นักวิชาการ ม.รังสิต แนะรัฐบาล อย่ารีบถอนมาตรการกระตุ้น ศก.ในขณะนี้ เพราะยังมีความเสี่ยงหลายด้าน พร้อมคาด "จีดีพี" โตสูงครึ่งปีแรก แต่แผ่วลงครึ่งปีหลัง พร้อมประเมินผลกระทบการเมือง 5 กรณี หากจบลงด้วยดี โตได้ 6% แต่หากแย่สุด มีโอกาสลงไปติดลบยาวหลายปี ห่วงสถานการณ์หลัง 26 ก.พ. อาจมีเหตุรุนแรง
นายอนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจเพื่อการปฏิรูป มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า สถานการณ์เศรษฐกิจไทยในขณะนี้ ยังเผชิญความเสี่ยงสูงในหลายด้าน การฟื้นตัวที่เกิดขึ้นยังเปราะบาง ดังนั้น รัฐบาลจึงไม่ควรถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในขณะนี้ เพราะมองว่าเร็วเกินไป
ทั้งนี้ รัฐบาลควรเตรียมและนำมาใช้ในเวลาที่เหมาะสมมากกว่า เพราะเศรษฐกิจไทยยังมีปัจจัยเสี่ยงจากปัญหาเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553 นี้ จะมีการตัดสินคดียึดทรัพย์ แต่เชื่อว่าจะไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวายเกิดขึ้น แต่ประเมินว่า เหตุการณ์จะเกิดขึ้นหลังจากนั้น
"หากจะถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจริง รัฐบาลควรถอนมาตรการทางการคลัง พร้อมใช้ระบบสวัสดิการเข้มแข็ง เพราะหากไม่ถอนจะเสี่ยงต่อฐานะการคลังของประเทศ ในอีก 4-5 ปีข้างหน้า ซึ่งจะเหมือนกับรัฐบาลในประเทศกรีซ และสเปน"
ด้านมาตรการทางการเงิน นายอนุสรณ์ กล่าวว่า ไม่ควรถอนเร็วเกินไป เพราะจะกระทบต่อการส่งออกและท่องเที่ยว ส่วนอัตราดอกเบี้ยจะปรับขึ้นหรือไม่ ต้องสัมพันธ์กับปัญหาเงินเฟ้อที่จะเกิดขึ้น ประกอบกับ การส่งออกของไทยต้องเผชิญกับการที่เวียดนามมีโอกาสจะลอยตัวค่าเงินแบบมีกรอบ หลังจากที่ได้ปรับลดค่าเงินมาแล้ว 3 ครั้ง รวมทั้งจีนหากคุมเงินเฟ้อไม่อยู่ ก็มีความเป็นไปได้ที่จะปรับลดค่าเงินหยวนลง
สำหรับอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ในปี 2553 นั้น ม.รังสิต คาดการณ์เอาไว้ที่ระดับ 2.5-3.5% โดยครึ่งปีแรกโตได้ต่อเนื่องจากปลายปี 2552 แต่มีแนวโน้มอัตราเติบโตชะลอลงในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเป็นผลจากการยกเลิกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเร็วเกินไป
ทั้งนี้ ไตรมาสแรกจะเป็นช่วงที่เศรษฐกิจเติบโตดีที่สุดในปีนี้ โดยจะเติบโตถึง 6% เป็นการขยายตัวต่อเนื่องจากปลายปี 2552 ที่เติบโต 5.8% ในไตรมาส 4 ปี 2552 ประกอบกับเป็นการขยายตัวจากฐานที่ต่ำในปีก่อน แต่หลังจากนี้ไป การขยายตัวจะชะลอลงจากปัญหาเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น และข้อจำกัดจากมาตรการการคลัง ขณะที่เศรษฐกิจโลกจะชะลอตัวลงด้วยจากการถอนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
การคาดการณ์ภาวะเศรษฐกิจไทยในครั้งนี้ ม.รังสิต ได้มีการประเมินผลกระทบการเมืองต่อเศรษฐกิจไทยไว้ 5 กรณี โดยกรณีที่ต้องการให้เกิดขึ้นมากที่สุด คือ การที่ทุกฝ่ายยอมรับคำพิพากษาของศาลในคดีสำคัญนี้ จะส่งผลให้เรื่องจบลง ประเทศไทยมีความสงบสุข เศรษฐกิจเติบโตตามศักยภาพของประเทศไทยได้ ซึ่งจะทำให้เศรษฐกิจปีนี้เติบโตสูงถึง 3.5% และปี 2554 จะเติบโต 5- 6%
ส่วนกรณีที่ไม่อยากให้เกิดมากที่สุด คือ เกิดปัญหาความวุ่นวาย ความรุนแรง รัฐบาลไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ เกิดรัฐประหารในอีก 3-5 ปีข้างหน้า หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงนอกวิถีประชาธิปไตย จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศให้ถดถอยยาวนานมาก ซึ่งหากเกิดขึ้นจริงเศรษฐกิจไทยจะเติบโตต่ำกว่า 1% ถือว่าเป็นระดับที่แย่มาก เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและเอเชียเริ่มฟื้นมาแล้ว และอาจส่งผลกระทบต่อเนื่องหลายปี
แต่ถ้าหากมีความวุ่นวายแต่ไม่รุนแรง โดยมีการเปลี่ยนรัฐบาลที่มาบริหารประเทศใหม่ มีการยุบสภา กรณีนี้จะมีผลต่อเศรษฐกิจและการลงทุนบ้าง โดยจะกระทบโครงการลงทุนขนาดใหญ่ (เมกะโปรเจกต์) ที่อาจจะล่าช้าออกไป