ASTVผู้จัดการรายวัน- ภาคเอกชนยอมรับเวียดนามลดค่าเงินดองส่งผลกระทบต่อการแข่งขันของสินค้าระดับล่างของไทยที่ต้องอาศัยทำตลาดด้วยการหั่นราคาสู้ และอาจกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนได้ แต่สิ่งที่น่าห่วงกว่าคือจีนหากเดินตามรอยเวียดนามลดค่าหยวนสะเทือนหนัก
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยถึงกรณีเวียดนามลดค่าเงินดองจาก 17,034 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 17,961 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐ ว่า จะมีผลกระทบต่อสินค้าระดับล่างของไทยที่อาศัยราคาเป็นตัวกำหนดการแข่งขันเสียเปรียบได้หากต้องส่งออกไปยังตลาดเดียวกับเวียดนาม เช่น ข้าวเปลือก ส่วนผลกระทบต่อการลงทุนนั้นก็อาจจะมีผลให้นักลงทุนต่างชาติมีการเปรียบเทียบในแง่ของต้นทุนโดยรวมได้เช่นกัน ดังนั้นรัฐบาลจะต้องติดตามภาวะอัตราแลกเปลี่ยนให้สะท้อนภูมิภาคเพื่อไม่ให้ไทยสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน
“ ต้องดูว่ากลุ่มสินค้าประเภทใดที่ไทยแข่งขันกับเวียดนาม หากส่งสินค้าประเภทเดียวกันไปยังตลาดส่งออกเดียวกันแล้วเน้นการเสนอราคาที่ต่ำกว่าก็จะทำให้ไทยเสียเปรียบได้แต่สว่นใหญ่ก็พบว่าสินค้าของไทยอาศัยมีคุณภาพที่ผ่านมาจึงเป็นที่ยอมรับมากกว่าที่จะเน้นในเรื่องราคาดังนั้นเอกชนควรจะมุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพให้มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบในเรื่องนี้ในระยะยาว ส่วนแง่ของการลงทุนนักลงทุนต่างชาติเริ่มมองว่าหากเข้ามาลงทุนในแถบนี้จะตัดสินใจลงทุนที่ไหนซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าก็จะเป็นปัญหาต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศได้” นายสันติกล่าว
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานส.อ.ท.กล่าวว่า การลดค่าเงินของเวียดนามลงมาเป็นเรื่องที่เอกชนไทยเคยคาดไว้แล้วเนื่องจากเงินได้เริ่มไหลเข้าภูมิภาคเอเชียต่อเนื่องทำให้ค่าเงินในภูมิภาคนี้แข็งตัวเฉลี่ย 3-4% จากกลางปี ส่งผลให้เวียดนามเลือการบริหารจัดการค่าเงินด้วยการลดค่าลงเพราะไม่มีต้นทุนในการบริหารจัดการเพื่อที่จะรักษาระดับขีดความสามารถการแข่งขันเอาไว้เพราะสินค้าส่วนใหญ่เวียดนามเน้นราคาในการแข่งขันหรือเป็นสินค้าระดับล่าง ดังนั้นสินค้าประเภทนี้ของไทยที่ต้องแข่งกับเวียดนามก็จะเสียเปรียบเล็กน้อย
“ ส่วนตัวยังเชื่อมั่นในสินค้าไทยเพราะตลาดยอมรับสินค้า made in Thailand ว่ามีคุณภาพการลดค่าเงินดองระดับ 3-5% คงกระทบบ้างในสินค้าระดับล่างที่เน้นทำราคาและตลาดใหม่ๆ ที่เน้นราคาต่ำกว่าคุณภาพสินค้า แต่หากค่าเงินดองลดมากกว่านี้อาจจะกระทบสูงได้จึงต้องติดตาม”นายธนิตกล่าว
ผวาจีนลดค่าเงินหยวนมากกว่า
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ภาคเอกชนวิตกและจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดน่าจะเป็นจีนมากกว่าเนื่องจากเกรงว่าจีนจะมีการลดค่าเงินหยวนเช่นเดียวกับเวียดนามหรือไม่เพราะหากลดค่าจริงจะกระทบกับสินค้าไทยอย่างมากเพราะปัจจุบันสินค้าเกือบทุกตลาดของจีนมีการอุดหนุนจากรัฐบาลอยู่แล้วที่ผ่านมาการแข่งขันจึงค่อนข้างลำบาก แต่ก็ยังคาดหวังว่าจีนจะไม่ดำเนินนโยบายเช่นเวียดนามเพราะจีนมีสำรองเงินดอลลาร์สูง ประกอบกับสหรัฐอเมริกาก็เคยออกมาเตือนว่าค่าเงินหยวนไม่สะท้อนข้อเท็จจริง
“ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะต้องติดตามเรื่องนี้ซึ่งเข้าใจว่าที่ผ่านมาธปท.ได้พยายามบริหารจัดการจนทำให้เกิดการขาดทุนค่อนข้างสูงแต่หากจำเป็นจะต้องดำเนินการเพื่อขีดแข่งขันของประเทศก็จะต้องทำ”นายธนิตกล่าว
เวียดนามลดค่าเงินดองไม่กระทบไทย
นาย ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงกรณีเวียดนามปรับลดค่าเงินดอง ว่า การที่เวียดนามประกาศลดค่าเงินดองเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งอยู่ในระดับสูง และต้องการที่จะส่งออกได้มากขึ้น ซึ่งสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของเวียดนามเป็นสินค้าเกษตรกรแต่คงไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรกรของไทย เพราะไทยยับได้เปรียบด้านคุณภาพสินค้า
“การที่เวียดนามประกาศลดค่าเงินดองประเทศเดียว อย่าไปเครียดมาก แต่ถ้ามาเลเซีย อินโดนีเซียลดค่าเงินด้วย นั่นแหละไทยจึงจะได้รับผลกระทบไปด้วย” นายธนวรรธน์กล่าว
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทจนถึงสิ้นปีน่าจะแข็งค่าไปอยู่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปี 2553 น่าจะแข็งอีก 3-5% แต่คงไม่ไปถึง 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพราะเร็วไป และไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และเชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงเข้าไปดูแลเพื่อไม่ให้เงินบาทไปถึงระดับนั้น และในปี 2553 ไทยจะมีการนำเข้าตามโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งมากขึ้นน่าจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง
นายสันติ วิลาสศักดานนท์ ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (สอท.) เปิดเผยถึงกรณีเวียดนามลดค่าเงินดองจาก 17,034 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็น 17,961 ดองต่อดอลลาร์สหรัฐ ว่า จะมีผลกระทบต่อสินค้าระดับล่างของไทยที่อาศัยราคาเป็นตัวกำหนดการแข่งขันเสียเปรียบได้หากต้องส่งออกไปยังตลาดเดียวกับเวียดนาม เช่น ข้าวเปลือก ส่วนผลกระทบต่อการลงทุนนั้นก็อาจจะมีผลให้นักลงทุนต่างชาติมีการเปรียบเทียบในแง่ของต้นทุนโดยรวมได้เช่นกัน ดังนั้นรัฐบาลจะต้องติดตามภาวะอัตราแลกเปลี่ยนให้สะท้อนภูมิภาคเพื่อไม่ให้ไทยสูญเสียความสามารถทางการแข่งขัน
“ ต้องดูว่ากลุ่มสินค้าประเภทใดที่ไทยแข่งขันกับเวียดนาม หากส่งสินค้าประเภทเดียวกันไปยังตลาดส่งออกเดียวกันแล้วเน้นการเสนอราคาที่ต่ำกว่าก็จะทำให้ไทยเสียเปรียบได้แต่สว่นใหญ่ก็พบว่าสินค้าของไทยอาศัยมีคุณภาพที่ผ่านมาจึงเป็นที่ยอมรับมากกว่าที่จะเน้นในเรื่องราคาดังนั้นเอกชนควรจะมุ่งเน้นในเรื่องคุณภาพให้มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบในเรื่องนี้ในระยะยาว ส่วนแง่ของการลงทุนนักลงทุนต่างชาติเริ่มมองว่าหากเข้ามาลงทุนในแถบนี้จะตัดสินใจลงทุนที่ไหนซึ่งมีต้นทุนถูกกว่าก็จะเป็นปัญหาต่อการตัดสินใจเข้ามาลงทุนในประเทศได้” นายสันติกล่าว
