1.ปัญหาในภาพเล็ก
ที่ภาควิชาที่ผมทำงานอยู่คือ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กำลังคิดทำโครงการที่จะพัฒนานักศึกษานอกเหนือจากรายวิชาและกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ทำกันอยู่ตามปกติแล้ว โครงการยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีนัก แต่ชื่อโครงการก็ค่อนข้างจะเห็นตรงกันคือ “โครงการรักเจ้าจึงปลูก” ที่มาจากเนื้อเพลง “อิ่มอุ่น” ของ ศุ บุญเลี้ยง
ภาควิชามีหลักสูตรระดับปริญญาตรีอยู่ 2 หลักสูตร คือ คณิตศาสตร์และสถิติ แต่ละหลักสูตรจะรับนักศึกษาปีละประมาณ 50 คน โดยรับมาจากนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของคณะเกือบทั้งหมด วิธีการคัดเลือกก็ใช้ผลการเรียนหรือเกรดของนักศึกษาเป็นสำคัญ ผู้ที่ได้เกรดสูงๆ ก็ได้ภาควิชาที่ตนชอบไปก่อน ส่วนผู้ที่ได้เกรดต่ำๆ แต่สูงกว่าเกณฑ์ที่จะถูกรีไทร์ ก็จะถูกส่งไปยังภาควิชาที่มีที่ว่างไม่ว่านักศึกษาคนนั้นจะมีความถนัดหรือไม่ก็ตาม
จะกล่าวโทษเกณฑ์การคัดเลือกดังกล่าวก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะความจริงแล้วนักศึกษาที่ได้เกรดต่ำๆ โดยมาก (อาจมียกเว้นบ้าง) ก็มักจะไม่มีความถนัดที่จะเรียนสาขาคณิตศาสตร์และสถิติอยู่แล้ว
จากข้อมูลพบว่า ในปีการศึกษา 2550 นักศึกษาที่เข้ามาเรียนสาขาสถิติได้เกรดต่ำกว่า 2.00 ถึงร้อยละ 27 และตัวเลขดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 47 ในปีถัดมา
คณาจารย์หลายท่านก็ได้แนะนำให้นักศึกษาที่ได้เกรดต่ำมากๆ ลาออกไปสอบใหม่เพื่อเลือกเรียนในสาขาที่ตนเองถนัด แต่ความหวังดีดังกล่าวของอาจารย์ก็ไม่เป็นผล พวกเขาก็ยังตื๊อเรียนต่อไป ส่งผลให้นักศึกษาสาขาสถิติชั้นปีที่ 3 ปีนี้เหลืออยู่เพียง 15 คนจากที่รับมาทั้งหมด 50 คน
2.ปัญหาในภาพรวมของประเทศ
เรื่องคุณภาพที่ตกต่ำของนักเรียน นักศึกษาไทย (หรืออาจจะอีกหลายประเทศ) ในปัจจุบันเป็นที่รับรู้กันทั่วไป โดยเฉพาะในหมู่อาจารย์ทุกสถาบัน ไม่ใช่แต่ในภาควิชาที่ผมทำงานอยู่เท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครคิดจะแก้ไขให้เป็นระบบหรือ “คิดใหญ่” คิดจริงจัง คิดให้เป็นนโยบายสาธารณะหรือ “วาระแห่งชาติ”
ยิ่งในหมู่นักการเมืองด้วยแล้ว เราจะไม่เคยได้ยินเรื่องที่ผมจะนำมาเล่าต่อไปนี้จากปากของพวกเขาเลย แต่เขายอมทุ่มเงินนับหลายหมื่นหลายแสนล้านบาทไปกับโครงการถนนปลอดฝุ่น และ ท่อน้ำชลประทาน เป็นต้น
จากรายงานการวิจัยที่ชื่อยาวๆ ว่า “สภาวะการศึกษาไทย ปี 2550/2551 ปัญหาความเสมอภาคและคุณภาพของการศึกษาไทย” ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี รศ.วิทยากร เชียงกูล เป็นหัวหน้า พบว่า การสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือ National Test ระดับ ป.6 และ ม.3 ประจำปีการศึกษา 2549 นั้น คะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งทุกวิชา จากผู้เข้าสอบโดยการสุ่มจากทุกโรงเรียนทั่วประเทศ วิชาละกว่า 4 แสนคน
