xs
xsm
sm
md
lg

คติเตือนใจเรื่องคนฆ่าเสือ

เผยแพร่:   โดย: สิริอัญญา

นายไพศาล พืชมงคล ได้เขียนทวิตเตอร์เมื่อเช้าวันที่ 26 พฤศจิกายน 2552 มอบเป็นของขวัญแก่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ในโอกาสที่ได้มีส่วนสำคัญในการทำให้หยุดการชุมนุมของม็อบเสื้อแดงในช่วงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับเป็นของขวัญชิ้นแรกหลังจากเดินออกจากพรรคไทยรักไทย เมื่อ 5 ปีก่อน

ของขวัญชิ้นนี้เป็นคติสอนใจเรื่องคนฆ่าเสือ โดยระบุว่าคติเรื่องนี้เป็นปัญหาทางยุทธศาสตร์ที่ถ้าหากกระจ่างแล้ว ก็จะสามารถแก้ไขปัญหาของทุกฝ่าย รวมทั้งของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เองด้วย

นายไพศาล พืชมงคล ได้ระบุว่าในช่วงที่เป็นกรรมการการเมืองของพรรคไทยรักไทยในช่วงปี 2547-2548 นั้น ได้เตือนในเชิงยุทธศาสตร์ว่ารัฐบาลและพรรคจะต้องไม่สร้างความกลัวให้เกิดขึ้นแก่คนทั้งปวง ถ้าหากไม่หยุดสร้างความหวาดกลัว ในที่สุดทั้งรัฐบาลและทั้งพรรคก็จะพากันพังพินาศหมด

และก่อนหน้านี้ก็ได้เขียนทวิตเตอร์ระบุว่า ในระหว่างที่พรรคความหวังใหม่ร่วมและรวมกับพรรคไทยรักไทยนั้น ได้บันทึกทำความเห็นเสนอนายกรัฐมนตรี และผู้บริหารพรรคในเวลานั้น เป็นบันทึกถึง 478 ฉบับ ที่ถ้าหากมีการรับฟังปฏิบัติเพียง 5 เรื่อง 10 เรื่อง ก็จะไม่มีชะตากรรมอย่างวันนี้

แต่ก็หามีใครเชื่อฟังไม่ จนบางครั้งต้องยกเอาคำรำพึงของเทพแห่งกาลเวลาซึ่งปรากฏเป็นโศลกบทสำคัญในมหาภารตะยุทธ์ขึ้นมารำพึงรำพันว่า

“ข้าพเจ้าชูแขนขึ้นป่าวประกาศธรรม แต่หามีใครเชื่อฟังข้าพเจ้าไม่
ธรรมนำมาซึ่งความสงบสุข แต่ไฉนเล่าจึงไม่มีผู้ใดปฏิบัติธรรม”


คติสอนใจเรื่องคนฆ่าเสือนั้น นายไพศาล พืชมงคล ระบุว่าเป็นคติที่มาแต่โบราณ ที่ผู้นำหรือผู้เป็นกุนซือจะต้องสังวรไว้อยู่ทุกเมื่อ พลั้งเผลอเมื่อไรเป็นอันตรายเมื่อนั้น

คติสอนใจเรื่องนี้มีว่า การที่คนฆ่าเสือนั้นมิใช่เพราะคนเกลียดแค้นชิงชังกับเสือแต่ประการใด แต่ที่คนฆ่าเสือก็เพราะคนกลัวเสือ

คติสอนใจเพียงสั้นๆ เท่านี้มีนัยความหมายที่ลึกซึ้งสำคัญมาก เพราะเป็นวิถีแห่งการดำรงอยู่ เป็นการอยู่โดยรอดปลอดภัยและถึงซึ่งความสวัสดี ไม่เป็นที่เกลียดแค้นชิงชังของเทพยดาและมนุษย์ทั้งหลาย โดยเฉพาะเหล่าท่านผู้มีอำนาจวาสนาทั้งปวง

แต่ก็หามีใครเชื่อถือรับฟังไม่ กลับพากันตำหนิติเตียนเยาะเย้ยถากถาง กระทั่งปองร้ายจนต้องเยื้องกรายออกมาจากพรรคไทยรักไทย

มิหนำซ้ำ คนสำคัญระดับนำของพรรคยังเยาะเย้ยถากถางซ้ำเข้าไปอีก ด้วยการไปพูดกับนายเสนาะ เทียนทอง ว่าคนตาบอดมันไม่กลัวเสือ ซึ่งเป็นการตอบคำถามของนายเสนาะ เทียนทอง เกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขปัญหาความยากจน ว่ามิได้ต้องการแก้ไขจริงๆ แต่เป็นการทำไปเพื่อหาเสียงเท่านั้น แล้วเหน็บต่อท้ายให้กระแทกมาถึงว่าคนตาบอดมันไม่กลัวเสือ

