ASTVผู้จัดการรายวัน - ราคาทองคำขึ้นแรงจัด จนหลายฝ่ายเริ่มกังวลอาจเกิดภาวะวิกฤตฟองสบู่แตก กูรู-ร้านทองยอมรับมีโอกาสเกิดขึ้นจริง แต่ไม่ใช่ตอนนี้ที่ราคายังขึ้นแบบขั้นบันใด ไม่ได้พุ่งดั่งพุล ส่วนปีหน้ามีลุ้น แนะจับสัญญาณดอลลาร์แข็งค่า และระวังเฮดจ์ฟันด์เทขายทำกำไร ดัมพ์ราคาร่วงเหมือนน้ำมันในช่วงก่อนหน้า แต่ระยะสั้นปรับลงแน่เล็กน้อยหลังขึ้นแรงมาหลายสัปดาห์
นาย อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ กรรมการและประธานบริหารความเสี่ยงธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ในปี 2553 เศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังอ่อนค่าลงอย่างไม่ถึงจุดสิ้นสุด อีกทั้งยังเจอแรงกดดันจากภาวะอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงปัญหาสภาพคล่องล้นระบบด้วย
โดยในส่วนของเม็ดเงินที่ล้นอยู่ในสภาพคล่อง พบว่า กลับไม่ไหลเข้าไปในตลาดหุ้นมากนัก แต่กลับเบนเป้าไปสู่ทองคำ และน้ำมันมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงอยู่ในขณะนี้ จนเริ่มมีความกังวลว่าหากราคายังขยับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ตามแรงเก็งกำไรมากกว่าความต้องการจริง ทำให้ปัญหาฟองสบู่แตกที่ตลาดทองคำอาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งคาดว่าอาจเกิดขึ้นในช่วง 1 ปี หรืออีก 1ปีครึ่งข้างหน้านี้ โดยต้องจับตาดูค่าเงินดอลลาร์ให้ดี เพราะหากเริ่มกลับขึ้นมาแข็งขึ้นก็เหมือนเป็นสัญญาณ
**ทองคำมีโอกาสฟองสบู่แตก
ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้บริหารร้านทองรายใหญ่อย่าง นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ และผู้บริหารร้านทองเลี่ยงเส็งเฮง กล่าวว่า โอกาสการเกิดภาวะฟองสบู่ก็มีความเป็นไปได้ถึง 60% เพราะราคาทองคำที่ปรับขึ้นในช่วงนี้ นับว่าเกินกว่าราคาจริงอยู่มาก โดยส่วนใหญ่มาจากทองกระดาษมากกว่าการเข้าลงทุนในทองคำแท่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ตอนนี้ทั่วโลก เริ่มมีความกังวลภาวะต่อภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น และตลาดอสังหาริมทัพย์ ที่อาจเกิดขึ้นโดยเฉพาะประเทศในเอเชียอย่าง จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ รวมทั้งในตลาดหุ้นวอลสตรีทของสหรัฐฯ ทั้งนี้เพราะราคาหุ้นสูงขึ้นเกินเหตุ แต่อัตราการว่างงานกลับเพิ่มขึ้นสวนทางตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ความต้องการบริโภคทองคำจริงๆไม่ได้มากขึ้น แม้ล่าสุดการขายทองของไอเอ็มเอฟให้อินเดีย จะสร้างความกังวลว่าทองคำอาจขาดตลาด รวมถึงกรณีที่ศรีลังกาได้ออกมาประกาศว่าจะซื้อจากไอเอ็มเอฟ และการที่เวียดนามออกมาประกาศว่า จะเปิดให้มีการจัดตั้งบริษัทนำเข้าทองคำ เพื่อนำมาถ่วงดุลราคาทองคำในประเทศที่ผันผวนสูง และแก้ปัญหาการลักลอบนำทองคำเข้ามาจากนอกประเทศก็ตาม
**ระวังเฮดจ์ฟันด์เทขาย
ดังนั้น สิ่งที่ผู้ลงทุนทองคำต้องจับตาเป็นพิเศษ คือการทำกำไรของบรรดากองทุน เพราะเมื่อราคาทองได้ระดับที่เหมาะสมแล้วก็จะเกิดแรงเทขายทำกำไรเพื่อปรับฐานแน่ หลังจากก่อนหน้านี้ ครั้งล่าสุดที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ปรับฐานโดยปล่อยขายทำกำไร ราคาในช่วงนั้นอยู่ที่ 950 เหรียญ/ออนซ์ โดยตอนแรกมองว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้ แต่ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก และติดกับมีช่วงวันหยุดเทศกาลเยอะ ดังนั้นโอกาสในการปรับตัวลดลงของราคาทองคำน่าจะเป็นปี 2553 มากกว่า
