ASTV ผู้จัดการรายวัน- การเคหะฯเร่งสางหนี้ 7 หมื่นล้านบาท วางเป้าปี54ชำระหมด ด้านบอร์ดกคช.รับลูกมีมติอนุมัติเดินหน้าจ้าง บล.ฟินันซ่า ศึกษารูปแบบการสร้างรายได้สต๊อกบ้านเอื้อฯแบบรอบด้าน หวังแก้ปัญหาสต๊อก-ล้างหนี้บ้านเอื้อฯ คาด3แนวทางหลัก ตั้งกองทุนขายหน่วยลงทุน -ตั้งบริษัทลูกรับบริหาร-แยกบัญชีการกำเนินงานกคช.และบ้านเอื้อฯ พร้อมดึงที่ดินศักยภาพพัฒนาบ้าน-คอนโดฯสร้างรายได้ คาด12ก.พ.53เปิดขาย3โครงการนำร่องวัดดีมานด์ก่อนเสนอครม.อนุมัติ
นายสุชาติ ศิริโยธิพันธุ์ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ(กคช.) กล่าวว่าเพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาการขาดทุนจากการดำเนินงานและหนี้สะสม คณะกรรมการบริหารการเคหะฯได้มีมติอนุมัติและเซ็นสัญญาว่าจ้าง บริษัทบล.ฟินันซ่า จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนและศึกษาแนวทางการแก้หนี้แบบรอบด้านของ กคช.และการบริหารสิ้นทรัพย์จากโครงการบ้านเอื้ออาทร
โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการศึกษา4เดือน และหลังจากนั้น กคช. จะนำผลการศึกษามาพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหมดเพื่อเสนอต่อกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)เพื่อเสอนต่อที่ประชุม ครม.ให้อนุมัติต่อไป ทั้งนี้แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวในเบื้องต้นคาดว่าจะมีข้อสรุปออกมา3ด้าน คือ 1.ตั้งกองทุนอสังหาฯและขายหน่วยลงทุนเพื่อสร้างรายได้จากบ้านเอื้ออาทรที่เหลืออยู่ 2.การตั้งบริษัทลูกเพื่อเข้ามารับบริหารดูแลบ้านเอื้ออาทร ในรูปแบบบริษัทจดทะเบียน และ3.การเก็บบ้านเอื้อฯไว้กับ กคช.แต่อาจจะแยกบัญชีในการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถแยกแยะหนี้ที่เกิดจากการดำเนินงานของ กคช. และหนี้ที่เกิดจากบ้านเอื้อฯ
สำหรับหนี้ที่เกิดจากการดำเนินงานของกคช.และบ้านเอื้ออาทร ซึ่งขณะนี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น70,000ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหนี้ที่เกิดจากโครงการบ้านเอื้อฯจำนวน65,000 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะสามารถชำระได้ทั้งหมดในปี2554 ยกเว้นในส่วนของโครงการที่กคช.ได้นำเข้าโครงการเช่าซื้อจำนวนกว่า 10,000 หน่วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ ครม.มีมติอนุมัติมาตรการแก้ปัญหาบ้านเอื้ออาทร 5ข้อที่เสนอไปก่อนหน้านี้ จะช่วยส่งผลดีให้กคช.สามารถชำระหนี้คงค้างอยู่ดังกล่าวได้เร็วขึ้น เนื่องจากมาตรการที่ ครม.อนุมัติทั้งหมดจะเข้ามาช่วยสร้างความคล่องตัวในการระบายสต๊อกบ้านเอื้อฯที่มีอยู่ นอกจากการเร่งระบายสต๊อก ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย นายอิสสระ สัมชัย รมว. พม. แล้วในปี53 กคช.มีแผนจะดำเนินการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเชิงธุรกิจ ตามนโยบายของ พม.