เด็ก ป.6 ได้คะแนนเฉลี่ยในวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษที่ 15.5 และ 13.8 จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน
เด็ก ม.3 จากผู้เข้าสอบเกือบ 2 แสนคน มีคะแนนเฉลี่ยในวิชาคณิตศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่ 12.5 และ 12.3 จากคะแนนเต็ม 40 คะแนนเช่นกัน
สำหรับเด็ก ม.ปลาย ผลการสอบวัดความรู้พื้นฐานหรือ O-Net ในปีการศึกษา 2549 พบว่า มีเพียงวิชาภาษาไทยเท่านั้นที่ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 50.3 ที่เหลือไม่ถึงครึ่งทุกวิชา โดยมีวิชาคณิตศาสตร์ต่ำสุด คือร้อยละ 29.6
เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ โดยองค์กรที่ชื่อว่า International Institute for Management Development ในเรื่องปัจจัยพื้นฐาน (ที่รวมการศึกษาและวิทยาศาสตร์) พบว่าความสามารถของประเทศไทยอยู่ในอันดับเกือบรั้งท้ายและตกต่ำลงมาเรื่อย คือ จากอันดับที่ 39 ในปี 2548 มาเป็นอันดับที่ 48 ในปี 2550 จากทั้งหมด 55 ประเทศ (รายงานไม่ได้บอกว่ามีประเทศใดบ้าง)
ท่านผู้อ่านเห็นด้วยกับผมไหมครับว่า เราไม่เคยได้ยินนักการเมืองพูดถึงเรื่องนี้เลย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องหัวใจสำคัญของประเทศ
กลับมาที่ปัญหาของภาควิชาที่ผมสอน ในขณะที่ระดับประเทศและระดับภาควิชากำลังมีปัญหาอย่างรุนแรง ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยกำลังนำมหาวิทยาลัยไปสู่ “มหาวิทยาลัยวิจัย” และกำลัง “ไต่อันดับโลก” โดยนับจำนวนงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ
ทิศทางมหาวิทยาลัยของผมรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆ ของประเทศไทยด้วยกำลังถูกลากจูงไปในทิศทางที่เรียกสั้นๆ ว่า “เพื่อให้ฝรั่งชม” โดยขาดสติสัมปชัญญะ โดยไม่ตั้งคำถามสักคำว่างานวิจัยที่ใช้เงินภาษีของประชาชนเหล่านั้นสามารถนำไปแก้ปัญหาในภาควิชา ในภาคใต้ หรือในประเทศไทยได้อย่างไร
3.แนวคิดของโครงการ “รักเจ้าจึงปลูก”
เมื่อปัญหาของภาควิชาและปัญหาของประเทศเราเป็นไปอย่างที่ผมได้เล่ามาแล้ว โดยหวังพึ่งอะไรไม่ได้จากนักการเมืองและนักบริหาร แล้วเราควรจะทำอย่างไรกันดี
แนะนำให้นักศึกษาที่มีปัญหามากๆ ให้ลาออก “ไปสู่ที่ชอบๆ ” ก็ไม่ได้ผล แนะนำแกมบังคับให้ตั้งใจเรียนก็ไม่ได้ผล
ขณะที่ผมนั่งเขียนบทความอยู่นี้ หน้าห้องเพื่อนอาจารย์บางท่านก็มีจดหมายน้อยจากนักศึกษาเสียบไว้หลายฉบับ ทุกฉบับเขียนไปทำนองเดียวกันคือ “ไม่ทราบอาจารย์ว่างตอนไหนบ้างคะ ช่วงนี้จะมาขอคำปรึกษาเรื่องคะแนนหน่อยคะ โปรดระบุด้วยคะ”
