xs
xsm
sm
md
lg

“ทักษิณ” อีกแล้วครับท่าน!

เผยแพร่:   โดย: แสงแดด

ตลอดระยะเวลาช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา “ความตึงเครียด” ระหว่าง “ไทย-กัมพูชา” เป็นประเด็นร้อนที่ทำให้ “อุณหภูมิความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ” เกิดอาการรวน จนน่าวิตกกังวลว่าอาจจะบานปลายกลายเป็น “ชนวนปะทุ” และอาจเลยเถิดถึงขั้น “ปะทะ!” กัน

ต้องขออนุญาตฟันธงแบบไม่อ้อมค้อมตรงไปตรงมาว่า “ต้นเหตุ” ของปัญหาความตึงเครียดระหว่างสองประเทศนี้ เกิดจากบุคคลคนเดียวที่ชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง “บงการ-บัญชา” ให้ทั้งรัฐบาลกัมพูชาและสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชา เดินตาม “คำสั่ง-ชักใย” อยู่เบื้องหลังของคุณทักษิณ!

ไม่ว่าจะเป็นการแต่งตั้ง “พ่อใหญ่จิ๋ว : พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ” มาเป็นประธานพรรคเพื่อไทย พร้อมกำหนด “ยุทธศาสตร์ปิดล้อมประเทศไทย” ด้วยการให้ พล.อ.ชวลิต เดินทางไปพบสมเด็จฮุนเซน ก่อนเดินทางมาประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่ชะอำ-หัวหินเพียงหนึ่งวัน จนก่อให้เกิด “ความสัมพันธ์ร้าว” ระหว่างรัฐบาลไทยกับกัมพูชา จนเดินสายจะไปเยือนประเทศมาเลเซียและพม่า

แต่ที่รุนแรงและก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในหมู่คนไทยด้วยกัน คือ “แนวคิดนครปัตตานี” จนต้องเรียกว่า ทำให้ พล.อ.ชวลิต กลายเป็น “ตัวตลก” และ “เสียรังวัด!” เนื่องด้วยไม่มีใครที่ “ตอบรับเห็นด้วย” กับแนวคิดนี้ เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิด “ตกหลุมพราง-ติดกับดัก-เข้าทาง” ของ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ที่เฝ้ารอคอยโอกาสเช่นนี้อยู่แล้ว และในที่สุด “รัฐปัตตานี” ก็จะเกิดขึ้นจริง!

ถามว่า “เจตนารมณ์” ของ “พ่อใหญ่จิ๋ว” วางแผนไว้เช่นนั้นหรือไม่ ในการเดินหน้าไปสู่ “ขบวนการแบ่งแยกดินแดน” ต้องตอบว่า “ไม่น่าเป็นเช่นนั้น” เพียงแต่ “รับงาน-งานเข้า” จากใบสั่งของคุณทักษิณให้ดำเนินการเช่นนั้น

จริงๆ แล้ว เพื่อความเป็นธรรม พล.อ.ชวลิต มุ่งมาดในการที่จะหาหนทางเพื่อก่อให้เกิดความสงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้เท่านั้น ด้วยการเสนอ “การตั้งนคร” ขึ้นเหมือน “กรุงเทพมหานครและเมืองพัทยา” ที่สามารถปกครองและบริหารกันเองได้ แต่ด้วยบริบท (สภาพแวดล้อมทางสังคม การเมือง เศรษฐกิจ) แล้วน่าเชื่อว่าจะนำไปสู่ “ความขัดแย้ง” ที่สามารถคืบหน้าไปสู่ “การแบ่งแยกดินแดน” จนเป็น “รัฐอิสระ” ได้เรียกว่า “เข้าทาง!” และ “สมประสงค์” ของขบวนการต่างๆ ทางภาคใต้ และไม่สำคัญเท่ากับ ประเทศเพื่อนบ้านตอนใต้ของประเทศไทย

อย่างไรก็ตาม พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ นั้น มี “ความรอบรู้และประสบการณ์” เพียบพร้อมน่าจะ “อ่านทะลุ-อ่านขาด” เช่นเดียวกันว่า “แนวคิด” เช่นนี้ จะก่อให้เกิดปัญหามากกว่ายุติปัญหาในที่สุด เพียงแต่อาจจะปรารถนาแสดงพลังให้ “นายใหญ่” ได้เห็นเท่านั้น เพื่อได้รับการตอบสนองที่งามพอสมควร และเป็นไปตาม “ยุทธศาสตร์ปิดล้อมประเทศไทย” โดยไม่คำนึงถึงความเสียหายของชาติบ้านเมือง

