xs
xsm
sm
md
lg

Win Mark : ความปราชัยของ นช.ทักษิณ

เผยแพร่:   โดย: อุษณีย์ เอกอุษณีษ์

การขึ้นให้การของพยานฝ่ายอัยการ ในคดียึดทรัพย์ 7 หมื่น 6 พันล้าน น่าจะทำให้นักโทษชายทักษิณถึงขั้นเซลล์มะเร็งพลุ่งพล่าน เพราะคงนึกไม่ถึงว่า ความชั่วที่สู้อุตส่าห์สะสมมายาวนานจะมาถูกนำมาเปิดเปลือยล่อนจ้อนในคราวเดียวเสียหมดสิ้น ในช่วงจังหวะเวลาเดียวกับที่ทรัพย์สมบัติมูลค่ามหาศาลที่โกงชาติมา ก็ทำท่าจะยื้อกลับมาไม่ได้

การไต่สวนคดียึดทรัพย์ 7 หมื่น 6 พันล้านจะว่าไปแล้ว ไม่ใช่แค่เพียงการพิสูจน์ฐานความผิดในเรื่อง “การขัดกันแห่งผลประโยชน์” เพียงอย่างเดียว หากแต่อานิงส์ของการตรวจสอบ ยังจะช่วยถลกหนังขบวนการฉ้อฉลทางธุรกิจการเมืองที่แยบยลและเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และอาจจะติดอันดับต้นๆ ของโลกด้วย เพราะตั้งแต่ต้นธารไปจนถึงปลายธารของคดีนี้ล้วนถูกเชื่อมโยงปะติดปะต่อไปด้วยพฤติกรรมเลวร้ายไล่ตั้งแต่ “การฟอกเงิน” “หลีกหนีการตรวจสอบ” “เลี่ยงภาษี” ไปจนกระทั่งถึง “การปั่นหุ้น”

กลุ่มธุรกิจที่ตกอยู่ในข่ายถูกตรวจสอบอย่าง ชินคอร์ป ในยุคทักษิณ ชินวัตรเป็นเจ้าของนั้นจัดเป็นบริษัทที่เป็นคู่สัมปทานกับรัฐ ก่อตั้งในปี 2533 และเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ ใน ปี 2535 แม้หลังเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วจะมีการกระจายหุ้นบางส่วนไปอยู่ในมือชาวบ้าน แต่หุ้นส่วนใหญ่กว่า 46 เปอร์เซ็นต์ก็ยังถูกถือในมือเจ้าของตัวจริง อย่าง ทักษิณ และพจมาน ชินวัตร

จนกระทั่งเมื่อทักษิณเข้าสู่การเมืองในปี 2542 กฎหมาย ป.ป.ช.มาตรา100 กำหนดให้ข้าราชการการเมืองต้องรายงานการถือหุ้นในมือให้ ป.ป.ช.ทราบ แต่เจ้ากรรม หุ้นในมือของคุณหญิงพจมานคู่สมรสนายทักษิณ นอกจากจะไม่ได้รายงานแล้วการตรวจสอบยังพบว่า หุ้นจำนวนมากถูกนำไปซุกไว้ในชื่อของคนสวน คนใช้ จนกลายเป็นคดีฉาวสุดคลาสสิกอย่าง “ซุกหุ้นภาคแรก”

กรรมเก่าอันเกิดจากการซุก ใช่ว่าจะจบลงแค่นั้น ปรากฏว่า ในช่วงเวลาไม่นาน พฤติกรรมชอบซุกที่เคยสร้างปัญหาให้สามีภรรยาคู่นี้มาแล้ว ก็ย้อนกลับมาเกิดขึ้นอีกครั้ง เมื่อสามี นายทักษิณ ชินนา-ไวอากร้า (ชื่อที่ใช้ปัจจุบันตามพาสปอร์ตมอนเตเนโกร) เริ่มทำการกระจายหุ้นในมือออกไปให้ลูก น้องสาว และกองทุนลับที่จัดตั้งขึ้นบนเกาะฟอกเงิน British Virgin Irelands โดยให้ชื่อกองทุนลับที่ตัวเองเป็นเจ้าของร้อยเปอร์เซ็นต์ ว่า “โคตรรวยเลยตู” หรือ Ample Rich Investments Limited

ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญปี 2540 ฉบับที่คนเสื้อแดงเรียกร้องนั้น ระบุไม่ให้นายกรัฐมนตรีถือหุ้นในบริษัทสัมปทานที่เป็นคู่สัญญากับรัฐ แต่แทนที่ผู้นำจะปฏิบัติตามกลับใช้ช่องโหว่ รูหมารอด เพื่อหาทางกอบโกยผลประโยชน์เข้าตัว จากอมตะวาจา “บกพร่องโดยสุจริต” ในคดีซุกหุ้นคนใช้ เลยบานปลายกลายเป็นคำบริภาษว่า “อิจฉาล่ะสิ” เมื่อผู้พูดต้องการกลบเกลื่อนความผิดหลังมีการตรวจสอบ พบพฤติกรรมไร้สำนึกขยับหนีจาก “ซุกคนใช้” มาเป็น “ซุกไว้ต่างแดนผ่านกองทุนลับ”