อาจารย์ท่านนี้ทราบดีว่า วิธีการเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงพยายามหนีนักศึกษา
อาจารย์หลายท่านรวมทั้งผมด้วยก็ได้พยายามสร้างแรงบันดาลใจให้นักศึกษาเกิดความรักในการเรียน เห็นความสำคัญในการเรียน แต่ก็เป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างคิด (แต่ส่วนมากมักจะเน้นไปที่ให้นักศึกษาแต่งกายให้เรียบร้อย ให้เคารพสถานที่ราชการเท่านั้น)
มาวันนี้ เราจะลองทำกันให้เป็นระบบ แต่ครั้นจะถามว่าแล้วทำอย่างไรละ ผมต้องขอเรียนตามตรงว่า คณาจารย์เองก็ยังเห็นไม่ตรงกัน ผมเองก็ยังหนักใจอยู่เหมือนกันครับ การเขียนบทความนี้ถือเป็นการเตรียมตัว เตรียมความคิดของผมเอง เพื่อจะได้นำไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมงาน
ต่อไปนี้เป็นเพียงความเห็นของผมคนเดียว ที่ผมครุ่นคิดมานานแล้ว หลังจากได้อ่านงานของท่าน ว. วชิรเมธี และพระไพศาล วิสาโล รวมทั้งประสบการณ์ของตนเองที่ทำงานมาจนใกล้วันเกษียณ ผมคิดว่าเราต้องใช้ หลักอิทธิบาทสี่ ที่แปลว่าบาทฐานแห่งความสำเร็จ
หลายท่านอาจจะรู้สึกว่าดูเชยๆ ชอบกล
ท่าน ว. วชิรเมธีบอกว่า “ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะทนทำอะไรซึ่งเขาไม่รักได้อย่างยาวนาน”
ทำนองเดียวกัน ไม่มีนักศึกษาคนไหนที่จะทนเรียนวิชาคณิตศาสตร์และสถิติได้อย่างยาวนาน ถ้าเขาไม่รู้ ไม่เห็นความสำคัญของวิชาดังกล่าว หรือไม่มี “ฉันทะ” ในหลักอิทธิบาทสี่ นั่นเอง
ผมรู้จักและคุ้นเคยกับวงการเรียนการสอนคณิตศาสตร์มาร่วม 50 ปี ผมคิดว่าผมเข้าใจข้อความข้างต้นเป็นอย่างดี โดยส่วนตัวผมชอบและรักวิชา “เรขาคณิต” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “geometry” มาก แถมรักอาจารย์ที่สอนวิชานี้ด้วย แต่ผมไม่เคยทราบเลยว่าชื่อวิชาเรขาคณิตแปลว่าอะไร
จนถึงเวลาที่โลกเรามีอินเทอร์เน็ตใช้เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ผมพบว่า geo แปลว่า โลกหรือเกี่ยวกับโลก metry แปลว่า การวัด ออ! วิชาเรขาคณิตจึงหมายถึงวิชาที่ว่าด้วยการวัดโลกการวัดพื้นที่นั่นเอง
ถ้านักเรียนรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก เขาน่าจะมีความรัก มีแรงจูงใจให้ตั้งใจเรียนมากขึ้นนานแล้ว
ในการเรียนการสอนวิชาสถิติก็ทำนองเดียวกัน เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งจากประเทศออสเตรเลียได้นำบทความวิชาการมาสัมมนาที่ภาควิชา ความโดยสรุปว่า ถ้าแบ่งกระบวนการทางสถิติออกเป็นสี่ส่วน เราสอนกันเพียงสามส่วนเท่านั้น หนึ่งส่วนที่หายไป ถ้าผมฟังไม่ผิดก็คือส่วนที่เป็นกระบวนการที่นำไปใช้ประโยชน์จริงๆ นั่นเอง
4.สรุป