ส่วนสภาพคล่องที่ล้นระบบขณะนี้ เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ถือเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ราคาทองปรับขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพราะเม็ดเงินที่รัฐบาลสหรัฐ และประเทศต่างๆอัดฉีดเข้ามา ไม่ได้อยู่หรือมาถึงผู้บริโภค แต่ไปอยู่ในสถาบันการเงิน จึงเกิดการโยกย้ายเข้าสู่สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า เมื่ออัตราดอกเบี้ยอยุ่ในระดัยที่ต่ำมาก
“ราคาทองคำจริง ไม่นับการเก็งกำไร น่าจะอยู่ที่ 13,000 – 14,000 บาท โดยตลาดทองทั่วโลกน่ารับได้ที่ 850-950 เหรียญ/ออนซ์”
**ยืนยันตอนนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ กรรมการสมาคมทองคำ และประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทห้างทองแม่ทองสุก ให้ความเห็นว่า มีโอกาสเช่นกันที่ราคาทองคำอาจเกิดฟองสบู่ขึ้นได้ในอนาคต โดยตอลดช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองเพิ่มขึ้นสูงมากถึง 50 -60 เหรียญ/ออนซ์ แต่ยังไม่ใช่ภาวะฟองสบู่อย่างที่เริ่มมีคนกังวลกัน
เพราะจุดสังเกตุว่าราคาทองคำจะเกิดวิกฤตฟองสบู่ได้ต้องดูจาก ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงอย่างแรงและต่อเนื่อง เหมือนเช่นราคาน้ำมันในช่วงก่อนหน้านี้ที่ขยับตัวขึ้นไปแตะ 140 เหรียญ/บาร์เรลอย่างรวดเร็ว และพอฟองสบู่แตกก็ร่วงลงมาอยู่ 60 เหรียญ/บาร์เรล
แต่ราคาทองคำในขณะนี้ไม่ได้เป็นอย่างนี้ โดยหากให้วิเคราะห์ทางเทคนิคจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำเป็นไปในลักษณะขณะขั้นบันใด คือปรับตัวเพิ่มและมีการพักฐานก่อนปรับตัวสูงขึ้นไปอีกในระดับต่อไป จึงมองว่าปัญหาในเรื่องนี้ยังไม่น่ากังวล และยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้อย่างที่หลายคนกังวล
“หากสังเกตดูจะเห็นว่าราคาขยับขึ้นมาที่ละขั้นเริ่มจาก 990 เหรียญ มาเป็น 1,000 เหรียญ และก็ปรับขึ้นมาเป็น 1,050 เหรียญ ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นไม่หยุดหรือไม่มีจุดพักฐานของราคาแต่อย่างใด แม้จะแรงกดดันจากการเก็งกำไรของราคาเข้ามามีส่วนร่วม ตัวอย่างง่ายๆ ก็ต้องดูช่วงราคามันก่อนหน้านี้ที่ปรับตัวสูงมาก และก็ดิ่งลงแรง นั่นก็มาจากฟองสบู่นั่นเอง”
**คาดมีปรับฐานระยะสั้นก่อน
นายธิติ ธาราสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาร์ต มาสเตอร์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการฝึกอบรมด้านการลงทุนในตลาดทุนและตลาดอนุพันธ์ กล่าวว่า จากที่คอยติดตามดูกราฟราคาทองมาก็เริ่มรู้สึกเช่นกัน ว่าราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด ซึ่งเป็นการผันผวนที่ตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ แต่ส่วนตัวยังไม่เชื่อว่าราคาทองจะเกิด Panicเร็วในช่วงนี้ แต่ยอมรับว่าจะมีการพักฐานหรือปรับตัวลงมาบ้าง ตามการโยกย้ายเงินทุนของนักเก็งกำไร ในยามที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมา ซึ่งถือเป็นการขายทำกำไรของนักลงทุนนั่นเอง แต่จะไม่ต่ำกว่า 17,000 บาท
