เป็นข่าวฉาวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาสำหรับ“คนดี ? มีแต่เสื่อม” อย่าง“ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์” ทำเอาเจ้าตัวถึงกับต้องออกมาชี้แจงปากคอสั่น
เกี่ยวกับปริศนาการเข้ารับราชการตำรวจของบุตรชายคนโต “แทน” ธรรมาธิปต์ เปี่ยมสมบูรณ์ ในตำแหน่ง รอง สว.งาน 2 กก.4 พฐ. โดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ สมัยเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. เพื่อนสนิทของ“ร.ต.อ.ปุระชัย” ชงเรื่องส่งให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. ลงนามอนุมัติให้
ยกเว้นการขาดคุณสมบัติกรณีไม่ผ่านการตรวจร่างกายจาก คณะกรรมการแพทย์ รพ.พต. เนื่องจากสายตาผิดปกติ ในการตรวจแบบเสนลเลน (ปกติ 6/6) แถมยังได้รับการบรรจุโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน เพราะมีผู้สมัครเข้ารับตำแหน่งเฉพาะที่เปิดนี้เพียงรายเดียว
คือ ธรรมาธิปต์ ! หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญ จัดเจนด้านฟิสิกส์ กระทั่งต้องเปิดตำแหน่งรองรับ และยกเว้นการขาดคุณสมบัติให้เป็นการเฉพาะ
เหตุผลที่มีการหยิบยกมาอ้างเพื่อเปิดตำแหน่งนี้ให้ บุตรชายของ ร.ต.อ.ปุระชัย คือ ปัจจุบัน งาน 2 กก.4 พฐ. มีหน้าที่ในการตรวจพิสูจน์พยาน หลักฐาน และของกลางในคดีต่าง ๆ โดยใช้หลักทางฟิสิกส์ ได้แก่ การตรวจพิสูจน์ของกลางในคดีเพลิงไหม้ การตรวจพิสูจน์การดัดแปลงแก้ไขมิเตอร์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ทางอิเลกโทรนิกส์ การตรวจพิสูจน์เสียงมนุษย์และคลื่นเสียง การตรวจพิสูจน์แถบบันทึกภาพและเสียง การตรวจพิสูจน์ด้วยเครื่องจับเท็จ ฯลฯ
ลองมาดูกันหน่อยว่า ธรรมาธิปต์ ซึ่งจบการศึกษาจากประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยวุฒิ Bachelor of Science จาก University of Canterbury มีความเชี่ยวชาญตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการจริงหรือไม่?
จากการให้สัมภาษณ์ของ “ธรรมาธิปต์” เองในขณะเรียนอยู่สถาบันดังกล่าวในชั้นปีที่สาม (ปี 2545) กับนิตยสารฉบับหนึ่ง ระบุชัดเจนว่า แม้จะเรียนสาขาฟิสิกส์แต่ความสนใจที่แท้จริงคือ คอมพิวเตอร์
“ส่วนแผนในระยะยาวนั้น “แทน”มีโครงการจะเรียนต่อในระดับปริญญาโทและเอกด้านคอมพิวเตอร์ และหากมีโอกาสก็จะทำงานหาประสบการณ์ในต่างประเทศสักระยะหนึ่งก่อนจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างถาวรในประเทศไทย”
ข้อความดังกล่าวมีความชัดเจนว่า “ธรรมาธิปต์” ไม่มีความฝันอยากเป็นตำรวจ เหมือนที่บิดากล่าวอ้าง แถมไม่ได้วางแผนชีวิตการทำงานระยะแรกหลังจบการศึกษาที่เมืองไทยด้วยซ้ำไป