ผมได้ให้คำมั่นสัญญากับตนเองว่า จะพยายามเขียนและค้นหาความสำคัญของวิชาคณิตศาสตร์และสถิติแบบง่ายๆ มาให้นักศึกษารวมทั้งสังคมไทยได้อ่านกัน
ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่ อย่างเป็นยุทธศาสตร์แล้ว นักศึกษายังไม่ปรับปรุงพัฒนาตนเองอีก ก็ต้องขอกล่าวคำว่า อุเบกขา หรือวางเฉย อันเป็นข้อสุดท้ายในพรหมวิหารสี่ ครับ
ที่ภาควิชาที่ผมทำงานอยู่คือ ภาควิชาคณิตศาสตร์ คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ กำลังคิดทำโครงการที่จะพัฒนานักศึกษานอกเหนือจากรายวิชาและกิจกรรมเสริมหลักสูตรที่ทำกันอยู่ตามปกติแล้ว โครงการยังไม่เป็นรูปเป็นร่างดีนัก แต่ชื่อโครงการก็ค่อนข้างจะเห็นตรงกันคือ “โครงการรักเจ้าจึงปลูก” ที่มาจากเนื้อเพลง “อิ่มอุ่น” ของ ศุ บุญเลี้ยง
ภาควิชามีหลักสูตรระดับปริญญาตรีอยู่ 2 หลักสูตร คือ คณิตศาสตร์และสถิติ แต่ละหลักสูตรจะรับนักศึกษาปีละประมาณ 50 คน โดยรับมาจากนักศึกษาชั้นปีที่ 1 ของคณะเกือบทั้งหมด วิธีการคัดเลือกก็ใช้ผลการเรียนหรือเกรดของนักศึกษาเป็นสำคัญ ผู้ที่ได้เกรดสูงๆ ก็ได้ภาควิชาที่ตนชอบไปก่อน ส่วนผู้ที่ได้เกรดต่ำๆ แต่สูงกว่าเกณฑ์ที่จะถูกรีไทร์ ก็จะถูกส่งไปยังภาควิชาที่มีที่ว่างไม่ว่านักศึกษาคนนั้นจะมีความถนัดหรือไม่ก็ตาม
จะกล่าวโทษเกณฑ์การคัดเลือกดังกล่าวก็ไม่ถูกต้องนัก เพราะความจริงแล้วนักศึกษาที่ได้เกรดต่ำๆ โดยมาก (อาจมียกเว้นบ้าง) ก็มักจะไม่มีความถนัดที่จะเรียนสาขาคณิตศาสตร์และสถิติอยู่แล้ว
จากข้อมูลพบว่า ในปีการศึกษา 2550 นักศึกษาที่เข้ามาเรียนสาขาสถิติได้เกรดต่ำกว่า 2.00 ถึงร้อยละ 27 และตัวเลขดังกล่าวได้เพิ่มขึ้นเป็นร้อยละ 47 ในปีถัดมา
คณาจารย์หลายท่านก็ได้แนะนำให้นักศึกษาที่ได้เกรดต่ำมากๆ ลาออกไปสอบใหม่เพื่อเลือกเรียนในสาขาที่ตนเองถนัด แต่ความหวังดีดังกล่าวของอาจารย์ก็ไม่เป็นผล พวกเขาก็ยังตื๊อเรียนต่อไป ส่งผลให้นักศึกษาสาขาสถิติชั้นปีที่ 3 ปีนี้เหลืออยู่เพียง 15 คนจากที่รับมาทั้งหมด 50 คน
2.ปัญหาในภาพรวมของประเทศ
เรื่องคุณภาพที่ตกต่ำของนักเรียน นักศึกษาไทย (หรืออาจจะอีกหลายประเทศ) ในปัจจุบันเป็นที่รับรู้กันทั่วไป โดยเฉพาะในหมู่อาจารย์ทุกสถาบัน ไม่ใช่แต่ในภาควิชาที่ผมทำงานอยู่เท่านั้น แต่ก็ไม่มีใครคิดจะแก้ไขให้เป็นระบบหรือ “คิดใหญ่” คิดจริงจัง คิดให้เป็นนโยบายสาธารณะหรือ “วาระแห่งชาติ”
ยิ่งในหมู่นักการเมืองด้วยแล้ว เราจะไม่เคยได้ยินเรื่องที่ผมจะนำมาเล่าต่อไปนี้จากปากของพวกเขาเลย แต่เขายอมทุ่มเงินนับหลายหมื่นหลายแสนล้านบาทไปกับโครงการถนนปลอดฝุ่น และ ท่อน้ำชลประทาน เป็นต้น
