ถ้ามองโลกในแง่ดีก็ดูเหมือนว่า การไล่ล่าหาตัวมือบึ้มเอ็ม 79 หลังเวทีการจัดงาน “รวมพลังแผ่นดิน พิทักษ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ - Figth for Thailand, for Our King” ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย เป็นเจ้าภาพ เมื่อวันที่ 15 พ.ย. 2552 ที่ผ่านมา และทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บหลายราย...
น่าจะมีความหวังอยู่ไม่น้อย
เหตุผลหลัก เพราะทั้งรักษาการ ผบ.ตร.พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ และหน่วยงานการข่าวต่างๆ มีข้อมูลเบื้องต้นตรงกันว่าจะมีการก่อกวนจากบุคคลบางกลุ่ม
หน่วยข่าวบางแห่งมีหลักฐานถึงขนาดว่า กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหญ่บางพรรค ประกาศท่าทีกันเป็นการภายในว่าจะต้องป่วนการชุมนุมเพื่อกลบเกลื่อนความยิ่งใหญ่ของการชุมนุม
ท่านผู้อ่านย่อมมองเห็นได้ชัดว่า เสียงระเบิดกึกก้องของเอ็ม 79 ได้เปลี่ยนพาดหัวข่าวของนสพ.ในวันรุ่งขึ้นได้อย่างชงัดนัก ภาพความยิ่งใหญ่งดงามของพี่น้องประชาชนหลายหมื่นคนหรือร่วมแสนคน เนื้อหา-คำประกาศขององค์กรต่างๆ กลายเป็นประเด็นรอง ประเด็นเล็กไปเลย
ไม่แต่เท่านั้นจากการเสนอข่าวในทางจิตวิทยาอาจเป็นการตอกย้ำว่า...พันธมิตรฯจัดชุมนุมเมื่อไหร่ เอ็ม 79 จะตามไปราวีเมื่อนั้น...!!??
ทั้งๆ ที่ไอ้คนสารเลวเหล่านั้นก็รู้ดีว่า ต่อให้ขนเอ็ม 79 มาสักร้อยลูกพันลูกก็ไม่สามารถหยุดพันธมิตรฯ หยุดพลังรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ได้...
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์บ้านเมืองในรอบปีสองปีมานี้ การมองโลกในแง่ดีมักจะผิดพลาดและทำให้เราผิดหวังซ้ำซาก...
คดียิงเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุม 193 วัน ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2551 ยังไม่สามารถจับมือใครดมได้
คดีถล่มเอ็ม 79 และกระสุนสังหารใส่สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อ17 เม.ย. 2552 ทั้งที่มีหลักฐานหลายอย่างและมีตำรวจมือดีอย่างพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ลงไปทำคดีเองก็ทำได้แค่ออกหมายจับผู้ต้องหาสองคน แต่ก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีได้..
แล้วเราจะคาดหวังคดีถล่มเอ็ม 79 เมื่อค่ำคืนวันที่ 15 พ.ย. 2552 ได้ล่ะหรือ?
เราจะยังคาดหวังจากรัฐบาลที่ยังแกะตัวเองไม่ออกจากกับดัก “ไม่มีเขา ไม่มีเรา” ได้อีกหรือ?
ผมเรียนตรงๆ ว่า แม้โดยส่วนตัวจะเอาใจช่วยท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มองท่านด้วยความเข้าใจว่ามีภารกิจที่ต้องทำมาก มีข้อจำกัดบางด้านอยู่พอประมาณโดยเฉพาะข้อจำกัดในงานด้านความมั่นคง แต่วันนี้ต้องเรียนตรงๆ เช่นกันว่า...เวลาและความเข้าใจที่มอบให้ท่านมันก็พอสมควรแล้ว...
คดีถล่มเอ็ม 79 เมื่อคืนวันที่ 15 พ.ย. ควรจะเป็นคดีชี้ชะตาว่าท่านควรจะได้รับความเห็นใจ ความเข้าใจอีกต่อไปหรือไม่...