นายธนิต โสรัตน์ รองประธานส.อ.ท.กล่าวว่า การลดค่าเงินของเวียดนามลงมาเป็นเรื่องที่เอกชนไทยเคยคาดไว้แล้วเนื่องจากเงินได้เริ่มไหลเข้าภูมิภาคเอเชียต่อเนื่องทำให้ค่าเงินในภูมิภาคนี้แข็งตัวเฉลี่ย 3-4% จากกลางปี ส่งผลให้เวียดนามเลือการบริหารจัดการค่าเงินด้วยการลดค่าลงเพราะไม่มีต้นทุนในการบริหารจัดการเพื่อที่จะรักษาระดับขีดความสามารถการแข่งขันเอาไว้เพราะสินค้าส่วนใหญ่เวียดนามเน้นราคาในการแข่งขันหรือเป็นสินค้าระดับล่าง ดังนั้นสินค้าประเภทนี้ของไทยที่ต้องแข่งกับเวียดนามก็จะเสียเปรียบเล็กน้อย
“ ส่วนตัวยังเชื่อมั่นในสินค้าไทยเพราะตลาดยอมรับสินค้า made in Thailand ว่ามีคุณภาพการลดค่าเงินดองระดับ 3-5% คงกระทบบ้างในสินค้าระดับล่างที่เน้นทำราคาและตลาดใหม่ๆ ที่เน้นราคาต่ำกว่าคุณภาพสินค้า แต่หากค่าเงินดองลดมากกว่านี้อาจจะกระทบสูงได้จึงต้องติดตาม”นายธนิตกล่าว
ผวาจีนลดค่าเงินหยวนมากกว่า
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ภาคเอกชนวิตกและจะต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดน่าจะเป็นจีนมากกว่าเนื่องจากเกรงว่าจีนจะมีการลดค่าเงินหยวนเช่นเดียวกับเวียดนามหรือไม่เพราะหากลดค่าจริงจะกระทบกับสินค้าไทยอย่างมากเพราะปัจจุบันสินค้าเกือบทุกตลาดของจีนมีการอุดหนุนจากรัฐบาลอยู่แล้วที่ผ่านมาการแข่งขันจึงค่อนข้างลำบาก แต่ก็ยังคาดหวังว่าจีนจะไม่ดำเนินนโยบายเช่นเวียดนามเพราะจีนมีสำรองเงินดอลลาร์สูง ประกอบกับสหรัฐอเมริกาก็เคยออกมาเตือนว่าค่าเงินหยวนไม่สะท้อนข้อเท็จจริง
“ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)จะต้องติดตามเรื่องนี้ซึ่งเข้าใจว่าที่ผ่านมาธปท.ได้พยายามบริหารจัดการจนทำให้เกิดการขาดทุนค่อนข้างสูงแต่หากจำเป็นจะต้องดำเนินการเพื่อขีดแข่งขันของประเทศก็จะต้องทำ”นายธนิตกล่าว
เวียดนามลดค่าเงินดองไม่กระทบไทย
นาย ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงกรณีเวียดนามปรับลดค่าเงินดอง ว่า การที่เวียดนามประกาศลดค่าเงินดองเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดซึ่งอยู่ในระดับสูง และต้องการที่จะส่งออกได้มากขึ้น ซึ่งสินค้าส่งออกส่วนใหญ่ของเวียดนามเป็นสินค้าเกษตรกรแต่คงไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรกรของไทย เพราะไทยยับได้เปรียบด้านคุณภาพสินค้า
“การที่เวียดนามประกาศลดค่าเงินดองประเทศเดียว อย่าไปเครียดมาก แต่ถ้ามาเลเซีย อินโดนีเซียลดค่าเงินด้วย นั่นแหละไทยจึงจะได้รับผลกระทบไปด้วย” นายธนวรรธน์กล่าว
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาทจนถึงสิ้นปีน่าจะแข็งค่าไปอยู่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ส่วนปี 2553 น่าจะแข็งอีก 3-5% แต่คงไม่ไปถึง 30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เพราะเร็วไป และไม่สอดคล้องกับพื้นฐานเศรษฐกิจไทย และเชื่อว่า ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงเข้าไปดูแลเพื่อไม่ให้เงินบาทไปถึงระดับนั้น และในปี 2553 ไทยจะมีการนำเข้าตามโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งมากขึ้นน่าจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงได้บ้าง