ASTVผู้จัดการรายวัน-“เจ๊วา”พลิ้ว เอาครม.เป็นตัวประกัน เตรียมชงเกณฑ์กำหนดราคาขายข้าวในสต๊อกรัฐบาลให้พิจารณา 26 พ.ค.นี้ หากไม่เห็นด้วย ก็ต้องหาทางออกให้พาณิชย์ว่าจะทำอย่างไร แต่ตัวเองลอยตัว หลังเรียกผู้ส่งออกที่ชนะประมูลเซ็นสัญญาไปแล้ว ย้ำชัดการขายต้องมีขาดทุน เพราะคงไม่มีใครซื้อข้าวราคาตลาดทุกเม็ด ออกอาการเซ็ง ผู้ชนะประมูลข้าวโพด มันสำปะหลังยกเลิกซื้อ หลังทนรัฐเล่นเกมไม่ไหว อคส. มาแปลก เตี้ยมผู้ส่งออกข้าว ทำหนังสือแจงผลกระทบ หากครม.ล้มประมูล
นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 26 พ.ค.นี้ กระทรวงพาณิชย์ จะเสนอหลักเกณฑ์การพิจารณาราคาขายข้าว รวมทั้งสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ในสต๊อกรัฐบาล ให้ครม.พิจารณา เพราะเมื่อกระทรวงพาณิชย์เปิดประมูลสินค้าเกษตร และนำผลประมูลเสนอครม.ให้รับทราบ มักถูกท้วงติงว่า ขายขาดทุน ไม่ขายราคาตลาด ใช้อะไรเป็นเกณฑ์กำหนดราคา
ทั้งนี้ หากครม.เห็นชอบจะอนุญาตให้ผู้ชนะการประมูลข้าวทั้ง 17 ราย คิดเป็นข้าวที่อนุมัติขายประมาณ 2 ล้านตัน ขนย้ายข้าวออกจากโกดังได้ เพราะขณะนี้ทุกรายได้ทำสัญญาซื้อขายกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) แล้ว แต่หากครม. ไม่เห็นชอบ ครม.ต้องหาทางออกให้ด้วยว่าจะมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร
ส่วนกรณีที่มีข้อครหาถึงการขายข้าวขาดทุน และเร่งรีบทำสัญญานั้น นางพรทิวา กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ทำมีวิธีการที่ชัดเจน อธิบายได้ โดยให้ผู้เสนอซื้อเสนอราคาแข่งกันเป็นรายโกดัง ใครสู้ราคาไม่ได้ก็ไม่ได้ซื้อ และผู้ชนะต้องซื้อทั้งข้าวดี และข้าวเสื่อมในโกดังเดียวกัน ส่วนสาเหตุที่ไม่ขายราคาตลาด เพราะหากรัฐขายเท่าราคาตลาดผู้ซื้อก็จะไปซื้อในตลาด เพราะจะได้ข้าวใหม่ คุณภาพดี วิธีการซื้อไม่ยุ่งยากเหมือนซื้อข้าวรัฐ แต่กระทรวงพาณิชย์ ก็พยายามขายให้ได้ราคาดีที่สุด และที่ต้องเร่งรีบทำสัญญา เพราะหากมีการล้มประมูล อาจมองได้ว่า ตนเอื้อประโยชน์บริษัท วุฒิกวี ซึ่งมี พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ เป็นที่ปรึกษา ซึ่งหากประมูลครั้งใหม่ บริษัท ก็อาจเข้าร่วมประมูลได้หากไปแก้ไขคุณสมบัติให้ถูกต้อง แต่ครั้งนี้ คุณสมบัติไม่ผ่าน เพราะติดบัญชีดำกับ อคส.