มหกรรมขุดคุ้ยเบื้องหลังกองทุน Ample Rich ได้กลายเป็นประเด็นที่จุดติดในสังคมปลายรัฐบาลทักษิณ 2 เริ่มมีการตั้งข้อสังเกตถึงอาการผลุบเข้า-ผลุบออกจากรายชื่อผู้ถือหุ้นชินคอร์ป ของกองทุนนี้เป็นระยะๆ

ไม่นับรวมการปรากฏตัวของกองทุนลับร่วมสายเลือดอย่าง Win Mark ที่เริ่มเป็นข่าวเข้ามาซื้อหุ้นอสังหาริมทรัพย์ 5-6 บริษัท ที่ถือโดยทักษิณ-พจมาน เมื่อเดือน สิงหาคม 2543 เพื่อแลกกับเงินสดมูลค่า 1,500 ล้านบาทที่ถูกโอนเข้ามาในประเทศในช่วงเลือกตั้ง

หลายคนสงสัยว่า “เครื่องหมายแห่งชัยชนะ” ที่ถูกซุกไว้ในมุมมืดนี้แท้จริง จะเป็นของทักษิณ ชินวัตรอีกหรือไม่ - การซื้อหุ้นที่ผ่านมาอาจจะกลายเป็นเพียงการผันเงินที่ซุกไว้นอกประเทศ เข้ามาใช้ในประเทศเท่านั้น

Win Mark ได้ทำให้สังคม เกิดคำถามมากมายที่รอให้มีผู้มาตอบ เพราะถ้า Win Mark เป็นของชายที่ชื่อทักษิณจริง คำถามต่อไปก็คือ กองทุนนี้ ...ทักษิณ...

...มีไว้เพียงซุกซ่อนอะไร? เงินสกปรกที่ระบุที่มา-ที่ไปที่แจ้งมิได้ใช่หรือไม่?

... จากการเก็งกำไรค่าเงินในประเทศไทย?

…เป็นแหล่งทุนสำหรับนำไปใช้จ่ายอย่างผิดกฎหมาย?

…มีเงินสกปรกซุกซ่อนไว้ทั้งหมด เท่าไหร่?

... และทำทั้งที่รู้ว่า พฤติกรรมเช่นนี้ผิดกฎหมายใช่หรือไม่?

เดิมสถานะของ Win Mark จะถูกเปิดออกมาตั้งแต่ปี 2550 ครั้งที่ดีเอสไอ มีอธิบดีชื่อ สุนัย มโนมัยอุดมแล้ว เพราะได้มีการประสานขอหลักฐานสำคัญจากธนาคารในต่างประเทศเพื่อมัดตัวคนร้ายไว้เป็นที่เรียบร้อย แต่ดูเหมือนระบอบทักษิณ จะอ่านเกมออก จึงส่งรัฐมนตรียุติธรรมในขณะนั้น เข้ามารับภารกิจเลื่อยขาเก้าอี้ท่านสุนัย พร้อมของแถมเป็นหมายจับ สภ.วังน้อย อยุธยาที่ร่อนไปรอรับถึงสนามบิน แต่โชคดีที่คนของพลเอกปฐมพงษ์ เกสรศุกร์ ชิงรับตัวท่านสุนัยตัดหน้า ตำรวจม้าใช้ของนักการเมืองทัน อันนำไปสู่การยื่นเรื่องขอให้ศาลเพิกถอนหมายจับเถื่อนในที่สุด

แม้คดีเอสซี – เอสแสท ในมือดีเอสไอจะจบไม่สวยด้วยถูกดอง หลังดีเอสไอเปลี่ยนตัวผู้บริหาร และถูกอัยการสั่งไม่ฟ้องท่ามกลางความคลางแคลงใจของคนทั้งประเทศ แต่ในที่สุด ฟ้าก็มีตา ความจริงได้ถูกเปิดเผย แม้จะมาช้าถึง 2 ปี

คำให้การของ นางวรัชญา ศรีมาจันทร์ ผู้ช่วยเลขาธิการ ก.ล.ต และนายสุนัย มโนมัยอุดม อดีตอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ที่ถูกเปิดเผยในชั้นไต่สวนของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มัดทักษิณอย่างดิ้นไม่หลุด

..วิน มาร์ค แอมเพิลริช และพานทองแท้ ล้วนเป็น“นอมินี” ทักษิณ

ทักษิณยังเป็นเจ้าของชินคอร์ป นับแต่ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี จนถึงวันที่ขายหุ้นชิน

