ASTVผู็จัดการรายวัน - ครม.ปัดขายบ้านเอื้ออาทรล๊อตใหญ่ 7 หมื่นหน่วยให้เอกชน หวั่นนำไปขายทำกำไรจากประชาชน รัฐบาลผู้รับผิดชอบจะตอบคำถามสังคมลำบาก ด้านรมว.พม.คาดขายยกล็อตเอกชนจะได้วงเงินกว่า 6หมื่นล้าน
วานนี้(24 พ.ย) นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอมาตรการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาบ้านเอื้ออาทร โดยให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรให้แล้วเสร็จตามจำนวนเดิม 281,556 หน่วย ตามที่มติครม.เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.52
ด้านแหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม. กล่วาว่า ในมาตรการด้านการตลาด นายอิสระ สมัย รมว.พัฒนาสังคมฯ ได้เสนอให้ การเคหะฯขายบ้านเอื้ออาทรล๊อตใหญ่ให้กับบริษัทเอกชนในลักษณะต่ำกว่าทุนแต่ไม่ต่ำกว่าที่ขายให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโครงการ และเชื่อว่าหากขายจะได้เงินถึง 60,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีหลายคนได้คัดค้านว่า หากจะขายให้เอกชนล๊อตใหญ่ รัฐบาลจะตอบคำถามต่อสังคมได้ลำบาก เพราะหากขายให้บริษัทเอกชนในราคาที่ต่ำกว่าทุนแล้ว และหากเอกชนขายบ้านไปแล้วได้กำไรจะทำอย่างไร ที่ประชุมจึงมีมติให้การเคหะฯเดินหน้าโครงที่เหลืออยู่ทั้งหมด เช่น ให้ขายให้กับหน่วยงานภาครัฐรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ โดยมีเงื่อนไขต้องดูแลจัดสรรให้แก่ข้าราชการหรือพนักงานในสังกัดที่มีรายได้น้อย
“ไม่อนุมัติให้ขายโครงการในลักษณะยกอาคารหรือขายทั้งโครงการให้แก่ภาคเอกชน รวมทั้งไม่อนุมัติให้จ้างบริษัท ประเมินราคาตลาดอย่างน้อย 2 บริษัทเพื่อกำหนดราคาขาย ที่ต้องไม่ต่ำกว่าที่ขายให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยเกรงว่า จะไม่สามารถต่อสังคมได้”
ขณะที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ เห็นว่า บ้านเอื้ออาทร ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง 79,000 หน่วย ในจำนวนนี้ 60,000หน่วย เป็นโครงการที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้วประมาณ 50 - 99% ส่วนที่เหลือ 19,000หน่วย มีความคืบหน้าในการก่อสร้างประมาณ 50%
อย่างไรก็ตามในกรณีของสำหรับการขายบ้านเอื้อาทรจำนวน 281,000 หน่วยนั้นขณะนี้มียอดขาย 210,000 หน่วย ทำให้ปัจจุบัน ยังคงมียอดคงเหลือบ้านเอื้ออาทรคงเหลือ 70,000 หน่วย ทั้งนี้ยอมรับว่าบ้านเอื้ออาทรบางส่วนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่ามีจำนวนกว่า 21,000หน่วย นั้นถือว่าศักยภาพการขายไม่ดีนัก อย่างไรก็ตามเห็นว่า การเคหะฯไม่น่าจะทำโครงการนี้ต่อ โดยเฉพาะไม่มีความเชี่ยวชาญในการขายบ้าน และหากขายบ้านในล๊อตที่ใหญ่ขนาดนี้อาจจะไม่เหมาะสม
อนึ่งก่อนหน้านั้น การเคหะแห่งชาติ (กคช.)ได้เสนอเรื่องไปที่กระทรวงพัฒนาสังคมฯ เพื่อให้นำเสนอแนวทางการระบายสต็อกบ้านเอื้ออาทรที่ยังขายไม่ได้บางส่วน ต่อที่ประชุมครม.โดยเพาะโครงการที่อยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรม ในรูปแบบการขายยกล็อต เพื่อให้ง่ายต่อการลดสต็อกบ้านเอื้อที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหากครม.อนุมัติจะทำให้การเคหะสามารถปิดการขายบ้านเอื้ออาทรได้เร็วขึ้น และยังเป็นการลดต้นทุนการดำเนินงาน รวมถึงเป็นการแก้ปัญหาการขาดทุนจากการดำเนินการต่อเนื่องจาก กคช.ได้ด้วย