“เคยได้เรียนท่านนายกรัฐมนตรีคร่าวๆ แล้วว่า การอนุมัติขายข้าวในครั้งนี้ มีราคาสูงกว่าตันละ 14,000 บาท ใครเสนอต่ำ และไม่ยอมขึ้นราคาให้สูงกว่านี้ เราไม่ขาย แต่ที่ขายได้ต่ำกว่าราคาตลาดที่อยู่ที่ 16,000-17,000 บาท เพราะเป็นการขายยกคลัง ซึ่งในคลังอาจจะมีข้าวดี ไม่ดี ปนกัน แต่คนซื้อต้องซื้อราคาเดียว เท่ากับว่าต้องรับผิดชอบข้าวที่ซื้อไปทั้งหมด แต่ก็ถือว่ายอมรับได้" นางพรทิวากล่าว
นางพรทิวากล่าวอีกว่า ขณะนี้ ผู้ชนะการประมูลข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในสต๊อกรัฐบาลจำนวน 450,000 ตัน ทั้ง 3 ราย ได้ทำหนังสือขอยกเลิกการซื้อ และขอหนังสือค้ำประกันคืนภายใน 7 วัน เพราะราคาตลาดลดต่ำกว่าราคาที่ซื้อจากรัฐบาล และผู้ชนะการประมูลยังได้ให้เหตุผลอีกว่า หากยืนยันที่จะซื้อก็จะประสบปัญหาการขาดทุนมาก
นอกจากนี้ ผู้ชนะการประมูลซื้อมันเส้นในสต๊อกรัฐบาล 2.2 ล้านตัน และแป้งมัน 490,000 ตัน ซึ่งผลการพิจารณามีเพียง 1 ราย ที่ผ่านคุณสมบัติ ก็ขอยกเลิกการซื้อเช่นเดียวกัน เพราะไม่สามารถทำตามเงื่อนไขการขนย้ายที่กำหนดได้
"เรากลัวว่า ผู้ชนะการประมูลซื้อมันของรัฐจะเอาสินค้ามาเวียนขายในประเทศ เลยกำหนดระยะเวลาการขนย้ายสินค้าออกจากโกดังให้เร็วขึ้นเป็น 90 วัน จากเดิมที่ผู้ชนะประมูลจะขอยืดออกไปเป็น 5 เดือน แต่ตอนนี้ ผู้ชนะประมูลขอยกเลิกการซื้อแล้ว เพราะทำตามเงื่อนไขใหม่ไม่ได้" นางพรทิวากล่าว
ทั้งนี้ คงต้องเปิดประมูลใหม่ แต่ให้ซื้อเฉพาะผู้ซื้อที่จดทะเบียนในต่างประเทศเท่านั้น เพื่อให้ขายสินค้าไปต่างประเทศ เพราะหากไม่รีบระบายออก สินค้าจะเสื่อมคุณภาพลง และขายได้ราคาต่ำ ประกอบกับ ผลผลิตฤดูกาลใหม่กำลังจะออกในเร็วๆนี้ การมีสต๊อกมากจะฉุดราคาในประเทศให้ลดลงได้ ส่วนการการยกเลิกซื้อครั้งนี้
ทำให้รัฐบาลได้เงินจากการขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังช้าลง และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา ค่าเช่าโกดัง ค่ารักษาคุณภาพอีก
เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้เปิดซองเสนอราคาซื้อมันเส้น ปี 51/52 ปริมาณ 2.2 ล้านตัน และแป้งมัน 490,000 ตัน ซึ่งเปิดให้เฉพาะผู้ซื้อที่จดทะเบียนในต่างประเทศ แต่มีผู้เสนอราคา 17 ราย หลังจากพิจารณาคุณสมบัติแล้ว ผ่านเกณฑ์เพียง 1 ราย จึงเป็นผู้ชนะการประมูล แต่ก็ยกเลิกการซื้อในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 21 พ.ค. อคส. ยังได้เชิญผู้ส่งออกที่ชนะการประมูลข้าวทั้งหมด มาชี้แจงสถานการณ์ โดยอคส. แจ้งว่า ผลการประมูลข้าว มีโอกาสที่จะถูกครม. ยกเลิก ดังนั้นขอให้ผู้ส่งออกที่ทำสัญญาแล้ว ไปทำหนังสือร้องเรียนถึงผลกระทบกรณีที่อาจจะยกเลิกการประมูล เพื่อมาส่งให้ อคส. วันที่ 25 พ.ค. ก่อนการประชุมครม. และขอประนีประนอมอย่าฟ้องค่าเสียหายจากอคส.