ทักษิณบริหารประเทศไปพร้อมๆ กับที่ขาอีกข้างก็บริหารชินคอร์ปไปด้วย เบื้องหลังทักษิณ นอกจากจะมี Ample Rich ยังมี Win Mark, Blue Diamond และ Sinatra แอบซ่อนอยู่เป็นทิวแถว

แม้ในคำให้การจะไม่ได้ให้ข้อมูลว่า BlueDiamond ของทักษิณ จะเป็นอันเดียวกับที่ต่อท่อน้ำเลี้ยงมายังเวทีชุมนุมสนามหลวงที่ขึ้นคัตเอาต์รูป “BlueDiamond” และมีผู้ปราศรัยกล่าวหมิ่นเบื้องสูงจนถูกออกหมายจับหรือไม่

แต่จิ๊กซอว์ทั้งหมดที่ได้ ก็ทำให้คนทั้งประเทศเริ่มจะปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ และเริ่มจะหันกลับไปทบทวนข้อกล่าวหาจากหลายฝ่ายที่มีต่อ นช.ทักษิณในอดีต อาทิ

น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ไทยโพสต์, 28 ม.ค. 48

“เมื่อ 30 มิถุนายน 2540 นายกรัฐมนตรีสมัยนั้นลงนามคำสั่งลอยตัวค่าเงินบาท แต่ประกาศในวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 ช่วงระยะเวลานี้และในที่ประชุมมีใครบ้าง และช่วยตรวจสอบด้วยว่าปลายเดือนมิถุนายน 2540 ใครไปเปิดบัญชีในธนาคารแห่งหนึ่งเอาไว้ที่ประเทศสิงคโปร์ ไปตรวจสอบดูหากคนนี้ไม่ใหญ่โตคงทำอะไรไม่ได้”

ประชัย เลี่ยวไพรัตน์ “ปูดลอยบาท 2 สื่อสารฟัน 6 หมื่นล้าน”, กรุงเทพธุรกิจ, 31 ม.ค. 48

“ในปี 2540 นายจอร์จ โซรอส ได้วางแผนโจมตีค่าเงินบาทของไทย โดยนายจอร์จได้ติดต่อผ่านบริษัทไฟแนนซ์ขนาดใหญ่ ...โดยบริษัทเหล่านี้ได้มาเชิญชวนตนและนักธุรกิจรายใหญ่ของประเทศ รวมทั้งกลุ่มบริษัทสื่อสารโทรคมนาคมรายใหญ่ที่สุดของประเทศ 2 คน ให้เข้าร่วมการซื้อ-ขายเงินบาทและดอลลาร์ด้วย...และปรากฏว่าภริยาของนักธุรกิจสื่อสารผู้นี้นำเงินบาท ซึ่งเป็นเงินสดออกไปประเทศสิงคโปร์เพื่อไปขายให้ต่างชาติ ให้ต่างชาติมีเงินบาทมาทำการซื้อ-ขายดอลลาร์และโจมตีค่าเงินบาทต่อไป ซึ่งได้มีการดำเนินการจนกระทั่ง รมว.คลังลาออก” แก้วสรร อติโพธิ อดีต คตส., สำนักข่าวไทย, 19 ก.ย. 50

“ ปัจจุบันมีการทุจริตใหม่เกิดขึ้น โดยมีโครงสร้างพื้นฐานเป็นการลงทุนใช้เงินยึดอำนาจรัฐบาล ทั้งซื้อ ส.ส. ซื้อเสียง ซื้อพรรค และซื้อ ส.ว. จากนั้นลงทุนใช้เงินและใช้อำนาจแต่งตั้งของรัฐบาลยึดอำนาจในระดับหน่วยงาน กรม รัฐวิสาหกิจ องค์กรตรวจสอบ ยึดหัวใจประชาชน โดยใช้เงินหลวงสร้างมาตรการประชานิยม และยึดสื่อมวลชน พร้อมกับสร้างกองทุนลับเพื่อเป็นฐานซุกซ่อนเงินที่ได้มาโดยมิชอบ หรือหุ้นที่จำเป็นต้องปกปิดในกระบวนการซื้อขายหุ้น โดยใช้ข้อมูลภายในเป็นฐานฟอกเงินเข้าประเทศในรูปแบบต่างๆ เช่น รับซื้อหรือขายหุ้นของตนเอง หรือให้บริษัทของตนเองกู้เงินจากกองทุนลับ และซุกหุ้นต่างๆ เพื่อหนีข้อกำหนดในกฎหมายป้องกันการถือประโยชน์ทับซ้อน …การทุจริตรูปแบบใหม่ ที่มีเงินตัวเดียวสามารถยึดอำนาจรัฐได้ทั้งประเทศ”
กำลังโหลดความคิดเห็น