ในขณะที่สังคมไทยกำลังใจจดใจจ่อรอฟังข่าวนายสมัคร สุนทรเวช จะประกาศลาออก ก็ปรากฏว่านายสมัคร สุนทรเวช ได้แถลงข่าวผ่านทางช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ยืนยันว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออก ด้วยท่าทีที่ปลอดโปร่งโล่งใจ และกลั้วหัวเราะเป็นระยะๆ
การยืนยันว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออกนั้นไม่ใช่ของใหม่อะไร เพราะเพิ่งพูดย้ำแล้วย้ำอีกต่อเนื่องกันมาหลายครั้งแล้ว และไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องออกมาแถลงเช่นนี้ ราวกับว่าเป็นเรื่องสำคัญและฉุกเฉิน
เหตุการณ์ขณะนี้ใครๆ ก็รู้ว่าตึงเครียด คับขัน ทั้งในคืนวันที่ 3 กันยายน 2551 ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยปกติ ถึงกับต้องส่งกองกำลังตำรวจไปคุ้มกันอารักขาอย่างแน่นหนา ราวกับว่าเตรียมทำการอะไรที่สำคัญอยู่
ในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ที่มีความคิดจิตใจปกติจะมีท่าทีปลอดโปร่งโล่งใจ หรือกลั้วหัวเราะอย่างครื้นเครงได้เลย ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสังเกต น่าวิเคราะห์ว่าทำไมจึงเป็นไปเช่นนั้น
พิเคราะห์แล้วก็ไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งซับซ้อนอะไรนักหนา หากมันเป็นกลอุบายชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “อุบายขงเบ้งตีขิมบนกำแพงเมืองร้าง”
มาดูกันว่า “อุบายขงเบ้งตีขิมบนกำแพงเมืองร้าง” นั้นเป็นอย่างไร?
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นหลังพระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์แล้ว ขงเบ้งกำราบปราบปรามกบฏภาคใต้เสร็จแล้ว จึงนำทัพเข้าตีแคว้นเว่ยเป็นครั้งแรก รุกลึกเข้าไปในดินแดนเว่ย จ่อใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกที สุมาอี้แม่ทัพใหญ่ฝ่ายเว่ยวางแผนรับพลางถอยกับกองทัพหน้าของขงเบ้ง แต่เคลื่อนกำลังพลส่วนใหญ่อ้อมตลบหลังไปยึดจุดยุทธศาสตร์เกเต๋ง
เมื่อสูญเสียเกเต๋งเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารและเส้นทางถอยของกองทัพขงเบ้ง ก็ตกอยู่ในกำมือของข้าศึก ทำให้การรุกของกองทัพใหญ่ส่วนหน้าต้องหยุดชะงักลง และจำเป็นต้องถอยทัพ
การถอยทัพต้องใช้เส้นทางหลายเส้นทาง โดยขงเบ้งคุมทัพรั้งท้าย มีกำลังพลเพียงน้อยนิด และไปพักค้างอยู่ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง สุมาอี้ทราบข่าวว่าขงเบ้งคุมกองหลังล่าถอยมาที่เมืองนี้ จึงยกกองทัพสิบหมื่นตามมา หมายจับเอาตัวขงเบ้งให้จงได้ สามก๊กระบุว่ากำลังพลเปรียบเทียบกันแล้ว กองทัพสุมาอี้ “เป็นอันมาก ดังหนึ่งจะเหยียบเมืองเสีย”