รายงานข่าวแจ้งว่า การที่กระทรวงพาณิชย์ทำการเซ็นสัญญาซื้อขายข้าวไปก่อนแล้ว และนำเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคาขายให้ครม.พิจารณาในภายหลัง เท่ากับว่า หากครม.ไม่เห็นชอบ และส่งผลให้ต้องมีการต้องยกเลิกการประมูลข้าวในที่สุด กระทรวงพาณิชย์จะไม่เป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบ แต่ครม.จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแทน โดยผู้ส่งออกอาจะดำเนินการฟ้องร้องได้ เนื่องจากมีการเซ็นสัญญาไปแล้วอย่างถูกต้อง ถือเป็นการแก้เกมของปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี และไม่ส่งผลกระทบต่อค่าใต้โต๊ะที่ได้มีการเจรจากันไปแล้ว
แต่ทั้งนี้ ในส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการที่ ครม. ได้ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับการระบายสินค้าเกษตรของกระทรวงพาณิชย์ ก็คือ การขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่การดึงเรื่องเอาไว้ ทำให้ผู้ที่ชนะการประมูลขอยกเลิกสัญญาการซื้อขาย เพราะราคาปัจจุบันได้ลดต่ำลงมาอีก หากยังขืนซื้อ ก็จะประสบปัญหาการขาดทุน และคงไม่มีเงินพอที่จะไปจ่ายเป็นค่าใต้โต๊ะ
นางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยว่า ในการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 26 พ.ค.นี้ กระทรวงพาณิชย์ จะเสนอหลักเกณฑ์การพิจารณาราคาขายข้าว รวมทั้งสินค้าเกษตรอื่นๆ เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ และมันสำปะหลัง ในสต๊อกรัฐบาล ให้ครม.พิจารณา เพราะเมื่อกระทรวงพาณิชย์เปิดประมูลสินค้าเกษตร และนำผลประมูลเสนอครม.ให้รับทราบ มักถูกท้วงติงว่า ขายขาดทุน ไม่ขายราคาตลาด ใช้อะไรเป็นเกณฑ์กำหนดราคา
ทั้งนี้ หากครม.เห็นชอบจะอนุญาตให้ผู้ชนะการประมูลข้าวทั้ง 17 ราย คิดเป็นข้าวที่อนุมัติขายประมาณ 2 ล้านตัน ขนย้ายข้าวออกจากโกดังได้ เพราะขณะนี้ทุกรายได้ทำสัญญาซื้อขายกับองค์การคลังสินค้า (อคส.) แล้ว แต่หากครม. ไม่เห็นชอบ ครม.ต้องหาทางออกให้ด้วยว่าจะมีแนวทางในการดำเนินการอย่างไร
ส่วนกรณีที่มีข้อครหาถึงการขายข้าวขาดทุน และเร่งรีบทำสัญญานั้น นางพรทิวา กล่าวว่า สิ่งที่กระทรวงพาณิชย์ทำมีวิธีการที่ชัดเจน อธิบายได้ โดยให้ผู้เสนอซื้อเสนอราคาแข่งกันเป็นรายโกดัง ใครสู้ราคาไม่ได้ก็ไม่ได้ซื้อ และผู้ชนะต้องซื้อทั้งข้าวดี และข้าวเสื่อมในโกดังเดียวกัน ส่วนสาเหตุที่ไม่ขายราคาตลาด เพราะหากรัฐขายเท่าราคาตลาดผู้ซื้อก็จะไปซื้อในตลาด เพราะจะได้ข้าวใหม่ คุณภาพดี วิธีการซื้อไม่ยุ่งยากเหมือนซื้อข้าวรัฐ แต่กระทรวงพาณิชย์ ก็พยายามขายให้ได้ราคาดีที่สุด และที่ต้องเร่งรีบทำสัญญา เพราะหากมีการล้มประมูล อาจมองได้ว่า ตนเอื้อประโยชน์บริษัท วุฒิกวี ซึ่งมี พ.ต.ท.บรรยิน ตั้งภากรณ์ อดีต รมช.พาณิชย์ เป็นที่ปรึกษา ซึ่งหากประมูลครั้งใหม่ บริษัท ก็อาจเข้าร่วมประมูลได้หากไปแก้ไขคุณสมบัติให้ถูกต้อง แต่ครั้งนี้ คุณสมบัติไม่ผ่าน เพราะติดบัญชีดำกับ อคส.
“เคยได้เรียนท่านนายกรัฐมนตรีคร่าวๆ แล้วว่า การอนุมัติขายข้าวในครั้งนี้ มีราคาสูงกว่าตันละ 14,000 บาท ใครเสนอต่ำ และไม่ยอมขึ้นราคาให้สูงกว่านี้ เราไม่ขาย แต่ที่ขายได้ต่ำกว่าราคาตลาดที่อยู่ที่ 16,000-17,000 บาท เพราะเป็นการขายยกคลัง ซึ่งในคลังอาจจะมีข้าวดี ไม่ดี ปนกัน แต่คนซื้อต้องซื้อราคาเดียว เท่ากับว่าต้องรับผิดชอบข้าวที่ซื้อไปทั้งหมด แต่ก็ถือว่ายอมรับได้" นางพรทิวากล่าว
