ASTVผู้จัดการรายวัน-“พรทิวา”ไม่รู้ไม่เห็นอคส.ทำสัญญาฉาว อ้างเป็นเรื่องของผู้บริหารและบอร์ด เพราะได้ให้นโยบายการทำงานไปแล้ว แต่ยันหากพบผิดปกติพร้อมเข้าไปดูแล
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีองค์การคลังสินค้า (อคส.) ทำสัญญากับบริษัท จีจีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเช่าไซโล และเป็นตัวแทนขายข้าวให้กับอคส. จนเกิดข้อสงสัยว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนหรือไม่ ว่า เรื่องการทำธุรกิจ เป็นอำนาจการบริหารจัดการของผู้บริหารอคส. และคณะกรรมการอคส. (บอร์ด)
ซึ่งสามารถที่จะทำธุรกิจอะไรก็ได้ที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดได้ เพราะก่อนหน้านี้ ได้มอบนโยบายไปแล้วว่าอคส.ต้องดูแลตัวเอง ต้องปรับยุทธศาสตร์การทำงาน เพราะจะมาหวังแต่การเป็นตัวแทนของรัฐในโครงการรับจำนำไม่ได้ เนื่องจากไม่มีโครงการรับจำนำแล้ว
“ได้ให้นโยบายและกรอบการทำงานไปแล้ว ส่วนอคส.จะไปทำอะไร ก็เป็นเรื่องของผู้บริหารและบอร์ดของเขา โดยที่มีปัญหา ก็เห็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ และเมื่อสอบถามไปยังอคส. ได้ยืนยันว่าทำถูกต้อง และได้รายงานมาแล้วว่าทำอะไรไปบ้าง แต่ก็ได้ขอให้มีการพิจารณาให้ดี ถ้าทำอะไรไปแล้ว คนสงสัย ก็ต้องศึกษา มีข่าวออกมาอย่างนี้ก็ต้องไปดูว่าที่ทำแล้วประเทศชาติเสียประโยชน์หรือไม่”นางพรทิวากล่าว
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประมูลสัญญาเช่าไซโลและการเป็นตัวแทนขายข้าวที่อคส.ทำกับบริษัท จีจีเอฟ โดยไซโลให้เช่าระยะเวลา 30 ปี ค่าเช่า 41 บาทต่อตันต่อเดือน ค่าเช่าเป็นเงิน 14,760 ล้านบาท ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ และเข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ หรือไม่ รวมไปถึงการให้ตรวจสอบการตั้งเป็นตัวแทนขายข้าวไทย สามารถทำได้หรือไม่ เพราะบริษัทดังกล่าวส่อที่จะเป็นตัวแทนของต่างชาติ
นางพรทิวากล่าวว่า ในส่วนของการเช่าโกดัง ได้รับการยืนยันจากอคส.ว่าเป็นการเช่าโกดังในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด และในการทำสัญญาก็ได้ยึดสัญญาการเช่าโกดังและไซโลของกขช. เป็นเกณฑ์ และไม่ได้หมายความว่าจะต้องจ่ายค่าเช่าโกดังทุกเดือน แต่จะจ่ายก็ต่อเมื่อเอาข้าวเข้าไปเก็บ เก็บ 1 ตันก็จ่ายค่าเช่าแค่ 1 ตัน ไม่ได้จ่ายเหมารวม ส่วนในประเด็นการเป็นนอมินีหรือไม่ เป็นหน้าที่ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่จะเข้าไปตรวจสอบ แต่เบื้องต้นเชื่อได้ว่าบริษัทนี้เป็นคนไทย ทั้งนี้ หากพบว่าเป็นนอมินีในภายหลัง ก็จะไม่ยอมให้ดำเนินการและยกเลิกสัญญาทันที
สำหรับประเด็นการเพิ่มวัตถุประสงค์การทำธุรกิจของบริษัท จีจีเอฟ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ซึ่งดำเนินการหลังจากชนะประมูลเมื่อ 3 ส.ค. นั้น เป็นธรรมดาของการดำเนินธุรกิจที่สามารถเพิ่มวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้ และการกระทำของบริษัท เป็นไปตามที่อคส.แนะนำเพื่อให้สัญญาสมบูรณ์แบบ
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การทำสัญญาระหว่างอคส.กับบริษัท จีจีเอฟ ครั้งนี้ จะทำให้โรงสีเสียประโยชน์ในกรณีที่บริษัทเสนอค่าเช่าไซโลถูกกว่าราคาตลาดที่ปัจจุบันอัตราตันละ 44 บาทขณะที่บริษัทจีจีเอฟ เสนออัตราตันละ 41 บาท ส่วนผู้ส่งออกจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์จากการมีคู่แข่งทางธุรกิจเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทจะเป็นหน่วยงานขายข้าวให้อคส.
