ASTVผู้จัดการรายวัน-ศึกแป้งมันลาม “มาร์ค”หักหน้า “พรทิวา”กลางวงครม. เบรกหัวทิ่มให้ส่งเรื่องไปให้กรรมการชุด “กอร์ปศักดิ์” พิจารณาใหม่ ทั้งๆ ที่ขึ้นโต๊ะประชุมครม.แล้ว
แหล่งข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า ในการประชุมครม. วานนี้ (10 พ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ถอนเรื่องที่ 7 วาระจร ของนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ที่ได้เสนอให้ครม. พิจารณาอนุมัติขายแป้งมันสำปะหลังให้กับบริษัท กวางสี หมิงหยาง ไบโอเคมีคอล ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี อิงค์ รัฐวิสาหกิจของจีน แบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) จำนวน 2 แสนตัน โดยได้ขอให้นำกลับไปให้คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาใหม่ และให้เหตุผลว่าไม่มีเวลาพอ ต้องไปประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อ
ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมนางพรทิวาได้พยายามชี้แจงรายละเอียดผลการขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งมันเส้นและแป้งมัน ในส่วนของการส่งออกและการขายในประเทศ โดยยืนยันว่าทุกขั้นตอนเป็นไปตามที่เคยจำหน่ายทั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา และครม.ได้อนุมัติให้ขายให้กับผู้เสนอราคาสูงสุดและผ่านเกณฑ์ราคาพื้นฐานทุกครั้ง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในประเทศกำลังได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบในตลาดได้
“นายอภิสิทธิ์ ได้สอบถามและตั้งหลายคำถามกับนางพรทิวา จนสุดท้ายได้ตัดบท โดยให้นำเรื่องนี้ไปพิจารณาในคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ที่มีนายกอร์ปศักดิ์เป็นประธานพิจารณาให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงนำเสนอให้ที่ประชุมครม. พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง”แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับผลการประชุมครม. เรื่องมันสำปะหลังครั้งนี้ ไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ โดยนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้บอกกล่าวแก่บรรดารองโฆษกฯ อีก 2 คน คือ นายวัชระ กรรณิการ์ และนายภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐว่าไม่ให้แถลงข่าวเรื่องนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับรายละเอียดในการเสนอวาระการขายแป้งมันสำปะหลังดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้ที่ประชุมครม.เห็นชอบแนวทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังครั้งที่ 6 โดยขายให้กับผู้เสนอราคาสูงสุดและผ่านเกณฑ์ราคาพื้นฐานเพื่อการส่งออกและเพื่อใช้ภายในประเทศ เพราะราคาหลังการเจรจาต่อรองแล้ว ได้ผ่านเกณฑ์ราคาพื้นฐานที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังกำหนด ขณะเดียวกันราคามันสำปะหลังเส้นและแป้งมันสำปะหลังเพื่อใช้ภายในประเทศ หลังการเจรจาต่อรองแล้วบางคลังสินค้ามีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ได้รับอนุมัติการขายเพื่อการส่งออก