ครับ นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องเปรี้ยงปร้างในคดีนี้ หาไม่แล้วมันจะกลายเป็นชนวนเหตุทำให้ผู้คนที่รักบ้านรักเมือง รักสถาบันสูงสุดของชาติจำนวนมหาศาลสูญเสียศรัทธาที่มีต่อตัวท่านไปอย่างน่าเสียดาย
คดีนี้ถ้าเอาจริงเอาจังมันทำได้ไม่ยาก ดีไม่ดีหากสืบสาวราวเรื่องจนได้ตัวมือปฏิบัติการก็สามารถแกะรอยไปยังแก๊งก๊วนที่อยู่เบื้องหลังได้ และหลังจากนั้นอาจขยายผลไปสู่คดีอื่นๆ ได้อีก รวมทั้งคดียิงถล่มประชาชนที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2551
คดีถล่มเอ็ม 79 เมื่อคืนวันที่ 15 พ.ย. หากมองในแง่มุมทางการเมืองเฉพาะหน้า ถามว่าใครได้ประโยชน์?
ก็พอจะตอบได้ว่า
1) พรรคเพื่อไทยและแนวรบของคนเสื้อแดง ที่กำลังปลุกปลอบกองกำลังของตัวเองให้ฮึกห้าวเหิมหาญก่อนทำศึกใหญ่กับรัฐบาลในปลายเดือนพ.ย.นี้
2) รัฐบาลโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามประคับประคองตัวเองว่าไม่เห็นด้วยหรือเกี่ยวข้องกับความรุนแรงใดๆ
3) พรรคภูมิใจไทย (รวมทั้งกลุ่มสีเขียวที่เรียกกันว่ากลุ่มอำนาจใหม่) ที่กำลังใช้งบประมาณ 150 ล้านเป็นโต้โผจัดงานเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2552 ให้ยิ่งใหญ่อลังการซึ่งแน่นอนว่างานนี้จะต้องใช้กลไกอำนาจรัฐทั้งปวงดูแลการจัดงานให้แล้วเสร็จด้วยความเรียบร้อยปลอดภัยไร้เอ็ม 79 เพื่อตอกย้ำให้สังคมเห็นว่า ต่างจากการจัดงานของพันธมิตรฯ
หยิบยกแง่มุมมองเหล่านี้มานำเสนอก็เพียงเพื่อจะบอกว่า ถ้าบ้านเมืองเรา โดยเฉพาะผู้มีอำนาจ ผู้ถือครองอำนาจรัฐยังคิดกันอยู่ในกรอบแคบๆ อย่างนี้ ก็ยากที่เราๆ ท่านๆ จะฝากความหวัง ฝากผีฝากไข้ไว้ได้
และที่สำคัญยากที่จะจัดการรับมือกับเชื้อโรคร้ายของระบอบทักษิณที่วันนี้กำลัง “ดื้อยา” สุดๆ ได้
พูดก็พูดเถอะ ถึงวันนี้เราก็พอจะสรุปกันได้แล้วว่า เหตุที่มัน “ดื้อยา” สุดๆ ก็เพราะรัฐบาล ผู้มีอำนาจประเมินสถานการณ์และดำเนินการผิดพลาดตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา...
ด้านหนึ่งเพราะอาจติดกับดัก “ไม่มีเขา ไม่มีเรา” ไม่อยากทำอะไรมากเพราะเกรงจะถูกมองว่าเอาใจหรือเอียงข้างพันธมิตรฯ ด้านหนึ่งอาจเชื่อว่าแนวทางสมานฉันท์ (แบบไร้ทิศทาง) อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และอีกด้านหนึ่งอาจเชื่อว่าผลงานของรัฐบาลอาจพลิกดุลอำนาจ-สมการการเมือง หยุดปัญหาต่างๆ ได้
แต่สุดท้ายเดือนที่ 11 ของรัฐบาล กำลังกลายเป็นเดือนที่ทำให้คนเสื้อแดง เครือข่ายระบอบทักษิณประกาศทำสงครามแตกหัก ล้มรัฐบาล ในขณะที่พันธมิตรฯ และเครือข่ายก็ถูกปล่อยให้เอ็ม 79 อาละวาดสาดใส่ต่อไป...