นางพรทิวา นาคาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยถึงกรณีองค์การคลังสินค้า (อคส.) ทำสัญญากับบริษัท จีจีเอฟ (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเช่าไซโล และเป็นตัวแทนขายข้าวให้กับอคส. จนเกิดข้อสงสัยว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนหรือไม่ ว่า เรื่องการทำธุรกิจ เป็นอำนาจการบริหารจัดการของผู้บริหารอคส. และคณะกรรมการอคส. (บอร์ด)
ซึ่งสามารถที่จะทำธุรกิจอะไรก็ได้ที่จะทำให้องค์กรอยู่รอดได้ เพราะก่อนหน้านี้ ได้มอบนโยบายไปแล้วว่าอคส.ต้องดูแลตัวเอง ต้องปรับยุทธศาสตร์การทำงาน เพราะจะมาหวังแต่การเป็นตัวแทนของรัฐในโครงการรับจำนำไม่ได้ เนื่องจากไม่มีโครงการรับจำนำแล้ว
“ได้ให้นโยบายและกรอบการทำงานไปแล้ว ส่วนอคส.จะไปทำอะไร ก็เป็นเรื่องของผู้บริหารและบอร์ดของเขา โดยที่มีปัญหา ก็เห็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ และเมื่อสอบถามไปยังอคส. ได้ยืนยันว่าทำถูกต้อง และได้รายงานมาแล้วว่าทำอะไรไปบ้าง แต่ก็ได้ขอให้มีการพิจารณาให้ดี ถ้าทำอะไรไปแล้ว คนสงสัย ก็ต้องศึกษา มีข่าวออกมาอย่างนี้ก็ต้องไปดูว่าที่ทำแล้วประเทศชาติเสียประโยชน์หรือไม่”นางพรทิวากล่าว
ก่อนหน้านี้ คณะกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) เมื่อวันที่ 19 พ.ย.ที่ผ่านมา ได้มอบหมายให้สำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการประมูลสัญญาเช่าไซโลและการเป็นตัวแทนขายข้าวที่อคส.ทำกับบริษัท จีจีเอฟ โดยไซโลให้เช่าระยะเวลา 30 ปี ค่าเช่า 41 บาทต่อตันต่อเดือน ค่าเช่าเป็นเงิน 14,760 ล้านบาท ว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ และเข้าข่ายพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ หรือไม่ รวมไปถึงการให้ตรวจสอบการตั้งเป็นตัวแทนขายข้าวไทย สามารถทำได้หรือไม่ เพราะบริษัทดังกล่าวส่อที่จะเป็นตัวแทนของต่างชาติ
นางพรทิวากล่าวว่า ในส่วนของการเช่าโกดัง ได้รับการยืนยันจากอคส.ว่าเป็นการเช่าโกดังในราคาที่ต่ำกว่าท้องตลาด และในการทำสัญญาก็ได้ยึดสัญญาการเช่าโกดังและไซโลของกขช. เป็นเกณฑ์ และไม่ได้หมายความว่าจะต้องจ่ายค่าเช่าโกดังทุกเดือน แต่จะจ่ายก็ต่อเมื่อเอาข้าวเข้าไปเก็บ เก็บ 1 ตันก็จ่ายค่าเช่าแค่ 1 ตัน ไม่ได้จ่ายเหมารวม ส่วนในประเด็นการเป็นนอมินีหรือไม่ เป็นหน้าที่ของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าที่จะเข้าไปตรวจสอบ แต่เบื้องต้นเชื่อได้ว่าบริษัทนี้เป็นคนไทย ทั้งนี้ หากพบว่าเป็นนอมินีในภายหลัง ก็จะไม่ยอมให้ดำเนินการและยกเลิกสัญญาทันที
สำหรับประเด็นการเพิ่มวัตถุประสงค์การทำธุรกิจของบริษัท จีจีเอฟ เมื่อวันที่ 9 ส.ค. ซึ่งดำเนินการหลังจากชนะประมูลเมื่อ 3 ส.ค. นั้น เป็นธรรมดาของการดำเนินธุรกิจที่สามารถเพิ่มวัตถุประสงค์ทางธุรกิจได้ และการกระทำของบริษัท เป็นไปตามที่อคส.แนะนำเพื่อให้สัญญาสมบูรณ์แบบ
แหล่งข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ กล่าวว่า การทำสัญญาระหว่างอคส.กับบริษัท จีจีเอฟ ครั้งนี้ จะทำให้โรงสีเสียประโยชน์ในกรณีที่บริษัทเสนอค่าเช่าไซโลถูกกว่าราคาตลาดที่ปัจจุบันอัตราตันละ 44 บาทขณะที่บริษัทจีจีเอฟ เสนออัตราตันละ 41 บาท ส่วนผู้ส่งออกจะเป็นฝ่ายเสียประโยชน์จากการมีคู่แข่งทางธุรกิจเพิ่มขึ้น จากการที่บริษัทจะเป็นหน่วยงานขายข้าวให้อคส.