ที่สำคัญเมื่อเขาได้รับสิทธิพิเศษบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจยศ ร.ต.ต. เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2548 ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่ ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ซึ่งขณะนั้นเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ สบ.1 กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ แต่อยู่ในตำแหน่งนี้เพียงปีเศษ “ธรรมาธิปต์” ก็ทำเรื่องขอศึกษาต่อ ด้านคอมพิวเตอร์ ที่ AIP THAILAND ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 49 – 6 ส.ค. 50 และทำเรื่องขอศึกษาต่อเนื่องอีกครั้งลงวันที่ 7 ส.ค. 50 – 6 ส.ค. 51
และเมื่อจบการศึกษากลับมา แทนที่ บุตรชายของ “ร.ต.อ.ปุระชัย” จะทำหน้าที่ในตำแหน่งเฉพาะที่ยกเว้นคุณสมบัติให้เป็นกรณีพิเศษ แถมไม่ต้องสอบคัดเลือกแข่งกับคนอื่น เขากลับย้ายจากตำแหน่งเดิมคือ นักวิทยาศาสตร์ สบ.1 กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ ไปเป็น นักวิทยาศาสตร์ สบ.1 กลุ่มแฟ้มอาชญากรรมคอมพิวเตอร์แทน ซึ่งไม่ใช่อัตราที่มีการขอเปิดเป็นกรณีพิเศษเพราะขาดแคลนบุคลากรแต่อย่างใด แถมในทางพฤตินัยก็ไม่ได้ทำหน้าที่นี้
แต่ไปเสนอตัวอยู่หน้าห้อง “พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิช” ผู้ช่วย ผบ.ตร. เพื่อนสนิทอีกคนของพ่อตัวเอง โดยไม่มีหนังสือขอตัวไปช่วยราชการแต่อย่างใดทั้งสิ้น
แย่ไปกว่านั้นคือ ตามเอกสารที่บรรจุ “ธรรมาธิปต์” นั้น มีเงื่อนไข ให้ต้องปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 ปี จึงจะมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งอื่น
คำถามคือ “ธรรมาธิปต์” ปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งของตัวเองจริง ๆ เพียงปีเศษ นอกนั้นใช้เวลาราชการไปเรียนหนังสือเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเอง แถมไม่ใช่วิชาฟิสิกส์เพื่อมาเสริมงานที่ตัวเองทำอยู่เสียด้วย
เป็นพฤติกรรมที่ต้องบอกว่า นอกจากเอาเปรียบลูกชายคนอื่นเข้าเป็นตำรวจแล้ว ยังปฏิบัติตัวผิดเงื่อนไขการบรรจุเข้าเป็นตำรวจในตำแหน่งพิเศษนี้ด้วย เพราะยังทำหน้าที่ไม่ครบ 6 ปี ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ก็ย้ายไปอยู่ในตำแหน่งอื่น
เรื่องมันฟ้องอย่างนี้ “คนดี? มีแต่เสื่อม” จะดันทุรังเป็นคนดีกับสังคมต่อไปอย่างไร อุตส่าห์ตั้งชื่อลูกชายเสียความหมายดีเลิศว่า “ธรรมะเป็นใหญ่” แต่วันนี้มันชัดเสียยิ่งกว่าชัดว่า “ลูกกูเป็นใหญ่”