ผมเพิ่งให้สัมภาษณ์และเขียนไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทำนองว่า ถ้าคนเสื้อแดงระดมพลมาได้สักแค่ 5 แสน หรือได้ 1 ล้านคนตามเป้าตามราคาคุย บ้านเมืองก็ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวของม
แต่จริงๆ แล้วผมไม่เชื่อ (แม้กระทั่งวันนี้) ว่าพวกเขาจะทำได้
ถึงกระนั้น...วันนี้ก็ต้องพูดต่ออีกนิดว่า แม้อาจจะไม่ได้ตามเป้าตามราคาคุยก็อย่าได้ประมาทสถานการณ์เป็นอันขาด
เอ็ม 79 อาจจะหมดหน้าที่ถล่มพันธมิตรฯ แต่บ่ายหน้ามุ่งไปถล่มเป้าหมายอื่น รวมทั้งรัฐบาล...
เอ็ม 79 ลูกเดิมชุดเดิมที่รัฐบาลปล่อยให้มัน “ดื้อยา” และเหิมเกริมมาตั้งแต่เดือนแรกของรัฐบาลและหลังเมษาเลือดนั่นแหละ
รีบปิดคดีเอ็ม 79 เมื่อ 15 พ.ย.ให้ได้นะครับ ท่านนายกฯ เราจะได้ร่วมด้วยช่วยกันหยุดเอ็ม 79 เดือนนี้และเดือนหน้าให้ได้
แต่ถ้าท่านจะยุบสภาฯ หนีจลาจล นองเลือดก็สุดแท้แต่...
ยังไงๆ ก็อดที่จะเอาใจช่วยกันไม่ได้!!
น่าจะมีความหวังอยู่ไม่น้อย
เหตุผลหลัก เพราะทั้งรักษาการ ผบ.ตร.พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ และหน่วยงานการข่าวต่างๆ มีข้อมูลเบื้องต้นตรงกันว่าจะมีการก่อกวนจากบุคคลบางกลุ่ม
หน่วยข่าวบางแห่งมีหลักฐานถึงขนาดว่า กรรมการบริหารพรรคการเมืองใหญ่บางพรรค ประกาศท่าทีกันเป็นการภายในว่าจะต้องป่วนการชุมนุมเพื่อกลบเกลื่อนความยิ่งใหญ่ของการชุมนุม
ท่านผู้อ่านย่อมมองเห็นได้ชัดว่า เสียงระเบิดกึกก้องของเอ็ม 79 ได้เปลี่ยนพาดหัวข่าวของนสพ.ในวันรุ่งขึ้นได้อย่างชงัดนัก ภาพความยิ่งใหญ่งดงามของพี่น้องประชาชนหลายหมื่นคนหรือร่วมแสนคน เนื้อหา-คำประกาศขององค์กรต่างๆ กลายเป็นประเด็นรอง ประเด็นเล็กไปเลย
ไม่แต่เท่านั้นจากการเสนอข่าวในทางจิตวิทยาอาจเป็นการตอกย้ำว่า...พันธมิตรฯจัดชุมนุมเมื่อไหร่ เอ็ม 79 จะตามไปราวีเมื่อนั้น...!!??
ทั้งๆ ที่ไอ้คนสารเลวเหล่านั้นก็รู้ดีว่า ต่อให้ขนเอ็ม 79 มาสักร้อยลูกพันลูกก็ไม่สามารถหยุดพันธมิตรฯ หยุดพลังรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ได้...
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์บ้านเมืองในรอบปีสองปีมานี้ การมองโลกในแง่ดีมักจะผิดพลาดและทำให้เราผิดหวังซ้ำซาก...