ขงเบ้งเข้าตาคับขัน หนีก็ไม่ทัน สู้ก็ไม่ได้ จึงจำใช้อุบายเมืองร้าง สั่งให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน ให้คนแก่และทหารสิบสี่สิบห้าคนออกไปทำทีกวาดขยะที่หน้าประตูเมือง ขงเบ้งแต่งตัวแบบนักพรตในลัทธิเต๋า สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ขึ้นไปนั่งตีขิมบนกำแพงเมือง มีเด็กน้อยสองคน คนหนึ่งถือธงสุริยัน อีกคนหนึ่งถือธงจันทรา ตั้งกระถางธูปใหญ่ จุดธูปใหญ่ปักไว้สามดอกบนโต๊ะข้างหน้า ถัดมาเป็นเตาเผากำยาน ควันกำยานพวยพุ่งโชยกลิ่นหอมเย็นลึกลับ
กองทัพหน้าสุมาอี้เคลื่อนมาถึงแล้วเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ชะงักอยู่ในระยะห่างประตูเมือง สุมาอี้ขี่ม้ามาถึงกองหน้าแล้วออกไปยืนพินิจพิเคราะห์ดู เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็รำลึกถึงกลในพิชัยสงครามที่ว่าน้อยแกล้งทำเป็นมาก มากแกล้งทำเป็นน้อย ไม่มีแสร้งทำเป็นมี มีแสร้งทำเป็นไม่มีแล้ว ก็คิดว่าขงเบ้งคงซุ่มทหารแล้วลวงให้รุกตีเข้าไปในเมือง จึงแสร้งทำเป็นไม่มีทหาร
แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าในเมืองอาจไม่มีทหารเลย ขงเบ้งจึงแสร้งทำอุบาย คิดดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงจ้องเขม็งมองไปที่เด็กสองคนซึ่งถือธงสุริยัน-จันทราอยู่ข้างขงเบ้งก็สะท้านขึ้นในใจ ว่าธงสุริยัน-จันทรานั้นเป็นธงสำคัญสำหรับให้สัญญาณบัญชาการทัพว่าบุกหรือถอย อยู่ในระยะแค่ขงเบ้งเอื้อมมือหยิบมาให้สัญญาณให้ทหารเข้าตีเท่านั้น ใจก็ประหวั่นกลับไปคิดว่าขงเบ้งเตรียมธงสัญญาณให้ทหารเข้าตี จึงลังเลอยู่
สุมาอี้พินิจดูเสื้อคลุมของขงเบ้งก็คำนึงว่านักพรตในลัทธิเต๋าสวมเสื้อคลุมชุดขาวในการปฏิบัติธรรม แต่ขงเบ้งกลับสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีแห่งความล้ำลึก เมื่อประสานกับควันกำยานที่พวยพุ่งออกมาแล้ว ดูประหนึ่งแฝงไว้ด้วยเงาของการรบราฆ่าฟันอยู่ในที
สุมาอี้เป็นผู้เชี่ยวชาญการดนตรีชั้นเลิศของแคว้นเว่ย จึงใคร่หยั่งความมั่นคงในใจของขงเบ้งว่ามีความมั่นคงหรือหวั่นไหวประการใด จึงทำสมาธิจิตสดับฟังเสียงขิมที่ขงเบ้งบรรเลงนั้น เพราะแม้จิตใจคนจะหยั่งยาก แต่อาจสะท้อนออกมาได้จากคำพูด กิริยาอาการว่าลุกลี้ร้อนรนหรือไม่ประการใด
สามก๊กฉบับคนขายชาติของเรืองวิทยาคมระบุว่า สุมาอี้สดับฟังเสียงเพลงนั้นแล้วก็รู้สึกว่า “เป็นท่วงทำนองที่สะท้อนถึงจิตใจของผู้เล่นพิณว่ามีความเบิกบานมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ทำนองเพลงรื่นไหลดุจดังกระแสน้ำ ไม่มีติดขัด จังหวะเบาไร้ร่องรอยดุจดังสายลมพัด จังหวะหนักก็หนักหน่วงดุจขุนเขาถล่มทลาย หาใช่จิตใจของผู้ที่มีความหวั่นเกรงหรือสะทกสะท้านแต่ประการใดไม่”
สุมาอี้ฟังทำนองเป็นเสียงเพลงว่า
“สายธารไหลรี่รวมลงสู่ทะเลกว้าง
พระสมุทรเวิ้งว้างราบเรียบไร้คลื่นลม
ฝูงปลาน้อยว่ายแหวกชวนชม
ท้องน้ำล้ำลึกดำมืดราวคืนแรม
ภูเขาสูงตระหง่านเสียดแทงเมฆ