คำพูดที่เคยพ่นให้ตัวเองดูดีว่า “ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เรามี ไม่มีค่าเท่ากับศรัทธาที่ประชาชนมอบให้เรา” เป็นแค่บทละครท่องจำสร้างภาพให้ดูงดงามเท่านั้น
ไส้กี่ขด ๆ ที่เคยซ่อนไว้โผล่ออกมาส่งกลิ่นให้สังคมได้สัมผัสแล้ว เลิกเชิดหน้า ชูคอ ประกาศตัวเป็นคนดีของสังคมเสียที เพราะ “ร.ต.อ.ปุระชัย” เป็นแค่ “คนที่คิดว่าดี มีแต่รอวันเสื่อม” เท่านั้น
เกี่ยวกับปริศนาการเข้ารับราชการตำรวจของบุตรชายคนโต “แทน” ธรรมาธิปต์ เปี่ยมสมบูรณ์ ในตำแหน่ง รอง สว.งาน 2 กก.4 พฐ. โดย พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ สมัยเป็นผู้ช่วย ผบ.ตร. เพื่อนสนิทของ“ร.ต.อ.ปุระชัย” ชงเรื่องส่งให้ พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ ผบ.ตร. ลงนามอนุมัติให้
ยกเว้นการขาดคุณสมบัติกรณีไม่ผ่านการตรวจร่างกายจาก คณะกรรมการแพทย์ รพ.พต. เนื่องจากสายตาผิดปกติ ในการตรวจแบบเสนลเลน (ปกติ 6/6) แถมยังได้รับการบรรจุโดยไม่ต้องสอบแข่งขัน เพราะมีผู้สมัครเข้ารับตำแหน่งเฉพาะที่เปิดนี้เพียงรายเดียว
คือ ธรรมาธิปต์ ! หนึ่งเดียวในประเทศไทยที่มีความเชี่ยวชาญ จัดเจนด้านฟิสิกส์ กระทั่งต้องเปิดตำแหน่งรองรับ และยกเว้นการขาดคุณสมบัติให้เป็นการเฉพาะ
เหตุผลที่มีการหยิบยกมาอ้างเพื่อเปิดตำแหน่งนี้ให้ บุตรชายของ ร.ต.อ.ปุระชัย คือ ปัจจุบัน งาน 2 กก.4 พฐ. มีหน้าที่ในการตรวจพิสูจน์พยาน หลักฐาน และของกลางในคดีต่าง ๆ โดยใช้หลักทางฟิสิกส์ ได้แก่ การตรวจพิสูจน์ของกลางในคดีเพลิงไหม้ การตรวจพิสูจน์การดัดแปลงแก้ไขมิเตอร์ไฟฟ้าและอุปกรณ์ทางอิเลกโทรนิกส์ การตรวจพิสูจน์เสียงมนุษย์และคลื่นเสียง การตรวจพิสูจน์แถบบันทึกภาพและเสียง การตรวจพิสูจน์ด้วยเครื่องจับเท็จ ฯลฯ
ลองมาดูกันหน่อยว่า ธรรมาธิปต์ ซึ่งจบการศึกษาจากประเทศนิวซีแลนด์ ด้วยวุฒิ Bachelor of Science จาก University of Canterbury มีความเชี่ยวชาญตามที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติต้องการจริงหรือไม่?
จากการให้สัมภาษณ์ของ “ธรรมาธิปต์” เองในขณะเรียนอยู่สถาบันดังกล่าวในชั้นปีที่สาม (ปี 2545) กับนิตยสารฉบับหนึ่ง ระบุชัดเจนว่า แม้จะเรียนสาขาฟิสิกส์แต่ความสนใจที่แท้จริงคือ คอมพิวเตอร์
“ส่วนแผนในระยะยาวนั้น “แทน”มีโครงการจะเรียนต่อในระดับปริญญาโทและเอกด้านคอมพิวเตอร์ และหากมีโอกาสก็จะทำงานหาประสบการณ์ในต่างประเทศสักระยะหนึ่งก่อนจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างถาวรในประเทศไทย”
ข้อความดังกล่าวมีความชัดเจนว่า “ธรรมาธิปต์” ไม่มีความฝันอยากเป็นตำรวจ เหมือนที่บิดากล่าวอ้าง แถมไม่ได้วางแผนชีวิตการทำงานระยะแรกหลังจบการศึกษาที่เมืองไทยด้วยซ้ำไป
