สถาบันวิจัยสังกัดกระทรวงการคลังจีนสวนกระแสกดดันจากสหรัฐฯ ออกโรงเผยแพร่งานวิจัยแนะนำรัฐบาลจีนลดค่าเงินหยวนเพื่อกระตุ้นการส่งออก ชี้ 6.93 หยวนต่อดอลลาร์กำลังเหมาะ
สถาบันวิจัยภายใต้สังกัดกระทรวงการคลังของจีน ออกมาแนะนำว่ารัฐบาลจีนต้องแทรกแซงให้อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินหยวนกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อยู่ที่ประมาณ 6.93 หยวนต่อดอลลาร์ เพื่อรักษาอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจและกระตุ้นการจ้างงาน นอกจากนี้ยังแนะนำด้วยว่า เพื่อลดแรงกดดันจากต่างชาติกรณีค่าเงินหยวน รัฐบาลจีนก็ควรจะซื้อสินค้าจากต่างชาติให้มากขึ้นและสร้างแหล่งสำรองพลังงานอย่างจริงๆ จังๆ ขึ้นมา
ปัจจุบันจีนกำลังประสบปัญหาอย่างมากจากต้นทุนด้านแรงงานที่เพิ่มขึ้น และ ค่าเงินหยวนที่แข็งขึ้นมาก โดยปัจจุบัน อัตราแลกเปลี่ยนอยู่ที่ประมาณ 6.83 หยวนต่อดอลลาร์ โดยปัจจัยทั้งหลายเหล่านี้ได้ชะลอการส่งออกสิ่งทอ ของเล่น และเครื่องจักรที่ผลิตจากจีน ขณะที่ทางผู้ว่าการธนาคารกลางจีน นายโจว เสี่ยวชวน ก็กล่าวว่า เขาไม่อยากให้ค่าเงินหยวนผันผวนนัก แต่วิกฤตเศรษฐกิจของโลกจะเป็นตัวชี้ว่านโยบายค่าเงินนั้นควรจะเป็นอย่างไร
ด้านลี่ เว่ย นักเศรษฐศาสตร์ จาก ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ก็ให้ความเห็นกันบลูมเบิร์กว่า “การลดค่าเงินอาจช่วยเศรษฐกิจจีนได้นิดหน่อย แต่การลดลงของการส่งออกนั้น สาเหตุหลักเกิดจากการลดลงของอุปสงค์ หรือ ความต้องการซื้อสินค้าจากต่างประเทศ”
“การอ่อนค่าเงินแม้ว่าจะช่วยเพิ่มการส่งออกให้จีนได้ก็จริง แต่มันจะเป็นการกระตุ้นให้คนอื่นกล่าวหาว่า จีนใช้นโยบายปกป้องการค้าก็ได้” ลี่กล่าว และว่า “ผมไม่คิดว่ารายงานชิ้นนี้จะสะท้อนถึงนโยบายของกระทรวงการคลังจีน”
สำหรับเศรษฐกิจจีนซึ่งปัจจุบันถือเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจากสหรัฐฯ และ ญี่ปุ่น นั้นในครึ่งแรกของปี 2552 นี้จะประสบกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ก่อนที่ในครึ่งหลังของปี 2552 เศรษฐกิจจีนนั้นจะเข้าสู่เสถียรภาพ ซึ่งก็เชื่อว่าการฟื้นตัวที่รวดเร็วดังกล่าวน่าจะมาจาก การที่เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2551 รัฐบาลประกาศอัดฉีดเงินกว่า 4 ล้านล้านหยวน (ราว 585,000 ล้านดอลลาร์) เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ
ในส่วนของภาคการเงินรายงาน สถาบันวิจัยดังกล่าวให้ความเห็นว่า ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ธนาคารกลางจีนควรลดดอกเบี้ยต่อไป แต่ควรจะลดในอัตราที่มากกว่าเดิมเพื่อกระตุ้นการลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
ทั้งนี้ตั้งแต่เดือนกันยายน 2551 ธนาคารกลางจีนประกาศลดอัตราดอกเบี้ยมาอย่างต่อเนื่องถึง 5 ครั้ง โดยปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยเงินฝากประจำหนึ่งปีของธนาคารจีนนั้นอยู่ที่ ร้อยละ 2.25 ส่วนอัตราดอกเบี้ยเงินกู้นั้นอยู่ที่ร้อยละ 5.31 โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2551 เศรษฐกิจจีนเติบโตเพียงแค่ร้อยละ 6.8 หรือคิดเป็นอัตราที่ต่ำสุดในรอบ 7 ปี
ก่อนหน้านี้นายบารัค โอบามา ผู้นำสหรัฐฯ คนใหม่ได้ออกมาแสดงท่าทีที่ไม่เป็นมิตรต่อจีนนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่ประเทศสหรัฐฯ ขาดดุลการค้ากับประเทศจีนจำนวนมหาศาลจำนวนหลายแสนล้านดอลลาร์ต่อปี และส่งสัญญาณว่ารัฐบาลปักกิ่งต้องหยุดแทรกแซงค่าเงินหยวน เพื่อให้การค้ามีความเป็นธรรมมากขึ้น