ความวิเวกแผ่คลุมปลายฤดูหนาว
มวลพฤกษาผลิใบแทนใบที่ร่วงราว
ผีเสื้อหลากสีสันเริงร่าท้าทาย
ชาวนาแบกไถจูงโคคืนเคหา
เหลาสุราเปล่งเสียงเจ้งครื้นเครงครัน
เสียงสวดมนต์บ่นพร่ำพระธรรมแว่วมา
ฟากฟ้าประจิมประกายแสงแดงจ้า
สรรพสิ่งหมุนเวียนไปไร้เงื่อนปม
สายลมแผ่วโชยมายากหารอยต่อ
สำเนียงพิณห่อนสิ้นเพลงเคล้าคลอ
เมฆฝนก่อเค้ามางามตาเอย”
สุมาอี้ฟังความจากเสียงเพลงก็ยิ่งสะดุ้งใจ เพราะบทเพลงที่ว่าพระสมุทรอันกว้างใหญ่ ไหนเลยจะไร้คลื่นลม ท้องน้ำอันยากหยั่ง ไหนเลยจะมีแต่ปลาน้อย จึงน่าจะมีมฤตยูใต้ห้วงน้ำลึกแอบแฝงอยู่
เสียงเพลงยังพยายามปิดงำความอันยิ่งใหญ่ไว้อีกว่า ในพงพฤกษา ไหนเลยจะมีแค่ผีเสื้อหลากสีสัน ย่อมต้องมีฝูงนกป่านานาพันธุ์ เมื่อไร้นกป่าก็น่าจะมีการซุ่มทหารไว้ นกป่าจึงหลีกหนีไปสิ้น
เพลงพิณตอนสุดท้ายบ่งบอกว่ายามสันติ ผู้คนทำมาหากินตามปกติสุข ผู้ใฝ่ธรรมพร่ำท่องมนต์ภาวนา แต่ฟากฟ้าไยมีสีโลหิตเจิดจ้า ก็คำนึงว่าความสันตินั้นแท้จริงแล้วก็คือรอยต่อของสงครามตามวัฏฏะ
สุมาอี้ประมวลความทั้งปวงแล้วก็เห็นกระจ่างว่าเป็นกลอุบายของขงเบ้งต้องการลวงให้บุกเข้าไปในเมืองแล้วใช้ทหารซุ่มโจมตี และอาจจะมีทหารรุกตีกระหนาบเข้ามาอีกหลายทิศทาง “ก็ตกใจ ด้วยความประหวั่นครั่นคร้าม เม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ไหลลงโทรมหน้าโดยไม่รู้ตัว”
จึงสั่งให้ถอยทัพอย่างฉับพลัน แปรกองหลังเป็นกองหน้า แปรกองหน้าเป็นกองหลัง เร่งรีบถอยทัพในทันที อุบายตีขิมบนกำแพงเมืองร้างจึงสัมฤทธิผลและเลื่องชื่อลือชามาจนถึงทุกวันนี้
สถานการณ์ของนายสมัคร สุนทรเวช ในยามนี้เป็นอย่างไรเล่า?
มวลมหาประชาชนนับล้านๆ กำลังชุมนุมประท้วง กลุ่มคนทุกชนชั้น ทุกชนชาติทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกหน ทุกแห่งถั่งโถมเข้าร่วมชุมนุมกดดันให้ลาออก กระทั่งศูนย์กลางการบริหารของตนคือทำเนียบรัฐบาลก็ถูกยึดไปกว่าสัปดาห์แล้ว ต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีไปที่นั่นที่นี่ เป็นที่อับอายขายหน้าแก่ชาวโลกเขาไปทั่ว
ความเชื่อถือเชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดินหมดสิ้นลงไปแล้ว นักท่องเที่ยวพากันเผ่นหนีออกจากประเทศหลังจากประกาศภาวะฉุกเฉิน ซ้ำเติมวิกฤตทางเศรษฐกิจให้ทรุดหนักลงไปอีก
จะบริหารบัญชาการประการใดก็ไม่เป็นผล ล่าสุดออกคำสั่งย้ายปลัดกระทรวงมหาดไทยไม่ถึง 3 ชั่วโมง ก็ต้องยกเลิกคำสั่งให้กลับเข้าสู่สถานะเดิม
เลขานุการและรัฐมนตรีต่างประเทศก็ลาออก บอกสัญญาณความล้มเหลวของรัฐบาลให้นานาชาติรับรู้อย่างโจ่งแจ้งที่สุด ตบหน้านายสมัคร สุนทรเวช อย่างไม่เกรงอกเกรงใจและโดยไม่รับฟังคำร้องขอใดๆ อีก พรรคร่วมก็เตรียมจะเผ่นหนี พรรคตัวเองก็แตกเป็นหลายเสี่ยง เพราะใครๆ ก็เห็นว่าขืนเป็นเช่นนี้ก็คงตายยกรัง จึงต่างคนต่างคิดอ่านเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น