โดยก่อนหน้านั้น รมว.พม.มีนโยบายที่จะคัดเลือกที่ดินศักยภาพของกคช.ที่รับซื้อไว้ในโครงการบ้านเอื้อฯบางส่วนมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรองรับความต้องการตลาดระดับกลาง-บน นอกเหนือจากดครงการเพื่อสังคมและชุมชนที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยจะคะดที่ดินเด่นมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยวรองรับความต้องการของข้านราชการและประชาชนทั่วไป
โดยเฉพาะที่ดินในทำเลที่เดินทางสะดวก มีระบบขนส่งมวลชนและระบบรางรองรับ และอยู่ใกล้แหล่งงานซึ่งในเบื้องต้น กคช.จะนำที่ดินแปลงใหญ่ใน3ทำเล ประกอบด้วย ร่มเกล้า วัดกู้ บางปู มาพัฒนาก่อนโดยขณะนี้ทั้ง3ทำเลอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการพัฒนาว่าจะพัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือห้องชุด เพื่อนำเสนอต่อสภาพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ พิจารณาความคุ้มค่า เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ต่อไป
นายสุชาติ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นนี้ กคช.คาดว่าหลังผลการศึกษาและพิจารณารูปแบบการพัฒนาแล้ว จะเริ่มเปิดพรีเซล โครงการดังกล่าวแก่ข้าราชการและประชาชนก่อนที่สนใจจองซื้อเพื่อเป้นการวัดดีมานด์ในแต่ละพื้นที่ก่อนดดยจะเริ่มเปิดพรีเซลในวันที่ 12 ก.พ.53 จำนวน5,000 หน่วย และหลังจากนั้นจะนำเรื่องเสนอต่อเที่ประชุมครม.อีกครั้งหนึ่ง
“ กคช.เปิดรับซื้อโครงการบ้านเอื้อฯแบบเทิร์นคีย์จำนวน600,000 หน่วย ซึ่งก่อนหน้านั้นกคช.รับซื้อโครงการแบบเทิร์นคียเข้ามา4100,000 หน่วย หลังปรับลดจำนวนการก่อสร้างเหลือ281,000 หน่วย ทำให้ยังคงมีที่ดินบางส่วนเหลืออยู่ ซึ่งกคช.จะคัดเลือกที่ดินในส่วนที่เหลือจากโครงการบ้านเอื้และที่ดินเดิมของกคช.ที่มีศักยภาพมาพัฒนาโครงการรองรับความต้องการตลาดกลาง-บน ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้แก่กคช.เพื่อนำมาชำระหนี้ที่มีอยู่ให้หมดเร็วยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการลดภาระหนี้สินของ กคช. จากการซื้อที่ดินในโครงการบ้านเอื้อฯให้ลดลง พม.ได้มีนโยบายเปิดกว้างให้ กคช.ทำการศึกษาและสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยในแต่ละโครงการที่มีการลดจำนวน และยกเลิกการก่อสร้างในบางโครงการไป ว่ายังมีความต้องการเพิ่มขึ้น ลดลง หรือมีความต้องการอยู่ต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งหากในโครงการใดมีดีมานด์เพิ่มขึ้นมา ก็อาจจะเสอนขอให้มีการพัฒนาบ้านเอื้อในโครงการนั้นๆเพิ่มได้
นายสุชาติ ศิริโยธิพันธุ์ ผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ(กคช.) กล่าวว่าเพื่อหาแนวทางการแก้ปัญหาการขาดทุนจากการดำเนินงานและหนี้สะสม คณะกรรมการบริหารการเคหะฯได้มีมติอนุมัติและเซ็นสัญญาว่าจ้าง บริษัทบล.ฟินันซ่า จำกัด เป็นที่ปรึกษาด้านการลงทุนและศึกษาแนวทางการแก้หนี้แบบรอบด้านของ กคช.และการบริหารสิ้นทรัพย์จากโครงการบ้านเอื้ออาทร
โดยคาดว่าจะใช้เวลาในการศึกษา4เดือน และหลังจากนั้น กคช. จะนำผลการศึกษามาพิจารณาแนวทางการแก้ปัญหาทั้งหมดเพื่อเสนอต่อกระทรวงพัฒนาสังคม และความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)เพื่อเสอนต่อที่ประชุม ครม.ให้อนุมัติต่อไป ทั้งนี้แนวทางการแก้ปัญหาดังกล่าวในเบื้องต้นคาดว่าจะมีข้อสรุปออกมา3ด้าน คือ 1.ตั้งกองทุนอสังหาฯและขายหน่วยลงทุนเพื่อสร้างรายได้จากบ้านเอื้ออาทรที่เหลืออยู่ 2.การตั้งบริษัทลูกเพื่อเข้ามารับบริหารดูแลบ้านเอื้ออาทร ในรูปแบบบริษัทจดทะเบียน และ3.การเก็บบ้านเอื้อฯไว้กับ กคช.แต่อาจจะแยกบัญชีในการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถแยกแยะหนี้ที่เกิดจากการดำเนินงานของ กคช. และหนี้ที่เกิดจากบ้านเอื้อฯ
สำหรับหนี้ที่เกิดจากการดำเนินงานของกคช.และบ้านเอื้ออาทร ซึ่งขณะนี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น70,000ล้านบาท ซึ่งแบ่งเป็นหนี้ที่เกิดจากโครงการบ้านเอื้อฯจำนวน65,000 ล้านบาทนั้น คาดว่าจะสามารถชำระได้ทั้งหมดในปี2554 ยกเว้นในส่วนของโครงการที่กคช.ได้นำเข้าโครงการเช่าซื้อจำนวนกว่า 10,000 หน่วย
อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ ครม.มีมติอนุมัติมาตรการแก้ปัญหาบ้านเอื้ออาทร 5ข้อที่เสนอไปก่อนหน้านี้ จะช่วยส่งผลดีให้กคช.สามารถชำระหนี้คงค้างอยู่ดังกล่าวได้เร็วขึ้น เนื่องจากมาตรการที่ ครม.อนุมัติทั้งหมดจะเข้ามาช่วยสร้างความคล่องตัวในการระบายสต๊อกบ้านเอื้อฯที่มีอยู่ นอกจากการเร่งระบายสต๊อก ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบาย นายอิสสระ สัมชัย รมว. พม. แล้วในปี53 กคช.มีแผนจะดำเนินการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยเชิงธุรกิจ ตามนโยบายของ พม.
