติ กล่าว