คดียิงเอ็ม 79 ใส่ผู้ชุมนุม 193 วัน ที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2551 ยังไม่สามารถจับมือใครดมได้
คดีถล่มเอ็ม 79 และกระสุนสังหารใส่สนธิ ลิ้มทองกุล เมื่อ17 เม.ย. 2552 ทั้งที่มีหลักฐานหลายอย่างและมีตำรวจมือดีอย่างพล.ต.อ.ธานี สมบูรณ์ทรัพย์ ลงไปทำคดีเองก็ทำได้แค่ออกหมายจับผู้ต้องหาสองคน แต่ก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวมาดำเนินคดีได้..
แล้วเราจะคาดหวังคดีถล่มเอ็ม 79 เมื่อค่ำคืนวันที่ 15 พ.ย. 2552 ได้ล่ะหรือ?
เราจะยังคาดหวังจากรัฐบาลที่ยังแกะตัวเองไม่ออกจากกับดัก “ไม่มีเขา ไม่มีเรา” ได้อีกหรือ?
ผมเรียนตรงๆ ว่า แม้โดยส่วนตัวจะเอาใจช่วยท่านนายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ มองท่านด้วยความเข้าใจว่ามีภารกิจที่ต้องทำมาก มีข้อจำกัดบางด้านอยู่พอประมาณโดยเฉพาะข้อจำกัดในงานด้านความมั่นคง แต่วันนี้ต้องเรียนตรงๆ เช่นกันว่า...เวลาและความเข้าใจที่มอบให้ท่านมันก็พอสมควรแล้ว...
คดีถล่มเอ็ม 79 เมื่อคืนวันที่ 15 พ.ย. ควรจะเป็นคดีชี้ชะตาว่าท่านควรจะได้รับความเห็นใจ ความเข้าใจอีกต่อไปหรือไม่...
ครับ นายกฯ อภิสิทธิ์ต้องเปรี้ยงปร้างในคดีนี้ หาไม่แล้วมันจะกลายเป็นชนวนเหตุทำให้ผู้คนที่รักบ้านรักเมือง รักสถาบันสูงสุดของชาติจำนวนมหาศาลสูญเสียศรัทธาที่มีต่อตัวท่านไปอย่างน่าเสียดาย
คดีนี้ถ้าเอาจริงเอาจังมันทำได้ไม่ยาก ดีไม่ดีหากสืบสาวราวเรื่องจนได้ตัวมือปฏิบัติการก็สามารถแกะรอยไปยังแก๊งก๊วนที่อยู่เบื้องหลังได้ และหลังจากนั้นอาจขยายผลไปสู่คดีอื่นๆ ได้อีก รวมทั้งคดียิงถล่มประชาชนที่ทำเนียบรัฐบาลเมื่อปี 2551
คดีถล่มเอ็ม 79 เมื่อคืนวันที่ 15 พ.ย. หากมองในแง่มุมทางการเมืองเฉพาะหน้า ถามว่าใครได้ประโยชน์?
ก็พอจะตอบได้ว่า
1) พรรคเพื่อไทยและแนวรบของคนเสื้อแดง ที่กำลังปลุกปลอบกองกำลังของตัวเองให้ฮึกห้าวเหิมหาญก่อนทำศึกใหญ่กับรัฐบาลในปลายเดือนพ.ย.นี้
2) รัฐบาลโดยเฉพาะพรรคประชาธิปัตย์ ที่พยายามประคับประคองตัวเองว่าไม่เห็นด้วยหรือเกี่ยวข้องกับความรุนแรงใดๆ
3) พรรคภูมิใจไทย (รวมทั้งกลุ่มสีเขียวที่เรียกกันว่ากลุ่มอำนาจใหม่) ที่กำลังใช้งบประมาณ 150 ล้านเป็นโต้โผจัดงานเฉลิมฉลองวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค. 2552 ให้ยิ่งใหญ่อลังการซึ่งแน่นอนว่างานนี้จะต้องใช้กลไกอำนาจรัฐทั้งปวงดูแลการจัดงานให้แล้วเสร็จด้วยความเรียบร้อยปลอดภัยไร้เอ็ม 79 เพื่อตอกย้ำให้สังคมเห็นว่า ต่างจากการจัดงานของพันธมิตรฯ
หยิบยกแง่มุมมองเหล่านี้มานำเสนอก็เพียงเพื่อจะบอกว่า ถ้าบ้านเมืองเรา โดยเฉพาะผู้มีอำนาจ ผู้ถือครองอำนาจรัฐยังคิดกันอยู่ในกรอบแคบๆ อย่างนี้ ก็ยากที่เราๆ ท่านๆ จะฝากความหวัง ฝากผีฝากไข้ไว้ได้
และที่สำคัญยากที่จะจัดการรับมือกับเชื้อโรคร้ายของระบอบทักษิณที่วันนี้กำลัง “ดื้อยา” สุดๆ ได้
พูดก็พูดเถอะ ถึงวันนี้เราก็พอจะสรุปกันได้แล้วว่า เหตุที่มัน “ดื้อยา” สุดๆ ก็เพราะรัฐบาล ผู้มีอำนาจประเมินสถานการณ์และดำเนินการผิดพลาดตลอด 11 เดือนที่ผ่านมา...