ข้าราชการทั้งปวงมีหรือที่จะไม่รู้ความเป็นไป ดังนั้นไม่เพียงแต่จะพากันเข้าเกียร์ว่างกันแทบทั่วประเทศเท่านั้น จำนวนหนึ่งก็ปฏิบัติการอารยะขัดขืนโดยไม่ได้แยแสกันอีกต่อไป
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็ไม่มีใครยอมรับนับถือและสั่งใครไม่ได้ โดยเฉพาะท่าทีจากผู้นำกองทัพที่เปิดเผยว่าได้แจ้งให้นายสมัคร สุนทรเวช ทราบว่าการสลายม็อบไม่ใช่เรื่องง่าย และจะยืนข้างประชาชนนั้น ก็ได้เผยความให้เห็นว่ามีการสั่งให้ฝ่ายทหารสลายม็อบ ยืมมือฝ่ายทหารไปเข่นฆ่าประชาชน แต่ฝ่ายทหารเขารู้ทันจึงไม่ยอมเป็นเครื่องมือ ไม่ยอมให้มือเปื้อนเลือด มิหนำซ้ำยังแสดงจุดยืนดังเดิมที่เคียงข้างประชาชนเสียอีก
เมื่อติดขัดดังนี้จึงเกิดกรณีคำสั่งพิเศษให้ระดมพลตำรวจเข้ามาจากทั่วประเทศเกือบ 20,000 คน ค่อยๆ ทยอยกันเข้ามากรุงเทพฯ พร้อมด้วยอาวุธเต็มอัตราศึก และเตรียมรถขนผู้ต้องหาจำนวนมากมาย
จำนวนกำลังพลของตำรวจและอาวุธที่พรั่งพร้อมเช่นนี้ ไหนเลยจะรอดหูรอดตาฝ่ายทหารไปได้ และใครๆ ก็ย่อมเห็นว่ามันอาจจะไม่ใช่แค่เตรียมการสลายม็อบเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเลยเถิดไปเป็นเรื่องอื่นก็ได้
เพราะเรื่องแบบนี้เคยมีบทเรียนมาแล้วเมื่อครั้งพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ คิดปฏิวัติด้วยกำลังตำรวจ หมายจะจู่โจมจับบุคคลสำคัญเสียก่อน แต่ก็ล้มเหลวและถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติจนต้องหนีไปตายในต่างแดน
ตำรวจเขาก็คิดแบบตำรวจ ทหารเขาก็คิดแบบทหาร และย่อมกระจ่างในประวัติศาสตร์แบบนี้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญคือปัญหาที่ไอ้โม่งสั่งเคลื่อนย้ายกำลังตำรวจจำนวนมากพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นไม่ใช่คำสั่งของผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามประกาศภาวะฉุกเฉิน จึงเป็นการเคลื่อนกำลังนอกคำสั่งและภารกิจ
เมื่อประกอบกับเหตุการณ์ที่มีการส่งกำลังตำรวจจำนวนมากไปคุ้มกันบ้านของนายสมัคร สุนทรเวช และการสั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์เตรียมวิทยุแถลงข่าวในเวลาเช้านั้นเป็นเรื่องที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง
การเตรียมพร้อมขั้นสูงจึงเกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น และในที่สุดกำลังตำรวจที่กรีฑาเคลื่อนพลเข้ามาก็ต้องล่าถอยถอนกำลังออกไป ในขณะที่มวลชนซึ่งกำลังระดมกันเข้ามาก็ถูกหยุดยั้งเอาไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้นายสมัคร สุนทรเวช จึงเหมือนอยู่ในเมืองร้างจริงๆ จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำ “อุบายขงเบ้งตีขิมบนกำแพงเมืองร้าง” ด้วยประการฉะนี้.