จากรายงานการวิจัยที่ชื่อยาวๆ ว่า “สภาวะการศึกษาไทย ปี 2550/2551 ปัญหาความเสมอภาคและคุณภาพของการศึกษาไทย” ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงศึกษาธิการ โดยมี รศ.วิทยากร เชียงกูล เป็นหัวหน้า พบว่า การสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนหรือ National Test ระดับ ป.6 และ ม.3 ประจำปีการศึกษา 2549 นั้น คะแนนเฉลี่ยไม่ถึงครึ่งทุกวิชา จากผู้เข้าสอบโดยการสุ่มจากทุกโรงเรียนทั่วประเทศ วิชาละกว่า 4 แสนคน
เด็ก ป.6 ได้คะแนนเฉลี่ยในวิชาคณิตศาสตร์และภาษาอังกฤษที่ 15.5 และ 13.8 จากคะแนนเต็ม 40 คะแนน
เด็ก ม.3 จากผู้เข้าสอบเกือบ 2 แสนคน มีคะแนนเฉลี่ยในวิชาคณิตศาสตร์และสังคมศาสตร์ที่ 12.5 และ 12.3 จากคะแนนเต็ม 40 คะแนนเช่นกัน
สำหรับเด็ก ม.ปลาย ผลการสอบวัดความรู้พื้นฐานหรือ O-Net ในปีการศึกษา 2549 พบว่า มีเพียงวิชาภาษาไทยเท่านั้นที่ได้คะแนนเฉลี่ยร้อยละ 50.3 ที่เหลือไม่ถึงครึ่งทุกวิชา โดยมีวิชาคณิตศาสตร์ต่ำสุด คือร้อยละ 29.6
เมื่อเปรียบเทียบกับต่างประเทศ โดยองค์กรที่ชื่อว่า International Institute for Management Development ในเรื่องปัจจัยพื้นฐาน (ที่รวมการศึกษาและวิทยาศาสตร์) พบว่าความสามารถของประเทศไทยอยู่ในอันดับเกือบรั้งท้ายและตกต่ำลงมาเรื่อย คือ จากอันดับที่ 39 ในปี 2548 มาเป็นอันดับที่ 48 ในปี 2550 จากทั้งหมด 55 ประเทศ (รายงานไม่ได้บอกว่ามีประเทศใดบ้าง)
ท่านผู้อ่านเห็นด้วยกับผมไหมครับว่า เราไม่เคยได้ยินนักการเมืองพูดถึงเรื่องนี้เลย ทั้งๆ ที่เป็นเรื่องหัวใจสำคัญของประเทศ
กลับมาที่ปัญหาของภาควิชาที่ผมสอน ในขณะที่ระดับประเทศและระดับภาควิชากำลังมีปัญหาอย่างรุนแรง ผู้บริหารของมหาวิทยาลัยกำลังนำมหาวิทยาลัยไปสู่ “มหาวิทยาลัยวิจัย” และกำลัง “ไต่อันดับโลก” โดยนับจำนวนงานวิจัยที่ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารต่างประเทศ
ทิศทางมหาวิทยาลัยของผมรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่นๆ ของประเทศไทยด้วยกำลังถูกลากจูงไปในทิศทางที่เรียกสั้นๆ ว่า “เพื่อให้ฝรั่งชม” โดยขาดสติสัมปชัญญะ โดยไม่ตั้งคำถามสักคำว่างานวิจัยที่ใช้เงินภาษีของประชาชนเหล่านั้นสามารถนำไปแก้ปัญหาในภาควิชา ในภาคใต้ หรือในประเทศไทยได้อย่างไร
3.แนวคิดของโครงการ “รักเจ้าจึงปลูก”
เมื่อปัญหาของภาควิชาและปัญหาของประเทศเราเป็นไปอย่างที่ผมได้เล่ามาแล้ว โดยหวังพึ่งอะไรไม่ได้จากนักการเมืองและนักบริหาร แล้วเราควรจะทำอย่างไรกันดี
แนะนำให้นักศึกษาที่มีปัญหามากๆ ให้ลาออก “ไปสู่ที่ชอบๆ ” ก็ไม่ได้ผล แนะนำแกมบังคับให้ตั้งใจเรียนก็ไม่ได้ผล
ขณะที่ผมนั่งเขียนบทความอยู่นี้ หน้าห้องเพื่อนอาจารย์บางท่านก็มีจดหมายน้อยจากนักศึกษาเสียบไว้หลายฉบับ ทุกฉบับเขียนไปทำนองเดียวกันคือ “ไม่ทราบอาจารย์ว่างตอนไหนบ้างคะ ช่วงนี้จะมาขอคำปรึกษาเรื่องคะแนนหน่อยคะ โปรดระบุด้วยคะ”