โดยก่อนหน้านั้น รมว.พม.มีนโยบายที่จะคัดเลือกที่ดินศักยภาพของกคช.ที่รับซื้อไว้ในโครงการบ้านเอื้อฯบางส่วนมาพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยรองรับความต้องการตลาดระดับกลาง-บน นอกเหนือจากดครงการเพื่อสังคมและชุมชนที่ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน โดยจะคะดที่ดินเด่นมาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม และบ้านเดี่ยวรองรับความต้องการของข้านราชการและประชาชนทั่วไป
โดยเฉพาะที่ดินในทำเลที่เดินทางสะดวก มีระบบขนส่งมวลชนและระบบรางรองรับ และอยู่ใกล้แหล่งงานซึ่งในเบื้องต้น กคช.จะนำที่ดินแปลงใหญ่ใน3ทำเล ประกอบด้วย ร่มเกล้า วัดกู้ บางปู มาพัฒนาก่อนโดยขณะนี้ทั้ง3ทำเลอยู่ระหว่างการศึกษารูปแบบการพัฒนาว่าจะพัฒนาในรูปแบบบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ หรือห้องชุด เพื่อนำเสนอต่อสภาพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจแห่งชาติ พิจารณาความคุ้มค่า เพื่อนำเสนอต่อที่ประชุม ครม.ต่อไป
นายสุชาติ กล่าวว่า อย่างไรก็ตามในเบื้องต้นนี้ กคช.คาดว่าหลังผลการศึกษาและพิจารณารูปแบบการพัฒนาแล้ว จะเริ่มเปิดพรีเซล โครงการดังกล่าวแก่ข้าราชการและประชาชนก่อนที่สนใจจองซื้อเพื่อเป้นการวัดดีมานด์ในแต่ละพื้นที่ก่อนดดยจะเริ่มเปิดพรีเซลในวันที่ 12 ก.พ.53 จำนวน5,000 หน่วย และหลังจากนั้นจะนำเรื่องเสนอต่อเที่ประชุมครม.อีกครั้งหนึ่ง
“ กคช.เปิดรับซื้อโครงการบ้านเอื้อฯแบบเทิร์นคีย์จำนวน600,000 หน่วย ซึ่งก่อนหน้านั้นกคช.รับซื้อโครงการแบบเทิร์นคียเข้ามา4100,000 หน่วย หลังปรับลดจำนวนการก่อสร้างเหลือ281,000 หน่วย ทำให้ยังคงมีที่ดินบางส่วนเหลืออยู่ ซึ่งกคช.จะคัดเลือกที่ดินในส่วนที่เหลือจากโครงการบ้านเอื้และที่ดินเดิมของกคช.ที่มีศักยภาพมาพัฒนาโครงการรองรับความต้องการตลาดกลาง-บน ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะสร้างรายได้ให้แก่กคช.เพื่อนำมาชำระหนี้ที่มีอยู่ให้หมดเร็วยิ่งขึ้น”
นอกจากนี้ เพื่อเป็นการลดภาระหนี้สินของ กคช. จากการซื้อที่ดินในโครงการบ้านเอื้อฯให้ลดลง พม.ได้มีนโยบายเปิดกว้างให้ กคช.ทำการศึกษาและสำรวจความต้องการที่อยู่อาศัยของผู้มีรายได้น้อยในแต่ละโครงการที่มีการลดจำนวน และยกเลิกการก่อสร้างในบางโครงการไป ว่ายังมีความต้องการเพิ่มขึ้น ลดลง หรือมีความต้องการอยู่ต่อเนื่องหรือไม่ ซึ่งหากในโครงการใดมีดีมานด์เพิ่มขึ้นมา ก็อาจจะเสอนขอให้มีการพัฒนาบ้านเอื้อในโครงการนั้นๆเพิ่มได้