นอกจากนี้ ยังให้เหตุผลประกอบอีกว่า สินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่อ่อนไหว ราคาจะปรับเปลี่ยนขึ้นลงเร็วตามสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้มีผลผลิตน้อย ตลาดมีความต้องการสูง ทำให้เสนอซื้อในราคาที่สูง จึงควรเร่งระบาย หากผลผลิตฤดูกาลใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้นราคาก็จะลดต่ำลง ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมเอทานอล ผงชุรส ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ กำลังได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบในท้องตลาดได้ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มีสต๊อก เพราะผลผลิตในปี 2551/52 อยุ่ในสต๊อกของรับบาลเกือบทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หากได้รับอนุมัติให้ขายในครั้งนี้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอจะทำให้มีมันเส้นคงเหลือประมาณ 1.65 ล้านตัน และแป้งมันสำปะหลัง 326,180 ตัน โดยจะยังเป็นภาระกับรัฐบาลต่อไป โดยจะมีภาระเก็บรักษาส่วนที่เหลือเดือนละประมาณ 44 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นต้นทุนสะสมและเป็นภาระกับรัฐบาลมากขึ้น
ส่วนผลผลิตในปี 52/53 ที่ตามปกติต้องออกสู่ตลาดในเดือนต.ค. แต่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องเพลี้ยแป้งระบาด ทำให้ผลผลิตได้รับความเสียหายจึงออกสู่ตลาดน้อยมาก ขณะที่นโยบายการประกันรายได้เกษตรกร ทำให้เกษตรกรชะลอการขุดเพื่อรอราคาให้สูงขึ้น ที่สำคัญที่สุดรัฐบาลควรให้การสนับสนุนดูแลระบบการค้ามันสำปะหลังทั้งระบบด้วย นอกเหนือจากการดูแลเกษตรกร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในประเทศที่ใช้และพึ่งพาวัตถุดิบมันสำปะหลังให้สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้ หากอุตสาหกรรมเหล่านี้อยู่ไม่รอดและหันไปใช้วัตถุดิบชนิดอื่น รัฐจะไม่มีเครื่องมือหรือกลไกทางการตลาดที่จะมารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรซึ่งจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับระบบการค้ามันสำปะหลังของประเทศต่อไป
แหล่งข่าวที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดเผยว่า ในการประชุมครม. วานนี้ (10 พ.ย.) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้ถอนเรื่องที่ 7 วาระจร ของนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ ที่ได้เสนอให้ครม. พิจารณาอนุมัติขายแป้งมันสำปะหลังให้กับบริษัท กวางสี หมิงหยาง ไบโอเคมีคอล ไซแอนซ์ แอนด์ เทคโนโลยี อิงค์ รัฐวิสาหกิจของจีน แบบรัฐบาลต่อรัฐบาล (จีทูจี) จำนวน 2 แสนตัน โดยได้ขอให้นำกลับไปให้คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ที่มีนายกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานพิจารณาใหม่ และให้เหตุผลว่าไม่มีเวลาพอ ต้องไปประชุมสภาผู้แทนราษฎรต่อ
ทั้งนี้ ในระหว่างการประชุมนางพรทิวาได้พยายามชี้แจงรายละเอียดผลการขายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังทั้งมันเส้นและแป้งมัน ในส่วนของการส่งออกและการขายในประเทศ โดยยืนยันว่าทุกขั้นตอนเป็นไปตามที่เคยจำหน่ายทั้ง 5 ครั้งที่ผ่านมา และครม.ได้อนุมัติให้ขายให้กับผู้เสนอราคาสูงสุดและผ่านเกณฑ์ราคาพื้นฐานทุกครั้ง นอกจากนี้ ผู้ประกอบการในประเทศกำลังได้รับความเดือดร้อนเพราะไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบในตลาดได้
