เอเจนซี่ – ยอดการส่งออกของจีน ในเดือนธันวาคมลดลง เป็นเดือนที่สองติดต่อกัน และถือเป็นการลดลงมากที่สุดในรอบสิบปี ตอกย้ำให้เห็นถึงเศรษฐกิจจีนที่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตการเงินโลก จนนำไปสู่การปิดกิจการจำนวนมาก
ข้อมูลจากศุลกากรจีน ระบุว่า ยอดการส่งออกในเดือนธันวาคมลดลง 2.8% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว โดยมีมูลค่าทั้งสิ้น 111,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
การลดลงของยอดการส่งออกครั้งนี้ ถือว่าตกต่ำลงมากที่สุดในรอบหนึ่งทศวรรษ ซึ่งทำให้รัฐบาลจีนกังวลว่า ภาคการส่งออกซึ่งเป็นภาคธุรกิจที่มีการจ้างงานมากที่สุดนั้นซบเซาลงอย่างมาก
ทั้งนี้ ยอดการส่งออกในเดือนพฤศจิกายน ก็ลดลง 2.2% ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดปี ที่ยอดส่งออกของจีนลดลง ซ้ำร้ายนักเศรษฐศาสตร์บางคนยังบอกว่า สถานการณ์ที่แท้จริงอาจจะเลวร้าย กว่าตัวเลขสถิติของรัฐบาล
“บริษัทบางแห่ง โดยเฉพาะอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ระบุว่ายอดส่งออกลดลงถึง 20% เหตุที่สถิติของภาครัฐไม่สะท้อนภาพที่เป็นจริง ก็เพราะ บริษัทบางแห่งแจ้งยอดขายสินค้าไปต่างประเทศสูงกว่าความจริง เพื่อให้ได้คืนภาษีมากขึ้น” แอนดี้ เซีย นักเศรษฐศาสตร์อิสระในเซี่ยงไฮ้ กล่าว
ทั้งนี้รัฐบาลจีนได้ช่วยเหลือผู้ส่งออก โดยเพิ่มอัตราการคืนภาษีส่งออก และธนาคารกลางจีนก็ลดดอกเบี้ยลงห้าครั้งแล้วตั้งแต่เดือนกันยายน ที่ผ่านมา รวมทั้งยังจัดการให้ค่าเงินหยวนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินเหรียญสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายใหญ่ของรัฐบาลจีน คือ การกระตุ้นความต้องการภายในประเทศ มาชดเชยกับการส่งออกที่ซบเซาลง โดยมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 4 ล้านล้านหยวน เป็นมาตรการสำคัญ
“ยอดส่งออกลดลงเพราะสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่น ซึ่งเป็นตลาดหลักของจีนต่างตกอยู่ในภาวะถดถอย โดยยอดส่งออกในเดือนธันวาคม ถือว่าลดลงมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนเมษายนปี 1999” สู เจี้ยน นักเศรษฐศาสตร์จาก China International Capital Corp ในปักกิ่ง ระบุ
การส่งออกที่ซบเซาส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัทหลายพันแห่ง ที่บริเวณชายฝั่งภาคตะวันออกของจีน ซึ่งหลายแห่งก่อตั้งขึ้นด้วยการลงทุนจากต่างชาติ โดยบริษัทบางแห่งถือโอกาสปิดกิจการลงในช่วงวันหยุดตรุษจีน ซึ่งบรรดาคนงานเดินทางกลับบ้าน เพื่อหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับคนงานที่โกรธเกรี้ยว
สำหรับ ยอดการนำเข้าในเดือนธันวาคมก็ลดลง 21.3% โดยมีมูลค่า 72,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
“การนำเข้าสินค้าของจีนส่วนใหญ่ ก็เพื่อนำมาผลิตเพื่อส่งออกต่อ และเมื่อการส่งออกลดลง การนำเข้าสินค้ามาแปรรูปก็ต้องลดลงเป็นธรรมดา” สู เจี้ยน ระบุ
อีกสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ยอดนำเข้าสินค้าเดือนธันวาคมลดลง ก็เพราะ ราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์อื่นๆ มีราคาลดลง
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบไลท์สวีต ในตลาดนิวยอร์ก ส่งมอบเดือนกุมภาพันธ์อยู่ที่ 44.60 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล ลดลงจากราคาปีที่แล้วที่สูงถึง 96.50 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ส่วนดุลการค้าทั้งปี 2008 ของจีน ยังคงเกินดุล 295,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 13% จากปีก่อนหน้า
สำหรับเงินทุนสำรองระหว่างประเทศนั้น จีนยังคงเป็นประเทศที่มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศนั้นมากที่สุดในโลก โดยตัวเลขในเดือนธันวาคมอยู่ที่ 1.95 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นจากเมื่อสามเดือนก่อนที่อยู่ที่ 1.91ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ โดยในเดือนธันวาคมเดือนเดียว จีนมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศ เพิ่มขึ้น 61,300 ล้านเหรียญสหรัฐฯ