ที่สำคัญเมื่อเขาได้รับสิทธิพิเศษบรรจุเป็นข้าราชการตำรวจยศ ร.ต.ต. เมื่อวันที่ 22 เมษายน 2548 ก็ถือว่าเป็นบุคคลที่ ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ ซึ่งขณะนั้นเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ สบ.1 กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ แต่อยู่ในตำแหน่งนี้เพียงปีเศษ “ธรรมาธิปต์” ก็ทำเรื่องขอศึกษาต่อ ด้านคอมพิวเตอร์ ที่ AIP THAILAND ตั้งแต่วันที่ 7 ส.ค. 49 – 6 ส.ค. 50 และทำเรื่องขอศึกษาต่อเนื่องอีกครั้งลงวันที่ 7 ส.ค. 50 – 6 ส.ค. 51
และเมื่อจบการศึกษากลับมา แทนที่ บุตรชายของ “ร.ต.อ.ปุระชัย” จะทำหน้าที่ในตำแหน่งเฉพาะที่ยกเว้นคุณสมบัติให้เป็นกรณีพิเศษ แถมไม่ต้องสอบคัดเลือกแข่งกับคนอื่น เขากลับย้ายจากตำแหน่งเดิมคือ นักวิทยาศาสตร์ สบ.1 กลุ่มงานตรวจทางเคมีฟิสิกส์ ไปเป็น นักวิทยาศาสตร์ สบ.1 กลุ่มแฟ้มอาชญากรรมคอมพิวเตอร์แทน ซึ่งไม่ใช่อัตราที่มีการขอเปิดเป็นกรณีพิเศษเพราะขาดแคลนบุคลากรแต่อย่างใด แถมในทางพฤตินัยก็ไม่ได้ทำหน้าที่นี้
แต่ไปเสนอตัวอยู่หน้าห้อง “พล.ต.ท.บุญเรือง ผลพานิช” ผู้ช่วย ผบ.ตร. เพื่อนสนิทอีกคนของพ่อตัวเอง โดยไม่มีหนังสือขอตัวไปช่วยราชการแต่อย่างใดทั้งสิ้น
แย่ไปกว่านั้นคือ ตามเอกสารที่บรรจุ “ธรรมาธิปต์” นั้น มีเงื่อนไข ให้ต้องปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งที่ได้รับการแต่งตั้งเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 6 ปี จึงจะมีสิทธิ์ได้รับการพิจารณาแต่งตั้งไปดำรงตำแหน่งอื่น
คำถามคือ “ธรรมาธิปต์” ปฏิบัติหน้าที่ตามตำแหน่งของตัวเองจริง ๆ เพียงปีเศษ นอกนั้นใช้เวลาราชการไปเรียนหนังสือเพิ่มพูนความรู้ให้กับตัวเอง แถมไม่ใช่วิชาฟิสิกส์เพื่อมาเสริมงานที่ตัวเองทำอยู่เสียด้วย
เป็นพฤติกรรมที่ต้องบอกว่า นอกจากเอาเปรียบลูกชายคนอื่นเข้าเป็นตำรวจแล้ว ยังปฏิบัติตัวผิดเงื่อนไขการบรรจุเข้าเป็นตำรวจในตำแหน่งพิเศษนี้ด้วย เพราะยังทำหน้าที่ไม่ครบ 6 ปี ตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ ก็ย้ายไปอยู่ในตำแหน่งอื่น
เรื่องมันฟ้องอย่างนี้ “คนดี? มีแต่เสื่อม” จะดันทุรังเป็นคนดีกับสังคมต่อไปอย่างไร อุตส่าห์ตั้งชื่อลูกชายเสียความหมายดีเลิศว่า “ธรรมะเป็นใหญ่” แต่วันนี้มันชัดเสียยิ่งกว่าชัดว่า “ลูกกูเป็นใหญ่”
คำพูดที่เคยพ่นให้ตัวเองดูดีว่า “ ทรัพย์สมบัติทั้งหลายที่เรามี ไม่มีค่าเท่ากับศรัทธาที่ประชาชนมอบให้เรา” เป็นแค่บทละครท่องจำสร้างภาพให้ดูงดงามเท่านั้น
ไส้กี่ขด ๆ ที่เคยซ่อนไว้โผล่ออกมาส่งกลิ่นให้สังคมได้สัมผัสแล้ว เลิกเชิดหน้า ชูคอ ประกาศตัวเป็นคนดีของสังคมเสียที เพราะ “ร.ต.อ.ปุระชัย” เป็นแค่ “คนที่คิดว่าดี มีแต่รอวันเสื่อม” เท่านั้น