วานนี้(24 พ.ย) นพ.ภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ที่ประชุม ครม.ได้เห็นชอบตามที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เสนอมาตรการสนับสนุนการแก้ไขปัญหาบ้านเอื้ออาทร โดยให้การเคหะแห่งชาติ (กคช.) ดำเนินการก่อสร้างบ้านเอื้ออาทรให้แล้วเสร็จตามจำนวนเดิม 281,556 หน่วย ตามที่มติครม.เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.52
ด้านแหล่งข่าวจากที่ประชุม ครม. กล่วาว่า ในมาตรการด้านการตลาด นายอิสระ สมัย รมว.พัฒนาสังคมฯ ได้เสนอให้ การเคหะฯขายบ้านเอื้ออาทรล๊อตใหญ่ให้กับบริษัทเอกชนในลักษณะต่ำกว่าทุนแต่ไม่ต่ำกว่าที่ขายให้กับประชาชนทั่วไป เพื่อสนับสนุนการแก้ไขปัญหาโครงการ และเชื่อว่าหากขายจะได้เงินถึง 60,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามรัฐมนตรีหลายคนได้คัดค้านว่า หากจะขายให้เอกชนล๊อตใหญ่ รัฐบาลจะตอบคำถามต่อสังคมได้ลำบาก เพราะหากขายให้บริษัทเอกชนในราคาที่ต่ำกว่าทุนแล้ว และหากเอกชนขายบ้านไปแล้วได้กำไรจะทำอย่างไร ที่ประชุมจึงมีมติให้การเคหะฯเดินหน้าโครงที่เหลืออยู่ทั้งหมด เช่น ให้ขายให้กับหน่วยงานภาครัฐรวมถึงองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นได้ โดยมีเงื่อนไขต้องดูแลจัดสรรให้แก่ข้าราชการหรือพนักงานในสังกัดที่มีรายได้น้อย
“ไม่อนุมัติให้ขายโครงการในลักษณะยกอาคารหรือขายทั้งโครงการให้แก่ภาคเอกชน รวมทั้งไม่อนุมัติให้จ้างบริษัท ประเมินราคาตลาดอย่างน้อย 2 บริษัทเพื่อกำหนดราคาขาย ที่ต้องไม่ต่ำกว่าที่ขายให้แก่ประชาชนทั่วไป โดยเกรงว่า จะไม่สามารถต่อสังคมได้”
ขณะที่นายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกฯ เห็นว่า บ้านเอื้ออาทร ที่กำลังดำเนินการก่อสร้าง 79,000 หน่วย ในจำนวนนี้ 60,000หน่วย เป็นโครงการที่มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้วประมาณ 50 - 99% ส่วนที่เหลือ 19,000หน่วย มีความคืบหน้าในการก่อสร้างประมาณ 50%
อย่างไรก็ตามในกรณีของสำหรับการขายบ้านเอื้อาทรจำนวน 281,000 หน่วยนั้นขณะนี้มียอดขาย 210,000 หน่วย ทำให้ปัจจุบัน ยังคงมียอดคงเหลือบ้านเอื้ออาทรคงเหลือ 70,000 หน่วย ทั้งนี้ยอมรับว่าบ้านเอื้ออาทรบางส่วนที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ซึ่งคาดว่ามีจำนวนกว่า 21,000หน่วย นั้นถือว่าศักยภาพการขายไม่ดีนัก อย่างไรก็ตามเห็นว่า การเคหะฯไม่น่าจะทำโครงการนี้ต่อ โดยเฉพาะไม่มีความเชี่ยวชาญในการขายบ้าน และหากขายบ้านในล๊อตที่ใหญ่ขนาดนี้อาจจะไม่เหมาะสม
อนึ่งก่อนหน้านั้น การเคหะแห่งชาติ (กคช.)ได้เสนอเรื่องไปที่กระทรวงพัฒนาสังคมฯ เพื่อให้นำเสนอแนวทางการระบายสต็อกบ้านเอื้ออาทรที่ยังขายไม่ได้บางส่วน ต่อที่ประชุมครม.โดยเพาะโครงการที่อยู่ใกล้นิคมอุตสาหกรรม ในรูปแบบการขายยกล็อต เพื่อให้ง่ายต่อการลดสต็อกบ้านเอื้อที่มีอยู่ในปัจจุบัน ซึ่งหากครม.อนุมัติจะทำให้การเคหะสามารถปิดการขายบ้านเอื้ออาทรได้เร็วขึ้น และยังเป็นการลดต้นทุนการดำเนินงาน รวมถึงเป็นการแก้ปัญหาการขาดทุนจากการดำเนินการต่อเนื่องจาก กคช.ได้ด้วย