สืบเนื่องจาก “ความตึงเครียด” ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่ต่อยอดมาจากการเดินทางไปเยี่ยมสมเด็จฮุนเซน ของ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ กรณีการสร้างบ้านพักให้คุณทักษิณแล้ว ยังเลยเถิดมาถึง การที่สมเด็จฮุนเซนตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็น “ที่ปรึกษา-กุนซือ” ประจำตัวนายกรัฐมนตรี แถมด้วยการโปรดเกล้าฯ จากพระบาทสมเด็จพระบรมนาถนโรดม สีหมุนี ให้เป็น “ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ” ของรัฐบาลกัมพูชา

เท่านั้นยังไม่พอ จากการสัมภาษณ์ของสมเด็จฮุนเซนและรองนายกรัฐมนตรีของกัมพูชาที่ระบุว่า ถ้า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เดินทางมาพำนักอยู่ในกัมพูชา ก็จะอำนวยความสะดวกและจะไม่ส่งตัวกลับมายังประเทศไทยอีกต่างหาก

ว่ากันตามความเป็นจริงแล้ว ทั้งรัฐบาลและนายกรัฐมนตรี สมเด็จฮุนเซน จะตั้งใครเป็น “ที่ปรึกษา” นั้นถือว่าเป็น “กิจกรรมภายใน” ของประเทศกัมพูชา คงไม่มีใครไปตำหนิ และ/หรือ “แทรกแซง” ได้ เพียงแต่ว่า ด้วยความเป็นจริงแล้ว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็น “ผู้ต้องหา” ที่ถูกดำเนินคดีและผ่านกระบวนการยุติธรรมไทย ด้วยการพิพากษาให้ “ถูกจำคุก!” แต่คุณทักษิณ ปัจจุบันได้กลายเป็น “ผู้หนีคุก” ถือได้ว่าเป็น “อาชญากร”

เพราะฉะนั้น ในเมื่อคุณทักษิณเป็น “อาชญากร-หนีคุก” ตามสถานะสากลเช่นนี้ ถามว่า สมเด็จฮุนเซนและรัฐบาลกัมพูชาตระหนักดีถึงสถานะของคุณทักษิณ แต่ก็ยังแต่งตั้งคุณทักษิณเป็นกุนซือด้านเศรษฐกิจ โดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธไมตรีของทั้งสองประเทศ พูดภาษาชาวบ้านก็หมายความว่า “ไม่แคร์-ไม่แยแส” หรือกล่าวอย่างเลวร้ายว่า “ไม่เห็นหัวประเทศไทย!”

นอกเหนือจากนั้น ยังปฏิเสธที่จะส่งตัวคุณทักษิณ ชินวัตร มาดำเนินคดียังประเทศไทย เนื่องด้วยการเป็น “ผู้ร้ายข้ามแดน” ของคุณทักษิณ เรียกว่า “ยอมตัดขาด” ในทุกกรณี ทุกประเด็นกับประเทศไทย หลังจากที่ทางรัฐบาลไทยได้ส่งจดหมายขอตัวอย่างเป็นทางการต่อรัฐบาลกัมพูชา

เราต้องยอมรับว่า ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา อาจถึงขั้นขาดสะบั้นก็เป็นได้ โดยสาเหตุเกิดจาก “ผลประโยชน์ส่วนตัว” ระหว่างฮุนเซนกับคุณทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การลงทุน” ที่น่าเชื่อว่า มหาศาล กรณี “ก๊าซ-น้ำมัน” ในอาณาบริเวณพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทย ที่ได้มี “การบันทึกตกลงความเข้าใจ (MOU)” เมื่อพ.ศ. 2544 ช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใหม่ๆ

ประเด็นที่เกิดความวิตกกังวลกันอย่างกว้างขวาง ทั้งในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับเวทีโลก กับกรณีปัญหาความสัมพันธ์ไทยกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเป็น “สมาชิกประชาคมอาเซียน” ด้วยกันที่มี “พันธกรณี” พร้อม “กรอบข้อตกลง” ที่ได้มีการลงนามร่วมกันจากสมาชิก 10 ประเทศ เพราะถ้าเกิดความสัมพันธ์มีอันเป็นไปจะก่อให้เกิด “ความเป็นโมฆะ” หรือไม่กับ “กรอบข้อตกลง” ต่างๆ ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว

ปัญหากรณีดังกล่าวข้างต้น ก็ต้องย้อนกลับไปสู่สภาพปัญหาที่แท้จริง ที่เกิดจาก “การคำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตัว” มากกว่า “ผลประโยชน์ส่วนรวม” ของบุคคลทั้งสอง ที่ดำเนินการมาโดยตลอด และนับวันจะยิ่งทวีคูณความแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น

จากการปฏิเสธของรัฐบาลกัมพูชาที่ไม่เคารพต่อ “กฎหมายระหว่างประเทศ” และ “กระบวนการยุติธรรมไทย” จะพัฒนาไปสู่ “การทบทวน” ความสัมพันธ์ระหว่างไทย-กัมพูชา ที่เข้มข้นมากขึ้น จนน่าหวั่นเกรงว่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างประชาชนของทั้งสองประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ด้านเศรษฐกิจ” ที่ชาวไทยและชาวกัมพูชาต่างเดินทางเข้าออกทำมาค้าขาย พร้อมทั้งการลงทุนของคนไทยในกัมพูชา

ทั้งนี้ก็หวังว่า สถานการณ์จะไม่บานปลายสู่การปะทะกัน ระหว่างฝ่ายความมั่นคงทั้งสองฝ่าย หรือเกิดการเผาสถานทูตไทยใจกลางกรุงพนมเปญ เมื่อปี 2546 ที่นับว่ารุนแรงมาก ส่งผลกระทบกระเทือนจิตใจคนไทยเป็นอย่างมาก

และที่ส่งผลกระทบกระเทือนต่อจิตใจคนไทย นอกเหนือจากสถานการณ์ปัญหาข้างต้นทั้งหมดแล้ว ล่าสุดจากบทสัมภาษณ์ของคุณทักษิณ ชินวัตร ใน “ไทมส์ออนไลน์” เกี่ยวกับ “ในหลวง” และสถานะของคุณทักษิณกับการเมืองไทย ที่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างกว้างขวาง ในกรณีของ “หมิ่นเหม่-จาบจ้วงสถาบันฯ” ที่ทุกคนคงได้อ่านบทสัมภาษณ์อย่างละเอียด ก็ต้องบอกว่า “มิบังควร” ที่จะไปแสดงความคิดเห็นเช่นนั้น

อย่างไรก็ตาม คุณทักษิณ ได้ออกมาปฏิเสธ พร้อมตำหนินิตยสารดังกล่าวว่า “บิดเบือน” ในการนำเสนอบทสัมภาษณ์ ว่า “มิได้กล่าวเช่นนั้น!” แต่จริงๆ แล้ว จากการอ่านบทสัมภาษณ์แล้ว ก็ต้องเรียนว่า “มิบังควร” ที่จะแสดงความคิดเห็นต่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์” มากมายเพียงนั้น

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มักมีปัญหาแทบทุกครั้งกับ “การพูด” ที่ต้องบอกตามตรงว่า “โอษฐภัย!” มาโดยตลอด ไม่ว่าจะเกิดจาก “ความเชื่อมั่นตนเองสูง” หรือ “ไม่แคร์แยเสความรู้สึกใคร!”

และทุกครั้ง เมื่อให้สัมภาษณ์เสร็จก็จะปฏิเสธ “คำพูด” ของตนเองทุกครั้งไป และแน่นอน “โทษสื่อฯ” ตลอดว่า “บิดเบือน” พูดง่ายๆ หมายความว่า “ไม่เคยรับความจริง” และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง “ข้าฯ ถูกเสมอ!”

ปัญหาทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นกับชาติบ้านเมืองมาโดยตลอดนั้น ความจริงที่ต้องยอมรับว่า “เกิดจากบุคคลเพียงคนเดียว!” ที่ไม่ยอมเลิกรา แต่ปากก็บอกว่าเลิกราจากการสัมภาษณ์ล่าสุด แต่ในทางกลับกัน พฤติการณ์และพฤติกรรมที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลานั้น “สวนทาง” กับความเป็นจริง

“ความปั่นป่วน-ความแตกแยก” จนเลยเถิดถึง “ยุทธศาสตร์ปิดล้อมประเทศไทย” ที่มีเป้าหมายให้ประเทศไทยเกิด “ข้อขัดแย้ง” กับประเทศเพื่อนบ้านรอบด้านเพื่อเพียง “ระบายความแค้น” และแน่นอน “ทำลายคู่ต่อสู้ทางการเมือง”

ทั้งนี้ ผลกระทบที่มีต่อ “ประเทศชาติ” และ “ประชาชนคนไทย” ที่โดนอานิสงส์ไปด้วย รู้สึกว่า “ไม่เคยแคร์!”
กำลังโหลดความคิดเห็น