นางพรทิวากล่าวอีกว่า ขณะนี้ ผู้ชนะการประมูลข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ในสต๊อกรัฐบาลจำนวน 450,000 ตัน ทั้ง 3 ราย ได้ทำหนังสือขอยกเลิกการซื้อ และขอหนังสือค้ำประกันคืนภายใน 7 วัน เพราะราคาตลาดลดต่ำกว่าราคาที่ซื้อจากรัฐบาล และผู้ชนะการประมูลยังได้ให้เหตุผลอีกว่า หากยืนยันที่จะซื้อก็จะประสบปัญหาการขาดทุนมาก
นอกจากนี้ ผู้ชนะการประมูลซื้อมันเส้นในสต๊อกรัฐบาล 2.2 ล้านตัน และแป้งมัน 490,000 ตัน ซึ่งผลการพิจารณามีเพียง 1 ราย ที่ผ่านคุณสมบัติ ก็ขอยกเลิกการซื้อเช่นเดียวกัน เพราะไม่สามารถทำตามเงื่อนไขการขนย้ายที่กำหนดได้
"เรากลัวว่า ผู้ชนะการประมูลซื้อมันของรัฐจะเอาสินค้ามาเวียนขายในประเทศ เลยกำหนดระยะเวลาการขนย้ายสินค้าออกจากโกดังให้เร็วขึ้นเป็น 90 วัน จากเดิมที่ผู้ชนะประมูลจะขอยืดออกไปเป็น 5 เดือน แต่ตอนนี้ ผู้ชนะประมูลขอยกเลิกการซื้อแล้ว เพราะทำตามเงื่อนไขใหม่ไม่ได้" นางพรทิวากล่าว
ทั้งนี้ คงต้องเปิดประมูลใหม่ แต่ให้ซื้อเฉพาะผู้ซื้อที่จดทะเบียนในต่างประเทศเท่านั้น เพื่อให้ขายสินค้าไปต่างประเทศ เพราะหากไม่รีบระบายออก สินค้าจะเสื่อมคุณภาพลง และขายได้ราคาต่ำ ประกอบกับ ผลผลิตฤดูกาลใหม่กำลังจะออกในเร็วๆนี้ การมีสต๊อกมากจะฉุดราคาในประเทศให้ลดลงได้ ส่วนการการยกเลิกซื้อครั้งนี้
ทำให้รัฐบาลได้เงินจากการขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังช้าลง และยังต้องเสียค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา ค่าเช่าโกดัง ค่ารักษาคุณภาพอีก
เมื่อวันที่ 12 พ.ค.ที่ผ่านมา องค์การคลังสินค้า (อคส.) ได้เปิดซองเสนอราคาซื้อมันเส้น ปี 51/52 ปริมาณ 2.2 ล้านตัน และแป้งมัน 490,000 ตัน ซึ่งเปิดให้เฉพาะผู้ซื้อที่จดทะเบียนในต่างประเทศ แต่มีผู้เสนอราคา 17 ราย หลังจากพิจารณาคุณสมบัติแล้ว ผ่านเกณฑ์เพียง 1 ราย จึงเป็นผู้ชนะการประมูล แต่ก็ยกเลิกการซื้อในที่สุด
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 21 พ.ค. อคส. ยังได้เชิญผู้ส่งออกที่ชนะการประมูลข้าวทั้งหมด มาชี้แจงสถานการณ์ โดยอคส. แจ้งว่า ผลการประมูลข้าว มีโอกาสที่จะถูกครม. ยกเลิก ดังนั้นขอให้ผู้ส่งออกที่ทำสัญญาแล้ว ไปทำหนังสือร้องเรียนถึงผลกระทบกรณีที่อาจจะยกเลิกการประมูล เพื่อมาส่งให้ อคส. วันที่ 25 พ.ค. ก่อนการประชุมครม. และขอประนีประนอมอย่าฟ้องค่าเสียหายจากอคส.
รายงานข่าวแจ้งว่า การที่กระทรวงพาณิชย์ทำการเซ็นสัญญาซื้อขายข้าวไปก่อนแล้ว และนำเสนอหลักเกณฑ์การกำหนดราคาขายให้ครม.พิจารณาในภายหลัง เท่ากับว่า หากครม.ไม่เห็นชอบ และส่งผลให้ต้องมีการต้องยกเลิกการประมูลข้าวในที่สุด กระทรวงพาณิชย์จะไม่เป็นฝ่ายที่ต้องรับผิดชอบ แต่ครม.จะต้องเป็นผู้รับผิดชอบแทน โดยผู้ส่งออกอาจะดำเนินการฟ้องร้องได้ เนื่องจากมีการเซ็นสัญญาไปแล้วอย่างถูกต้อง ถือเป็นการแก้เกมของปัญหาที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี และไม่ส่งผลกระทบต่อค่าใต้โต๊ะที่ได้มีการเจรจากันไปแล้ว
แต่ทั้งนี้ ในส่วนที่ได้รับผลกระทบจากการที่ ครม. ได้ยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องกับการระบายสินค้าเกษตรของกระทรวงพาณิชย์ ก็คือ การขายข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ที่การดึงเรื่องเอาไว้ ทำให้ผู้ที่ชนะการประมูลขอยกเลิกสัญญาการซื้อขาย เพราะราคาปัจจุบันได้ลดต่ำลงมาอีก หากยังขืนซื้อ ก็จะประสบปัญหาการขาดทุน และคงไม่มีเงินพอที่จะไปจ่ายเป็นค่าใต้โต๊ะ