ซึ่งสะท้อนความคิดจิตใจว่าตั้งอยู่ในความประมาท เหลิงระเริงในอำนาจอย่างเต็มที่ ดูหมิ่นถิ่นแคลนอาณาประชาราษฎร ว่าเป็นแค่คนตาบอด ไม่รู้เท่าทัน หรือถึงแม้จะรู้เท่าทันก็เป็นแค่คนตาบอดที่ทำอะไรเสือไม่ได้

นี่คือการตั้งตนอยู่ในความประมาท ไม่หยุดยั้งม้าไว้ริมผาให้ทันท่วงที สมกับที่ได้เตือนไว้ ทั้งๆ ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนโดยทั่วไปนั้นย่อมรำลึกได้เป็นอย่างดีว่า พระตถาคตเจ้าทรงตรัสสอนเรื่องนี้ไว้เป็นอันมาก

ทรงตรัสสอนว่า คนเรานั้นหากยังมีผู้เตือน ก็เป็นผู้ที่มีลาภอันประเสริฐ

ทรงตรัสสอนแม้กระทั่งในปัจฉิมโอวาทว่า จงยังการทั้งหลายให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด ความประมาทนั้นแหละเป็นบ่อเกิดของความตายและอันตรายทั้งปวง


ดังนั้นจึงแทนที่จะได้รับลาภอันประเสริฐ และป้องกันอันตรายทั้งหลายทั้งปวงตามที่พระตถาคตเจ้าได้ตรัสสอนไว้ให้สมกับความเป็นชาวพุทธ กลับกระตุ้นม้าควบเลยหน้าผาออกไป ในที่สุดผลเป็นอย่างไรก็เห็นๆ กันอยู่

ความจริงในช่วงนั้นก็มีผู้คนท้วงติงตักเตือนเป็นอันมาก ทั้งผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง ไม่ว่าระดับประธานองคมนตรี หรือพระอริยสงฆ์อย่างหลวงตาพระมหาบัว ซึ่งได้ตักเตือนในฐานะที่ขรัวเจ้าเป็นครูบาอาจารย์ ที่เคยให้อุปการะเป็นอันมากมาแต่ก่อน

แต่นั่นแหละบุรพกรรมนั้นมีอยู่จริงแท้ไม่แปรผัน และเมื่อกรรมอันวินาศมาถึงแล้ว สติปัญญาย่อมวิปลาสแปรปรวนไป รสชาติแห่งพระธรรมและคำเตือนทั้งปวงก็ไม่อาจคุ้มครองป้องกันอันตรายไว้ได้ ย่อมถึงซึ่งวิบัตินานัปการ จนชีวิตเหลือเป็นคนก็แทบไม่เป็นคน เป็นนิทรรศน์อุทาหรณ์ให้คนทั้งหลายทั้งปวงได้พิจารณาศึกษาเรื่องความศักดิ์สิทธิ์และความเที่ยงธรรมของกฎแห่งกรรมอย่างชัดเจนที่สุด

นายไพศาล พืชมงคล ได้เขียนทวิตเตอร์ไว้ตอนหนึ่งว่า คำท้วงติงตักเตือนนี้แม้ผ่านวันเวลามา 4-5 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีผลอยู่ อยากให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้พิจารณาอีกครั้งหนึ่ง เพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายทั้งปวง ทั้งปัญหาชาติบ้านเมือง ปัญหาท่าน ปัญหาตน ซึ่งย่อมเป็นประโยชน์และความสุขแก่คนทั้งหลาย รวมทั้งตนเองและครอบครัว ตลอดจนญาติสนิทมิตรสหายทั้งหลายด้วย

ที่ว่าคำเตือนเรื่องคนฆ่าเสือยังมีผลอยู่ก็เพราะว่า แม้ยามนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ไม่ได้ครองอำนาจรัฐ แม้ตัวเองก็ต้องร่อนเร่พเนจรอยู่ในต่างแดน ต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รัก ต้องประสบกับสิ่งที่ไม่รัก ไม่พอใจ ต้องโดดเดี่ยวเดียวดาย หงอยเหงาซึมเศร้า ตามวิสัยที่ต้องเป็นไปเช่นนั้น แต่กลับสามารถสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นแก่คนทั้งบ้านทั้งเมือง

สามารถสร้างความหวาดกลัวให้เกิดขึ้นเท่าๆ กับหรือมากกว่าเมื่อครั้งที่พรรคไทยรักไทยยังเป็นรัฐบาลครองอำนาจเรืองกฤษดานุภาพด้วยอำนาจรัฐตำรวจในยุคนั้นเสียอีก

เนื่องเพราะลิ่วล้อบริวารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นั้นมีอยู่ 2 พวก ที่ทำอันตรายและได้ขุดหลุมฝัง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่รู้ตัว และไม่หยุดไม่หย่อน

