ม.หอการค้าฯ คาดค่าเงินบาทช่วงปลายปี มีแนวโน้มแข็งค่าแตะ 32 บาท/ดอลลาร์ ก่อนสิ้นปีนี้ ส่วนทิศทางปี 53 มีโอกาสแข็งค่าได้อีก 3-5% ส่วนการลดค่าเงินด่องเวียดนาม ยังไม่มีผลกระทบ แต่หากมาเลย์ อินโดฯ และ สิงคโปร์ พร้อมใจผสมโรงแห่ลดค่าเงิน อาจส่งผลกระทบต่อสินค้าไทย
นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทของไทย โดยคาดการณ์ว่า เงินบาทยังมีแนวโน้มแข็งค่าไปถึง 32.50 บาทต่อดอลลาร์ และมีโอกาสแตะ 32 บาทต่อดอลลาร์ หรือช่วง 31 บาทต่อดอลลาร์ ปลายๆ ภายในช่วงสิ้นปีนี้ เพราะค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ จะยังมีทิศทางอ่อนค่าตามนโยบายของ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เพื่อแก้ปัญหาเศรษฐกิจในประเทศ
สำหรับแนวโน้มในปี 2553 เชื่อว่า เงินบาทน่าจะแข็งค่าขึ้นจากปีนี้ประมาณ 3-5% แต่คงไม่ไปถึง 30 บาทต่อดอลลาร์ เพราะธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คงจะต้องเข้าไปดูแลให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม เพราะหากปล่อยให้เงินบาทแข็งค่าเร็วเกินไปจะทำให้เศรษฐกิจมีปัญหา แต่เชื่อว่าหากมีการนำเข้าเครื่องจักร หรือวัตถุดิบตามโครงการลงทุนไทยเข้มแข็งมากขึ้น ก็น่าจะช่วยให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้าง
อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าของเงินบาทในขณะนี้ ยังไม่น่าเป็นห่วง เพราะเป็นการปรับตัวแข็งค่าตามค่าเงินในภูมิภาค ซึ่งไทยยังสามารถแข่งขันได้
ส่วนกรณีประเทศเวียดนามลดค่าเงินดองเพื่อต้องการแก้ไขปัญหาการขาดดุลบัญชีเดินสะพัดที่อยู่ในระดับสูง และต้องการส่งออกสินค้าให้ได้มากขึ้น โดยสินค้าส่งออกส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกษตรกร แต่คงไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าเกษตรของไทย เพราะไทยยังได้เปรียบด้านคุณภาพสินค้า
“การที่เวียดนามประกาศลดค่าเงินดองเพียงประเทศเดียว อย่าไปเครียดมาก แต่ถ้ามาเลเซีย อินโดนีเซีย หรือสิงคโปร์ลดค่าเงินด้วย ไทยจึงจะได้รับผลกระทบไปด้วย” นายธนวรรธน์ กล่าวสรุป