การยืนยันว่าไม่ยุบสภา ไม่ลาออกนั้นไม่ใช่ของใหม่อะไร เพราะเพิ่งพูดย้ำแล้วย้ำอีกต่อเนื่องกันมาหลายครั้งแล้ว และไม่มีความจำเป็นอะไรที่ต้องออกมาแถลงเช่นนี้ ราวกับว่าเป็นเรื่องสำคัญและฉุกเฉิน
เหตุการณ์ขณะนี้ใครๆ ก็รู้ว่าตึงเครียด คับขัน ทั้งในคืนวันที่ 3 กันยายน 2551 ก็มีเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยปกติ ถึงกับต้องส่งกองกำลังตำรวจไปคุ้มกันอารักขาอย่างแน่นหนา ราวกับว่าเตรียมทำการอะไรที่สำคัญอยู่
ในสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่ใช่เรื่องที่ใครๆ ที่มีความคิดจิตใจปกติจะมีท่าทีปลอดโปร่งโล่งใจ หรือกลั้วหัวเราะอย่างครื้นเครงได้เลย ตรงนี้จึงเป็นเรื่องที่น่าสังเกต น่าวิเคราะห์ว่าทำไมจึงเป็นไปเช่นนั้น
พิเคราะห์แล้วก็ไม่ใช่เรื่องลึกซึ้งซับซ้อนอะไรนักหนา หากมันเป็นกลอุบายชนิดหนึ่งที่เรียกว่า “อุบายขงเบ้งตีขิมบนกำแพงเมืองร้าง”
มาดูกันว่า “อุบายขงเบ้งตีขิมบนกำแพงเมืองร้าง” นั้นเป็นอย่างไร?
เรื่องราวนี้เกิดขึ้นหลังพระเจ้าเล่าปี่สิ้นพระชนม์แล้ว ขงเบ้งกำราบปราบปรามกบฏภาคใต้เสร็จแล้ว จึงนำทัพเข้าตีแคว้นเว่ยเป็นครั้งแรก รุกลึกเข้าไปในดินแดนเว่ย จ่อใกล้เมืองหลวงเข้าไปทุกที สุมาอี้แม่ทัพใหญ่ฝ่ายเว่ยวางแผนรับพลางถอยกับกองทัพหน้าของขงเบ้ง แต่เคลื่อนกำลังพลส่วนใหญ่อ้อมตลบหลังไปยึดจุดยุทธศาสตร์เกเต๋ง
เมื่อสูญเสียเกเต๋งเส้นทางลำเลียงเสบียงอาหารและเส้นทางถอยของกองทัพขงเบ้ง ก็ตกอยู่ในกำมือของข้าศึก ทำให้การรุกของกองทัพใหญ่ส่วนหน้าต้องหยุดชะงักลง และจำเป็นต้องถอยทัพ
การถอยทัพต้องใช้เส้นทางหลายเส้นทาง โดยขงเบ้งคุมทัพรั้งท้าย มีกำลังพลเพียงน้อยนิด และไปพักค้างอยู่ที่เมืองเล็กๆ เมืองหนึ่ง สุมาอี้ทราบข่าวว่าขงเบ้งคุมกองหลังล่าถอยมาที่เมืองนี้ จึงยกกองทัพสิบหมื่นตามมา หมายจับเอาตัวขงเบ้งให้จงได้ สามก๊กระบุว่ากำลังพลเปรียบเทียบกันแล้ว กองทัพสุมาอี้ “เป็นอันมาก ดังหนึ่งจะเหยียบเมืองเสีย”
ขงเบ้งเข้าตาคับขัน หนีก็ไม่ทัน สู้ก็ไม่ได้ จึงจำใช้อุบายเมืองร้าง สั่งให้เปิดประตูเมืองทั้งสี่ด้าน ให้คนแก่และทหารสิบสี่สิบห้าคนออกไปทำทีกวาดขยะที่หน้าประตูเมือง ขงเบ้งแต่งตัวแบบนักพรตในลัทธิเต๋า สวมเสื้อคลุมสีน้ำเงิน ขึ้นไปนั่งตีขิมบนกำแพงเมือง มีเด็กน้อยสองคน คนหนึ่งถือธงสุริยัน อีกคนหนึ่งถือธงจันทรา ตั้งกระถางธูปใหญ่ จุดธูปใหญ่ปักไว้สามดอกบนโต๊ะข้างหน้า ถัดมาเป็นเตาเผากำยาน ควันกำยานพวยพุ่งโชยกลิ่นหอมเย็นลึกลับ