ด้านหนึ่งเพราะอาจติดกับดัก “ไม่มีเขา ไม่มีเรา” ไม่อยากทำอะไรมากเพราะเกรงจะถูกมองว่าเอาใจหรือเอียงข้างพันธมิตรฯ ด้านหนึ่งอาจเชื่อว่าแนวทางสมานฉันท์ (แบบไร้ทิศทาง) อาจทำให้สถานการณ์ดีขึ้น และอีกด้านหนึ่งอาจเชื่อว่าผลงานของรัฐบาลอาจพลิกดุลอำนาจ-สมการการเมือง หยุดปัญหาต่างๆ ได้
แต่สุดท้ายเดือนที่ 11 ของรัฐบาล กำลังกลายเป็นเดือนที่ทำให้คนเสื้อแดง เครือข่ายระบอบทักษิณประกาศทำสงครามแตกหัก ล้มรัฐบาล ในขณะที่พันธมิตรฯ และเครือข่ายก็ถูกปล่อยให้เอ็ม 79 อาละวาดสาดใส่ต่อไป...
ผมเพิ่งให้สัมภาษณ์และเขียนไปเมื่อเร็วๆ นี้ ทำนองว่า ถ้าคนเสื้อแดงระดมพลมาได้สักแค่ 5 แสน หรือได้ 1 ล้านคนตามเป้าตามราคาคุย บ้านเมืองก็ต้องเปลี่ยนแปลงอย่างใดอย่างหนึ่ง อันนี้เป็นความเชื่อส่วนตัวของม
แต่จริงๆ แล้วผมไม่เชื่อ (แม้กระทั่งวันนี้) ว่าพวกเขาจะทำได้
ถึงกระนั้น...วันนี้ก็ต้องพูดต่ออีกนิดว่า แม้อาจจะไม่ได้ตามเป้าตามราคาคุยก็อย่าได้ประมาทสถานการณ์เป็นอันขาด
เอ็ม 79 อาจจะหมดหน้าที่ถล่มพันธมิตรฯ แต่บ่ายหน้ามุ่งไปถล่มเป้าหมายอื่น รวมทั้งรัฐบาล...
เอ็ม 79 ลูกเดิมชุดเดิมที่รัฐบาลปล่อยให้มัน “ดื้อยา” และเหิมเกริมมาตั้งแต่เดือนแรกของรัฐบาลและหลังเมษาเลือดนั่นแหละ
รีบปิดคดีเอ็ม 79 เมื่อ 15 พ.ย.ให้ได้นะครับ ท่านนายกฯ เราจะได้ร่วมด้วยช่วยกันหยุดเอ็ม 79 เดือนนี้และเดือนหน้าให้ได้
แต่ถ้าท่านจะยุบสภาฯ หนีจลาจล นองเลือดก็สุดแท้แต่...
ยังไงๆ ก็อดที่จะเอาใจช่วยกันไม่ได้!!