อาจารย์ท่านนี้ทราบดีว่า วิธีการเช่นนี้เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง จึงพยายามหนีนักศึกษา
อาจารย์หลายท่านรวมทั้งผมด้วยก็ได้พยายามสร้างแรงบันดาลใจให้นักศึกษาเกิดความรักในการเรียน เห็นความสำคัญในการเรียน แต่ก็เป็นไปในลักษณะต่างคนต่างทำ ต่างคนต่างคิด (แต่ส่วนมากมักจะเน้นไปที่ให้นักศึกษาแต่งกายให้เรียบร้อย ให้เคารพสถานที่ราชการเท่านั้น)
มาวันนี้ เราจะลองทำกันให้เป็นระบบ แต่ครั้นจะถามว่าแล้วทำอย่างไรละ ผมต้องขอเรียนตามตรงว่า คณาจารย์เองก็ยังเห็นไม่ตรงกัน ผมเองก็ยังหนักใจอยู่เหมือนกันครับ การเขียนบทความนี้ถือเป็นการเตรียมตัว เตรียมความคิดของผมเอง เพื่อจะได้นำไปแลกเปลี่ยนกับเพื่อนร่วมงาน
ต่อไปนี้เป็นเพียงความเห็นของผมคนเดียว ที่ผมครุ่นคิดมานานแล้ว หลังจากได้อ่านงานของท่าน ว. วชิรเมธี และพระไพศาล วิสาโล รวมทั้งประสบการณ์ของตนเองที่ทำงานมาจนใกล้วันเกษียณ ผมคิดว่าเราต้องใช้ หลักอิทธิบาทสี่ ที่แปลว่าบาทฐานแห่งความสำเร็จ
หลายท่านอาจจะรู้สึกว่าดูเชยๆ ชอบกล
ท่าน ว. วชิรเมธีบอกว่า “ไม่มีมนุษย์คนไหนที่จะทนทำอะไรซึ่งเขาไม่รักได้อย่างยาวนาน”
ทำนองเดียวกัน ไม่มีนักศึกษาคนไหนที่จะทนเรียนวิชาคณิตศาสตร์และสถิติได้อย่างยาวนาน ถ้าเขาไม่รู้ ไม่เห็นความสำคัญของวิชาดังกล่าว หรือไม่มี “ฉันทะ” ในหลักอิทธิบาทสี่ นั่นเอง
ผมรู้จักและคุ้นเคยกับวงการเรียนการสอนคณิตศาสตร์มาร่วม 50 ปี ผมคิดว่าผมเข้าใจข้อความข้างต้นเป็นอย่างดี โดยส่วนตัวผมชอบและรักวิชา “เรขาคณิต” ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “geometry” มาก แถมรักอาจารย์ที่สอนวิชานี้ด้วย แต่ผมไม่เคยทราบเลยว่าชื่อวิชาเรขาคณิตแปลว่าอะไร
จนถึงเวลาที่โลกเรามีอินเทอร์เน็ตใช้เมื่อประมาณสิบกว่าปีที่แล้ว ผมพบว่า geo แปลว่า โลกหรือเกี่ยวกับโลก metry แปลว่า การวัด ออ! วิชาเรขาคณิตจึงหมายถึงวิชาที่ว่าด้วยการวัดโลกการวัดพื้นที่นั่นเอง
ถ้านักเรียนรู้อย่างนี้ตั้งแต่แรก เขาน่าจะมีความรัก มีแรงจูงใจให้ตั้งใจเรียนมากขึ้นนานแล้ว
ในการเรียนการสอนวิชาสถิติก็ทำนองเดียวกัน เมื่อประมาณเกือบสิบปีที่แล้ว ศาสตราจารย์ท่านหนึ่งจากประเทศออสเตรเลียได้นำบทความวิชาการมาสัมมนาที่ภาควิชา ความโดยสรุปว่า ถ้าแบ่งกระบวนการทางสถิติออกเป็นสี่ส่วน เราสอนกันเพียงสามส่วนเท่านั้น หนึ่งส่วนที่หายไป ถ้าผมฟังไม่ผิดก็คือส่วนที่เป็นกระบวนการที่นำไปใช้ประโยชน์จริงๆ นั่นเอง
4.สรุป
ผมได้ให้คำมั่นสัญญากับตนเองว่า จะพยายามเขียนและค้นหาความสำคัญของวิชาคณิตศาสตร์และสถิติแบบง่ายๆ มาให้นักศึกษารวมทั้งสังคมไทยได้อ่านกัน
ถ้าเราพยายามอย่างเต็มที่ อย่างเป็นยุทธศาสตร์แล้ว นักศึกษายังไม่ปรับปรุงพัฒนาตนเองอีก ก็ต้องขอกล่าวคำว่า อุเบกขา หรือวางเฉย อันเป็นข้อสุดท้ายในพรหมวิหารสี่ ครับ