กองทัพหน้าสุมาอี้เคลื่อนมาถึงแล้วเห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็ชะงักอยู่ในระยะห่างประตูเมือง สุมาอี้ขี่ม้ามาถึงกองหน้าแล้วออกไปยืนพินิจพิเคราะห์ดู เห็นเหตุการณ์เช่นนั้นก็รำลึกถึงกลในพิชัยสงครามที่ว่าน้อยแกล้งทำเป็นมาก มากแกล้งทำเป็นน้อย ไม่มีแสร้งทำเป็นมี มีแสร้งทำเป็นไม่มีแล้ว ก็คิดว่าขงเบ้งคงซุ่มทหารแล้วลวงให้รุกตีเข้าไปในเมือง จึงแสร้งทำเป็นไม่มีทหาร
แต่ก็ฉุกคิดได้ว่าในเมืองอาจไม่มีทหารเลย ขงเบ้งจึงแสร้งทำอุบาย คิดดังนั้นแล้วสุมาอี้จึงจ้องเขม็งมองไปที่เด็กสองคนซึ่งถือธงสุริยัน-จันทราอยู่ข้างขงเบ้งก็สะท้านขึ้นในใจ ว่าธงสุริยัน-จันทรานั้นเป็นธงสำคัญสำหรับให้สัญญาณบัญชาการทัพว่าบุกหรือถอย อยู่ในระยะแค่ขงเบ้งเอื้อมมือหยิบมาให้สัญญาณให้ทหารเข้าตีเท่านั้น ใจก็ประหวั่นกลับไปคิดว่าขงเบ้งเตรียมธงสัญญาณให้ทหารเข้าตี จึงลังเลอยู่
สุมาอี้พินิจดูเสื้อคลุมของขงเบ้งก็คำนึงว่านักพรตในลัทธิเต๋าสวมเสื้อคลุมชุดขาวในการปฏิบัติธรรม แต่ขงเบ้งกลับสวมเสื้อคลุมสีน้ำเงินซึ่งเป็นสีแห่งความล้ำลึก เมื่อประสานกับควันกำยานที่พวยพุ่งออกมาแล้ว ดูประหนึ่งแฝงไว้ด้วยเงาของการรบราฆ่าฟันอยู่ในที
สุมาอี้เป็นผู้เชี่ยวชาญการดนตรีชั้นเลิศของแคว้นเว่ย จึงใคร่หยั่งความมั่นคงในใจของขงเบ้งว่ามีความมั่นคงหรือหวั่นไหวประการใด จึงทำสมาธิจิตสดับฟังเสียงขิมที่ขงเบ้งบรรเลงนั้น เพราะแม้จิตใจคนจะหยั่งยาก แต่อาจสะท้อนออกมาได้จากคำพูด กิริยาอาการว่าลุกลี้ร้อนรนหรือไม่ประการใด
สามก๊กฉบับคนขายชาติของเรืองวิทยาคมระบุว่า สุมาอี้สดับฟังเสียงเพลงนั้นแล้วก็รู้สึกว่า “เป็นท่วงทำนองที่สะท้อนถึงจิตใจของผู้เล่นพิณว่ามีความเบิกบานมั่นอกมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม ทำนองเพลงรื่นไหลดุจดังกระแสน้ำ ไม่มีติดขัด จังหวะเบาไร้ร่องรอยดุจดังสายลมพัด จังหวะหนักก็หนักหน่วงดุจขุนเขาถล่มทลาย หาใช่จิตใจของผู้ที่มีความหวั่นเกรงหรือสะทกสะท้านแต่ประการใดไม่”
สุมาอี้ฟังทำนองเป็นเสียงเพลงว่า
“สายธารไหลรี่รวมลงสู่ทะเลกว้าง
พระสมุทรเวิ้งว้างราบเรียบไร้คลื่นลม
ฝูงปลาน้อยว่ายแหวกชวนชม
ท้องน้ำล้ำลึกดำมืดราวคืนแรม
ภูเขาสูงตระหง่านเสียดแทงเมฆ
ความวิเวกแผ่คลุมปลายฤดูหนาว
มวลพฤกษาผลิใบแทนใบที่ร่วงราว
ผีเสื้อหลากสีสันเริงร่าท้าทาย
ชาวนาแบกไถจูงโคคืนเคหา
เหลาสุราเปล่งเสียงเจ้งครื้นเครงครัน
เสียงสวดมนต์บ่นพร่ำพระธรรมแว่วมา
ฟากฟ้าประจิมประกายแสงแดงจ้า