“นายอภิสิทธิ์ ได้สอบถามและตั้งหลายคำถามกับนางพรทิวา จนสุดท้ายได้ตัดบท โดยให้นำเรื่องนี้ไปพิจารณาในคณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลัง ที่มีนายกอร์ปศักดิ์เป็นประธานพิจารณาให้เรียบร้อยก่อน แล้วจึงนำเสนอให้ที่ประชุมครม. พิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง”แหล่งข่าวกล่าว
สำหรับผลการประชุมครม. เรื่องมันสำปะหลังครั้งนี้ ไม่มีการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ โดยนายศุภชัย ใจสมุทร รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้บอกกล่าวแก่บรรดารองโฆษกฯ อีก 2 คน คือ นายวัชระ กรรณิการ์ และนายภูมินทร์ ลีธีระประเสริฐว่าไม่ให้แถลงข่าวเรื่องนี้
รายงานข่าวแจ้งว่า สำหรับรายละเอียดในการเสนอวาระการขายแป้งมันสำปะหลังดังกล่าว กระทรวงพาณิชย์ได้เสนอให้ที่ประชุมครม.เห็นชอบแนวทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังครั้งที่ 6 โดยขายให้กับผู้เสนอราคาสูงสุดและผ่านเกณฑ์ราคาพื้นฐานเพื่อการส่งออกและเพื่อใช้ภายในประเทศ เพราะราคาหลังการเจรจาต่อรองแล้ว ได้ผ่านเกณฑ์ราคาพื้นฐานที่คณะกรรมการนโยบายมันสำปะหลังกำหนด ขณะเดียวกันราคามันสำปะหลังเส้นและแป้งมันสำปะหลังเพื่อใช้ภายในประเทศ หลังการเจรจาต่อรองแล้วบางคลังสินค้ามีราคาสูงกว่าผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังที่ได้รับอนุมัติการขายเพื่อการส่งออก
นอกจากนี้ ยังให้เหตุผลประกอบอีกว่า สินค้าเกษตรเป็นสินค้าที่อ่อนไหว ราคาจะปรับเปลี่ยนขึ้นลงเร็วตามสถานการณ์ ซึ่งขณะนี้มีผลผลิตน้อย ตลาดมีความต้องการสูง ทำให้เสนอซื้อในราคาที่สูง จึงควรเร่งระบาย หากผลผลิตฤดูกาลใหม่ออกสู่ตลาดมากขึ้นราคาก็จะลดต่ำลง ขณะเดียวกัน ผู้ประกอบการในประเทศ เช่น อุตสาหกรรมเอทานอล ผงชุรส ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ กำลังได้รับความเดือดร้อนจากปัญหาขาดแคลนวัตถุดิบไม่สามารถหาซื้อวัตถุดิบในท้องตลาดได้ เนื่องจากผู้ประกอบการไม่มีสต๊อก เพราะผลผลิตในปี 2551/52 อยุ่ในสต๊อกของรับบาลเกือบทั้งหมด
อย่างไรก็ตาม หากได้รับอนุมัติให้ขายในครั้งนี้ ตามที่กระทรวงพาณิชย์เสนอจะทำให้มีมันเส้นคงเหลือประมาณ 1.65 ล้านตัน และแป้งมันสำปะหลัง 326,180 ตัน โดยจะยังเป็นภาระกับรัฐบาลต่อไป โดยจะมีภาระเก็บรักษาส่วนที่เหลือเดือนละประมาณ 44 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นต้นทุนสะสมและเป็นภาระกับรัฐบาลมากขึ้น
ส่วนผลผลิตในปี 52/53 ที่ตามปกติต้องออกสู่ตลาดในเดือนต.ค. แต่เนื่องจากมีปัญหาเรื่องเพลี้ยแป้งระบาด ทำให้ผลผลิตได้รับความเสียหายจึงออกสู่ตลาดน้อยมาก ขณะที่นโยบายการประกันรายได้เกษตรกร ทำให้เกษตรกรชะลอการขุดเพื่อรอราคาให้สูงขึ้น ที่สำคัญที่สุดรัฐบาลควรให้การสนับสนุนดูแลระบบการค้ามันสำปะหลังทั้งระบบด้วย นอกเหนือจากการดูแลเกษตรกร โดยเฉพาะอุตสาหกรรมในประเทศที่ใช้และพึ่งพาวัตถุดิบมันสำปะหลังให้สามารถดำเนินธุรกิจอยู่ได้ หากอุตสาหกรรมเหล่านี้อยู่ไม่รอดและหันไปใช้วัตถุดิบชนิดอื่น รัฐจะไม่มีเครื่องมือหรือกลไกทางการตลาดที่จะมารับซื้อผลผลิตจากเกษตรกรซึ่งจะเกิดผลกระทบอย่างรุนแรงกับระบบการค้ามันสำปะหลังของประเทศต่อไป