พวกหนึ่งนั้นเป็นพวกโง่แต่ขยัน อีกพวกหนึ่งนั้นเป็นพวกฉลาดแต่ขี้โกง คน 2 พวกนี้หลงผิดหรือหลงถูก คิดว่าการสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้คนในบ้านเมือง สร้างความรุนแรง สร้างความปั่นป่วนวุ่นวาย สร้างความหยาบช้าสามานย์ ต่อทุกชั้นชนและคนทั้งปวงแล้ว จะสร้างความพออกพอใจให้เกิดกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

จะทำให้เป็นที่มาแห่งอามิสลาภผลอันเป็นที่พึงปรารถนาจนเป็นที่มาของคำกล่าวขานที่ว่า สู้แล้วรวย รวยแล้วไม่ยอมเลิก เป็นต้น และปรากฏการณ์ที่ผ่านมาก็ดูเหมือนว่าความเชื่อเช่นนั้นก็ใช่ว่าจะไร้ซึ่งความจริงรองรับแต่ประการใด

เมื่อเป็นอย่างนั้นคน 2 พวกนี้ก็คิดอ่านสรรค์สร้างแผนการต่างๆ นานาสารพัดสารพัน เพื่อให้เกิดความรุนแรง ให้เกิดความปั่นป่วนวุ่นวาย เพื่อให้กระทบหรือข่มขู่คุกคามต่อพระมหากษัตริย์ สถาบันพระมหากษัตริย์ สถาบันองคมนตรี แม้กระทั่งคณะนางสนองพระโอษฐ์ หรือแม้คนอื่นๆ ที่เข้าใจว่าเป็นศัตรูของตน

แผนการสารพัดสารเพนี้บางทีก็อาจทำให้ครึ้มอกเคลิ้มใจไปก็ได้ เพราะฟังผิวเผินก็ดูประหนึ่งว่าสวยหรูวิไลเลิศนักหนา สามารถทำให้กลับมาครองอำนาจในบ้านเมืองอีกครั้งหนึ่ง โดยพ้นจากข้อกล่าวหาทั้งปวง มีแต่ความบริสุทธิ์ผุดผ่องและได้ทรัพย์สินเงินทองที่ถูกอายัดกลับคืน ดังหลักฐานคำกล่าวบางครั้งที่ว่า จะต้องย้อนเหตุการณ์กลับไปก่อนวันที่ 19 กันยายน 2549 เป็นต้น

ดังนั้นการเผาบ้านเผาเมืองเมื่อเดือนเมษายน ปีนี้ การบุกเข้าไปล้มการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจาอย่างป่าเถื่อนทมิฬมารต่อหน้าสายตาผู้นำร่วม 20 ประเทศ และสื่อมวลชนทั่วโลกจึงเกิดขึ้น

และยังเกิดเหตุทำนองนี้ต่อเนื่อง กระทั่งล่าสุดก็ประกาศระดมคนเสื้อแดง 1 ล้านคน เข้ากรุง แบ่งดาวกระจายเป็น 50 จุดๆ ละ 20,000 คน โดยไม่แยแสต่อกฎหมายบ้านเมือง ไม่แยแสต่อห้วงมหามงคลสมัยที่คนไทยทั้งประเทศมุ่งถวายความจงรักภักดีแก่องค์พระประมุขเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ประกาศใช้ทุกวิถีทางเพื่อปิดบัญชีล้มรัฐบาล

และยังประสานเสียงด้วยการข่มขู่ต่อพระมหากษัตริย์ พระบรมวงศานุวงศ์และคนทั้งปวง ด้วยการยกเรื่องการล้มราชวงศ์ของรัสเซีย กระทั่งการล้มราชวงศ์ของฝรั่งเศสที่มีการประหารชีวิตพระบรมวงศานุวงศ์อย่างอำมหิต โดยเรียกร้องให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวลงมาแก้ปัญหา

แล้วใครจะยอมล่ะ? คนไทยกว่าร้อยละ 90 ของทั้งประเทศ โดยเฉพาะบรรดาผู้ดูแลรักษาความมั่นคงปลอดภัยของชาติต่างมีความรู้สึกเป็นอย่างเดียวกันว่า ถึงเวลาที่ต้องจัดการกับอริราชศัตรูผู้ก่อการกบฏแล้ว มหกรรมกินโต๊ะจึงเกิดขึ้นเพื่อจัดการกับการเผาบ้านเผาเมืองรอบใหม่ จนในที่สุดแผนนั้นก็ต้องล้มเหลว

แต่มันได้มาซึ่งความหวาดกลัวของคนทั้งปวงที่กำลังกลัวเสืออย่างสุดจิตสุดใจ ซึ่งเป็นไปตามคติว่า เมื่อกลัวมากและไม่มีทางอื่นก็มีแต่ต้องฆ่าเสือเท่านั้น

ดังนั้นจึงได้แต่หวังว่าคติสอนใจเรื่องคนฆ่าเสือจะได้รับการพินิจพิจารณาโดยแยบคายเพื่อแก้ไขปัญหาทั้งหลายในบ้านเมือง ก่อนที่จะสายไปมากกว่านี้!
กำลังโหลดความคิดเห็น