สรรพสิ่งหมุนเวียนไปไร้เงื่อนปม
สายลมแผ่วโชยมายากหารอยต่อ
สำเนียงพิณห่อนสิ้นเพลงเคล้าคลอ
เมฆฝนก่อเค้ามางามตาเอย”
สุมาอี้ฟังความจากเสียงเพลงก็ยิ่งสะดุ้งใจ เพราะบทเพลงที่ว่าพระสมุทรอันกว้างใหญ่ ไหนเลยจะไร้คลื่นลม ท้องน้ำอันยากหยั่ง ไหนเลยจะมีแต่ปลาน้อย จึงน่าจะมีมฤตยูใต้ห้วงน้ำลึกแอบแฝงอยู่
เสียงเพลงยังพยายามปิดงำความอันยิ่งใหญ่ไว้อีกว่า ในพงพฤกษา ไหนเลยจะมีแค่ผีเสื้อหลากสีสัน ย่อมต้องมีฝูงนกป่านานาพันธุ์ เมื่อไร้นกป่าก็น่าจะมีการซุ่มทหารไว้ นกป่าจึงหลีกหนีไปสิ้น
เพลงพิณตอนสุดท้ายบ่งบอกว่ายามสันติ ผู้คนทำมาหากินตามปกติสุข ผู้ใฝ่ธรรมพร่ำท่องมนต์ภาวนา แต่ฟากฟ้าไยมีสีโลหิตเจิดจ้า ก็คำนึงว่าความสันตินั้นแท้จริงแล้วก็คือรอยต่อของสงครามตามวัฏฏะ
สุมาอี้ประมวลความทั้งปวงแล้วก็เห็นกระจ่างว่าเป็นกลอุบายของขงเบ้งต้องการลวงให้บุกเข้าไปในเมืองแล้วใช้ทหารซุ่มโจมตี และอาจจะมีทหารรุกตีกระหนาบเข้ามาอีกหลายทิศทาง “ก็ตกใจ ด้วยความประหวั่นครั่นคร้าม เม็ดเหงื่อขนาดใหญ่ไหลลงโทรมหน้าโดยไม่รู้ตัว”
จึงสั่งให้ถอยทัพอย่างฉับพลัน แปรกองหลังเป็นกองหน้า แปรกองหน้าเป็นกองหลัง เร่งรีบถอยทัพในทันที อุบายตีขิมบนกำแพงเมืองร้างจึงสัมฤทธิผลและเลื่องชื่อลือชามาจนถึงทุกวันนี้
สถานการณ์ของนายสมัคร สุนทรเวช ในยามนี้เป็นอย่างไรเล่า?
มวลมหาประชาชนนับล้านๆ กำลังชุมนุมประท้วง กลุ่มคนทุกชนชั้น ทุกชนชาติทุกศาสนา ทุกเพศ ทุกวัย ทุกหน ทุกแห่งถั่งโถมเข้าร่วมชุมนุมกดดันให้ลาออก กระทั่งศูนย์กลางการบริหารของตนคือทำเนียบรัฐบาลก็ถูกยึดไปกว่าสัปดาห์แล้ว ต้องร่อนเร่เป็นสัมภเวสีไปที่นั่นที่นี่ เป็นที่อับอายขายหน้าแก่ชาวโลกเขาไปทั่ว
ความเชื่อถือเชื่อมั่นในการบริหารราชการแผ่นดินหมดสิ้นลงไปแล้ว นักท่องเที่ยวพากันเผ่นหนีออกจากประเทศหลังจากประกาศภาวะฉุกเฉิน ซ้ำเติมวิกฤตทางเศรษฐกิจให้ทรุดหนักลงไปอีก
จะบริหารบัญชาการประการใดก็ไม่เป็นผล ล่าสุดออกคำสั่งย้ายปลัดกระทรวงมหาดไทยไม่ถึง 3 ชั่วโมง ก็ต้องยกเลิกคำสั่งให้กลับเข้าสู่สถานะเดิม
เลขานุการและรัฐมนตรีต่างประเทศก็ลาออก บอกสัญญาณความล้มเหลวของรัฐบาลให้นานาชาติรับรู้อย่างโจ่งแจ้งที่สุด ตบหน้านายสมัคร สุนทรเวช อย่างไม่เกรงอกเกรงใจและโดยไม่รับฟังคำร้องขอใดๆ อีก พรรคร่วมก็เตรียมจะเผ่นหนี พรรคตัวเองก็แตกเป็นหลายเสี่ยง เพราะใครๆ ก็เห็นว่าขืนเป็นเช่นนี้ก็คงตายยกรัง จึงต่างคนต่างคิดอ่านเอาตัวรอดกันจ้าละหวั่น