“ราคาทองคำมีโอกาสเกิดภาวะฟองสบู่แตกได้เช่นกัน แต่ยังมาไม่ถึง หากดูทางเทคนิคกราฟมันบ่งชี้ว่ายังมีโอกาสขยับไปถึง 1,124 เหรียญ/ออนซ์ แต่มันเป็นคลื่นที่ 5 หรือคลื่นสุดท้ายในการขึ้นของทองคำในรอบนี้ ราคาจึงย่อมลดลงแต่ไม่มาก โดยเป็นไปในระยะสั้น ทั้งหนี้มองว่าหากหลุด 1,063 เหรียญ จะลงมาอยู่ที่ 1,000 เหรียญ หรือต่ำกว่า”
นาย อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต และ กรรมการและประธานบริหารความเสี่ยงธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่า ในปี 2553 เศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ จากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐที่ยังอ่อนค่าลงอย่างไม่ถึงจุดสิ้นสุด อีกทั้งยังเจอแรงกดดันจากภาวะอัตราเงินเฟ้อ รวมถึงปัญหาสภาพคล่องล้นระบบด้วย
โดยในส่วนของเม็ดเงินที่ล้นอยู่ในสภาพคล่อง พบว่า กลับไม่ไหลเข้าไปในตลาดหุ้นมากนัก แต่กลับเบนเป้าไปสู่ทองคำ และน้ำมันมากขึ้น จึงเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ราคาทองคำปรับตัวสูงอยู่ในขณะนี้ จนเริ่มมีความกังวลว่าหากราคายังขยับตัวขึ้นไปเรื่อยๆ ตามแรงเก็งกำไรมากกว่าความต้องการจริง ทำให้ปัญหาฟองสบู่แตกที่ตลาดทองคำอาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ซึ่งคาดว่าอาจเกิดขึ้นในช่วง 1 ปี หรืออีก 1ปีครึ่งข้างหน้านี้ โดยต้องจับตาดูค่าเงินดอลลาร์ให้ดี เพราะหากเริ่มกลับขึ้นมาแข็งขึ้นก็เหมือนเป็นสัญญาณ
**ทองคำมีโอกาสฟองสบู่แตก
ทั้งนี้ จากการสอบถามผู้บริหารร้านทองรายใหญ่อย่าง นายพิชญา พิสุทธิกุล เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ และผู้บริหารร้านทองเลี่ยงเส็งเฮง กล่าวว่า โอกาสการเกิดภาวะฟองสบู่ก็มีความเป็นไปได้ถึง 60% เพราะราคาทองคำที่ปรับขึ้นในช่วงนี้ นับว่าเกินกว่าราคาจริงอยู่มาก โดยส่วนใหญ่มาจากทองกระดาษมากกว่าการเข้าลงทุนในทองคำแท่ง ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก
ขณะเดียวกัน ตอนนี้ทั่วโลก เริ่มมีความกังวลภาวะต่อภาวะฟองสบู่ในตลาดหุ้น และตลาดอสังหาริมทัพย์ ที่อาจเกิดขึ้นโดยเฉพาะประเทศในเอเชียอย่าง จีน ฮ่องกง สิงคโปร์ รวมทั้งในตลาดหุ้นวอลสตรีทของสหรัฐฯ ทั้งนี้เพราะราคาหุ้นสูงขึ้นเกินเหตุ แต่อัตราการว่างงานกลับเพิ่มขึ้นสวนทางตัวเลขเศรษฐกิจอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ความต้องการบริโภคทองคำจริงๆไม่ได้มากขึ้น แม้ล่าสุดการขายทองของไอเอ็มเอฟให้อินเดีย จะสร้างความกังวลว่าทองคำอาจขาดตลาด รวมถึงกรณีที่ศรีลังกาได้ออกมาประกาศว่าจะซื้อจากไอเอ็มเอฟ และการที่เวียดนามออกมาประกาศว่า จะเปิดให้มีการจัดตั้งบริษัทนำเข้าทองคำ เพื่อนำมาถ่วงดุลราคาทองคำในประเทศที่ผันผวนสูง และแก้ปัญหาการลักลอบนำทองคำเข้ามาจากนอกประเทศก็ตาม
**ระวังเฮดจ์ฟันด์เทขาย
ดังนั้น สิ่งที่ผู้ลงทุนทองคำต้องจับตาเป็นพิเศษ คือการทำกำไรของบรรดากองทุน เพราะเมื่อราคาทองได้ระดับที่เหมาะสมแล้วก็จะเกิดแรงเทขายทำกำไรเพื่อปรับฐานแน่ หลังจากก่อนหน้านี้ ครั้งล่าสุดที่กองทุนเฮดจ์ฟันด์ ปรับฐานโดยปล่อยขายทำกำไร ราคาในช่วงนั้นอยู่ที่ 950 เหรียญ/ออนซ์ โดยตอนแรกมองว่าน่าจะเกิดขึ้นภายในปลายปีนี้ แต่ด้วยเวลาที่เหลืออยู่ไม่มาก และติดกับมีช่วงวันหยุดเทศกาลเยอะ ดังนั้นโอกาสในการปรับตัวลดลงของราคาทองคำน่าจะเป็นปี 2553 มากกว่า
