ASTVผู้จัดการรายวัน-“อุตสาหกรรม”จีบบีวายดี ยักษ์ใหญ่จากจีนลงทุนตั้งโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าในไทย หลังกระแสโลกไปในทิศทางนั้น
นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างประสานงานในการดึงบริษัท บีวายดี จำกัด จากประเทศจีนเข้ามาลงทุนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าในไทย เนื่องจากมองอนาคตรถยนต์ทั่วโลกจะหันไปใช้ระบบไฟฟ้ามากขึ้น เพราะนอกเหนือจากจะทดแทนน้ำมันที่จะมีราคาสูงแล้ว ยังเป็นไปตามกระแสการลดโลกร้อนเพราะรถไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดมลพิษหากเทียบกับรถที่ใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ บีวายดี เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เติบโตจากธุรกิจทำแบตเตอร์รี่ในรถยนต์ของจีนที่ครองอันดับสูงสุดทั้งของจีนและของโลก พร้อมกันนี้ ยังมีการขยายธุรกิจสู่การผลิตรถยนต์ทำตลาดในจีนรองเป็นอันดับ 2 จากยี่ห้อเชอร์รี่ โดยเจ้าของธุรกิจเป็นคนจีนที่รวยสุดและล่าสุดยังมีการขายหุ้นให้กับวอร์เรนท์ บัฟเฟต ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทอีกอย่างมาก แต่ที่น่าสนใจคือล่าสุดบีวายดีกำลังทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ต่อยอดธุรกิจแบตเตอรี่ที่ชาร์จครั้งเดียวก็สามารถวิ่งได้ 360-400 กิเมตรต่อชั่วโมง และชาร์จแบตเตอร์รี่ใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น
“เขาพร้อมทั้งเทคโนโลยี และเงินทุน แน่นอนว่าเขามองอนาคตที่จะหาตลาดอื่นๆ อยู่ ส่วนไทยก็ต้องเตรียมตัวไว้ เพราะเทคโลยีสมัยนี้เร็วมากและไทยถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์อยู่แล้วจึงน่าจะมีศักยภาพที่จะเข้ามาลงทุน”นายสรยุทธกล่าว
นายสรยุทธกล่าวว่า กระทรวงฯ ยังอยู่ระหว่างเจรจากับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท จอห์นสัน อิเล็กทริค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะมอเตอร์จากฮ่องกงที่กำลังสนใจจะย้ายฐานการผลิตมูลค่านับหมื่นล้านบาท เพื่อป้อนมอเตอร์ขนาดเล็กในอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งขณะนี้มองประเทศไทย เวียดนาม และอินเดียอยู่
“เขาเคยมาลงทุนที่ไทยแล้วเมื่อ 24 ปีที่แล้วที่สมุทรปราการ แต่มีปัญหากับชุมชนจึงย้ายฐานออกไป แต่ขณะนี้เขาเองกำลังทบทวนอยู่ เพราะติดปัญหาเรื่องค่าแรงในจีนและต้องการย้ายมาใกล้ฐานผลิตรถยนต์มากขึ้นเพื่อลดต้นทุนและไทยเองก็เป็นฐานการผลิตรถยนต์อยู่แล้วจึงมีศักยภาพที่ดีจึงขอให้เขารีบตัดสินใจในสิ้นปีนี้เพราะจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษที่เป็นปีแห่งการลงทุน” นายสรยุทธ์กล่าว
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า อนาคตอีก 5 ปีนั้น เป็นตลาดของรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น แต่คิดว่าคงไม่สามารถทดแทนตลาดรถยนต์ที่ใช้น้ำมันได้ทั้งหมด เพราะการพัฒนาระบบแบตเตอร์รี่น่าจะต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากต้นทุนการผลิตแบตเตอร์รี่ลิเธียมค่อนข้างสูง การวิจัยพัฒนาก็ลงทุนค่อนข้างมาก
นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า กระทรวงฯ อยู่ระหว่างประสานงานในการดึงบริษัท บีวายดี จำกัด จากประเทศจีนเข้ามาลงทุนเกี่ยวกับอุตสาหกรรมรถไฟฟ้าในไทย เนื่องจากมองอนาคตรถยนต์ทั่วโลกจะหันไปใช้ระบบไฟฟ้ามากขึ้น เพราะนอกเหนือจากจะทดแทนน้ำมันที่จะมีราคาสูงแล้ว ยังเป็นไปตามกระแสการลดโลกร้อนเพราะรถไฟฟ้าไม่ก่อให้เกิดมลพิษหากเทียบกับรถที่ใช้น้ำมัน
ทั้งนี้ บีวายดี เป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ที่เติบโตจากธุรกิจทำแบตเตอร์รี่ในรถยนต์ของจีนที่ครองอันดับสูงสุดทั้งของจีนและของโลก พร้อมกันนี้ ยังมีการขยายธุรกิจสู่การผลิตรถยนต์ทำตลาดในจีนรองเป็นอันดับ 2 จากยี่ห้อเชอร์รี่ โดยเจ้าของธุรกิจเป็นคนจีนที่รวยสุดและล่าสุดยังมีการขายหุ้นให้กับวอร์เรนท์ บัฟเฟต ที่สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับบริษัทอีกอย่างมาก แต่ที่น่าสนใจคือล่าสุดบีวายดีกำลังทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ต่อยอดธุรกิจแบตเตอรี่ที่ชาร์จครั้งเดียวก็สามารถวิ่งได้ 360-400 กิเมตรต่อชั่วโมง และชาร์จแบตเตอร์รี่ใช้เวลาเพียง 20-30 นาทีเท่านั้น
“เขาพร้อมทั้งเทคโนโลยี และเงินทุน แน่นอนว่าเขามองอนาคตที่จะหาตลาดอื่นๆ อยู่ ส่วนไทยก็ต้องเตรียมตัวไว้ เพราะเทคโลยีสมัยนี้เร็วมากและไทยถือเป็นฐานการผลิตรถยนต์อยู่แล้วจึงน่าจะมีศักยภาพที่จะเข้ามาลงทุน”นายสรยุทธกล่าว
นายสรยุทธกล่าวว่า กระทรวงฯ ยังอยู่ระหว่างเจรจากับผู้บริหารระดับสูงของบริษัท จอห์นสัน อิเล็กทริค อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์โดยเฉพาะมอเตอร์จากฮ่องกงที่กำลังสนใจจะย้ายฐานการผลิตมูลค่านับหมื่นล้านบาท เพื่อป้อนมอเตอร์ขนาดเล็กในอุตสาหกรรมยานยนต์ซึ่งขณะนี้มองประเทศไทย เวียดนาม และอินเดียอยู่
“เขาเคยมาลงทุนที่ไทยแล้วเมื่อ 24 ปีที่แล้วที่สมุทรปราการ แต่มีปัญหากับชุมชนจึงย้ายฐานออกไป แต่ขณะนี้เขาเองกำลังทบทวนอยู่ เพราะติดปัญหาเรื่องค่าแรงในจีนและต้องการย้ายมาใกล้ฐานผลิตรถยนต์มากขึ้นเพื่อลดต้นทุนและไทยเองก็เป็นฐานการผลิตรถยนต์อยู่แล้วจึงมีศักยภาพที่ดีจึงขอให้เขารีบตัดสินใจในสิ้นปีนี้เพราะจะได้รับสิทธิประโยชน์พิเศษที่เป็นปีแห่งการลงทุน” นายสรยุทธ์กล่าว
นายวัลลภ เตียศิริ ผู้อำนวยการสถาบันยานยนต์ กล่าวว่า อนาคตอีก 5 ปีนั้น เป็นตลาดของรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าเข้ามาเพิ่มสัดส่วนมากขึ้น แต่คิดว่าคงไม่สามารถทดแทนตลาดรถยนต์ที่ใช้น้ำมันได้ทั้งหมด เพราะการพัฒนาระบบแบตเตอร์รี่น่าจะต้องอาศัยเวลาอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากต้นทุนการผลิตแบตเตอร์รี่ลิเธียมค่อนข้างสูง การวิจัยพัฒนาก็ลงทุนค่อนข้างมาก