ข้าราชการทั้งปวงมีหรือที่จะไม่รู้ความเป็นไป ดังนั้นไม่เพียงแต่จะพากันเข้าเกียร์ว่างกันแทบทั่วประเทศเท่านั้น จำนวนหนึ่งก็ปฏิบัติการอารยะขัดขืนโดยไม่ได้แยแสกันอีกต่อไป
ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินก็ไม่มีใครยอมรับนับถือและสั่งใครไม่ได้ โดยเฉพาะท่าทีจากผู้นำกองทัพที่เปิดเผยว่าได้แจ้งให้นายสมัคร สุนทรเวช ทราบว่าการสลายม็อบไม่ใช่เรื่องง่าย และจะยืนข้างประชาชนนั้น ก็ได้เผยความให้เห็นว่ามีการสั่งให้ฝ่ายทหารสลายม็อบ ยืมมือฝ่ายทหารไปเข่นฆ่าประชาชน แต่ฝ่ายทหารเขารู้ทันจึงไม่ยอมเป็นเครื่องมือ ไม่ยอมให้มือเปื้อนเลือด มิหนำซ้ำยังแสดงจุดยืนดังเดิมที่เคียงข้างประชาชนเสียอีก
เมื่อติดขัดดังนี้จึงเกิดกรณีคำสั่งพิเศษให้ระดมพลตำรวจเข้ามาจากทั่วประเทศเกือบ 20,000 คน ค่อยๆ ทยอยกันเข้ามากรุงเทพฯ พร้อมด้วยอาวุธเต็มอัตราศึก และเตรียมรถขนผู้ต้องหาจำนวนมากมาย
จำนวนกำลังพลของตำรวจและอาวุธที่พรั่งพร้อมเช่นนี้ ไหนเลยจะรอดหูรอดตาฝ่ายทหารไปได้ และใครๆ ก็ย่อมเห็นว่ามันอาจจะไม่ใช่แค่เตรียมการสลายม็อบเพียงอย่างเดียว แต่อาจจะเลยเถิดไปเป็นเรื่องอื่นก็ได้
เพราะเรื่องแบบนี้เคยมีบทเรียนมาแล้วเมื่อครั้งพลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์ คิดปฏิวัติด้วยกำลังตำรวจ หมายจะจู่โจมจับบุคคลสำคัญเสียก่อน แต่ก็ล้มเหลวและถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ปฏิวัติจนต้องหนีไปตายในต่างแดน
ตำรวจเขาก็คิดแบบตำรวจ ทหารเขาก็คิดแบบทหาร และย่อมกระจ่างในประวัติศาสตร์แบบนี้เป็นอย่างดี
ที่สำคัญคือปัญหาที่ไอ้โม่งสั่งเคลื่อนย้ายกำลังตำรวจจำนวนมากพร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์นั้นไม่ใช่คำสั่งของผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นผู้รักษาการตามประกาศภาวะฉุกเฉิน จึงเป็นการเคลื่อนกำลังนอกคำสั่งและภารกิจ
เมื่อประกอบกับเหตุการณ์ที่มีการส่งกำลังตำรวจจำนวนมากไปคุ้มกันบ้านของนายสมัคร สุนทรเวช และการสั่งการให้กรมประชาสัมพันธ์เตรียมวิทยุแถลงข่าวในเวลาเช้านั้นเป็นเรื่องที่ไม่ปกติอย่างยิ่ง
การเตรียมพร้อมขั้นสูงจึงเกิดขึ้นในค่ำคืนนั้น และในที่สุดกำลังตำรวจที่กรีฑาเคลื่อนพลเข้ามาก็ต้องล่าถอยถอนกำลังออกไป ในขณะที่มวลชนซึ่งกำลังระดมกันเข้ามาก็ถูกหยุดยั้งเอาไว้
เมื่อเป็นเช่นนี้นายสมัคร สุนทรเวช จึงเหมือนอยู่ในเมืองร้างจริงๆ จึงไม่มีอะไรดีไปกว่าการทำ “อุบายขงเบ้งตีขิมบนกำแพงเมืองร้าง” ด้วยประการฉะนี้.