ส่วนสภาพคล่องที่ล้นระบบขณะนี้ เลขาธิการสมาคมค้าทองคำ กล่าวว่า ถือเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้ราคาทองปรับขึ้นมาด้วยเช่นกัน เพราะเม็ดเงินที่รัฐบาลสหรัฐ และประเทศต่างๆอัดฉีดเข้ามา ไม่ได้อยู่หรือมาถึงผู้บริโภค แต่ไปอยู่ในสถาบันการเงิน จึงเกิดการโยกย้ายเข้าสู่สินทรัพย์ที่สร้างผลตอบแทนได้ดีกว่า เมื่ออัตราดอกเบี้ยอยุ่ในระดัยที่ต่ำมาก
“ราคาทองคำจริง ไม่นับการเก็งกำไร น่าจะอยู่ที่ 13,000 – 14,000 บาท โดยตลาดทองทั่วโลกน่ารับได้ที่ 850-950 เหรียญ/ออนซ์”
**ยืนยันตอนนี้ยังไม่น่าเป็นห่วง
นพ.กฤชรัตน์ หิรัณยศิริ กรรมการสมาคมทองคำ และประธานกรรมการ กลุ่มบริษัทห้างทองแม่ทองสุก ให้ความเห็นว่า มีโอกาสเช่นกันที่ราคาทองคำอาจเกิดฟองสบู่ขึ้นได้ในอนาคต โดยตอลดช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมาราคาทองเพิ่มขึ้นสูงมากถึง 50 -60 เหรียญ/ออนซ์ แต่ยังไม่ใช่ภาวะฟองสบู่อย่างที่เริ่มมีคนกังวลกัน
เพราะจุดสังเกตุว่าราคาทองคำจะเกิดวิกฤตฟองสบู่ได้ต้องดูจาก ราคามีการปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงอย่างแรงและต่อเนื่อง เหมือนเช่นราคาน้ำมันในช่วงก่อนหน้านี้ที่ขยับตัวขึ้นไปแตะ 140 เหรียญ/บาร์เรลอย่างรวดเร็ว และพอฟองสบู่แตกก็ร่วงลงมาอยู่ 60 เหรียญ/บาร์เรล
แต่ราคาทองคำในขณะนี้ไม่ได้เป็นอย่างนี้ โดยหากให้วิเคราะห์ทางเทคนิคจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการปรับตัวเพิ่มขึ้นของราคาทองคำเป็นไปในลักษณะขณะขั้นบันใด คือปรับตัวเพิ่มและมีการพักฐานก่อนปรับตัวสูงขึ้นไปอีกในระดับต่อไป จึงมองว่าปัญหาในเรื่องนี้ยังไม่น่ากังวล และยังไม่เกิดขึ้นในเร็วๆนี้อย่างที่หลายคนกังวล
“หากสังเกตดูจะเห็นว่าราคาขยับขึ้นมาที่ละขั้นเริ่มจาก 990 เหรียญ มาเป็น 1,000 เหรียญ และก็ปรับขึ้นมาเป็น 1,050 เหรียญ ไม่ได้ปรับตัวสูงขึ้นไม่หยุดหรือไม่มีจุดพักฐานของราคาแต่อย่างใด แม้จะแรงกดดันจากการเก็งกำไรของราคาเข้ามามีส่วนร่วม ตัวอย่างง่ายๆ ก็ต้องดูช่วงราคามันก่อนหน้านี้ที่ปรับตัวสูงมาก และก็ดิ่งลงแรง นั่นก็มาจากฟองสบู่นั่นเอง”
**คาดมีปรับฐานระยะสั้นก่อน
นายธิติ ธาราสุข ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาร์ต มาสเตอร์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญการฝึกอบรมด้านการลงทุนในตลาดทุนและตลาดอนุพันธ์ กล่าวว่า จากที่คอยติดตามดูกราฟราคาทองมาก็เริ่มรู้สึกเช่นกัน ว่าราคาทองปรับตัวเพิ่มขึ้นมากแล้ว แต่ยังไม่ถึงจุดสูงสุด ซึ่งเป็นการผันผวนที่ตรงข้ามกับค่าเงินดอลลาร์ แต่ส่วนตัวยังไม่เชื่อว่าราคาทองจะเกิด Panicเร็วในช่วงนี้ แต่ยอมรับว่าจะมีการพักฐานหรือปรับตัวลงมาบ้าง ตามการโยกย้ายเงินทุนของนักเก็งกำไร ในยามที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นมา ซึ่งถือเป็นการขายทำกำไรของนักลงทุนนั่นเอง แต่จะไม่ต่ำกว่า 17,000 บาท
“ราคาทองคำมีโอกาสเกิดภาวะฟองสบู่แตกได้เช่นกัน แต่ยังมาไม่ถึง หากดูทางเทคนิคกราฟมันบ่งชี้ว่ายังมีโอกาสขยับไปถึง 1,124 เหรียญ/ออนซ์ แต่มันเป็นคลื่นที่ 5 หรือคลื่นสุดท้ายในการขึ้นของทองคำในรอบนี้ ราคาจึงย่อมลดลงแต่ไม่มาก โดยเป็นไปในระยะสั้น ทั้งหนี้มองว่าหากหลุด 1,063 เหรียญ จะลงมาอยู่ที่ 1,000 เหรียญ หรือต่ำกว่า”