นายชัยวัฒน์ เครือชะเอม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิส เซส จำกัด (มหาชน) หรือ UMS เปิดเผยว่าส่วนตัวคาดว่ารายได้บริษัทปี 53 จะเติบโต 30% จากภาวะเศรษฐกิจที่คาดว่าจะเติบโตดีขึ้นทำให้มีการลงทุนมากขึ้น และถ่านหินถือว่าเป็นพลังงานที่มีต้นทุนต่ำทำให้มีความต้องการใช้มากขึ้นกอปรกับคาดว่าราคาถ่านจะปรับตัวเพิ่มขึ้น ตามทิศทางราคาน้ำมัน ซึ่งบริษัทได้ขยายคลังเก็บถ่านหิน 2 แห่งทำให้สามารถเก็บสินค้าได้มากขึ้นรองรับความต้องการที่จะเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้การที่บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้น จะยิ่งทำให้บริษัทเติบโตและแข็งแรงมากขึ้น เพราะTTA ทำธุรกิจเดินเรือ และได้ลงทุนในเหมืองถ่านหิน ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทลดต้นทุนการดำเนินงานในด้านการขนส่ง โดยบริษัทคาดว่ายอดขายถ่านหินปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 30% จากปีนี้ที่มียอดขายถ่านหิน 1 ล้านตัน
" การเติบโตของรายได้ปีหน้าจะต้องรอหารือกับทางTTAก่อนว่าจะวางเป้าหมายอย่างไร แต่จากประเมินด้วยตนเองคาดว่าน่าจะโตได้ 30% หรือระดับเดียวกับที่ผ่านมา หลังจากที่มีผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาจะช่วยทำให้บริษัทแข็งแกร่งมากขึ้นเพราะต้นทุนการดำเนินงานลดลง " นายชัยวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังคงแผนเดิมที่จะซื้อเหมืองถ่านหินในนโดนีเซีย แต่ขณะนี้ต้องหารือกับผู้ถือหุ้นใหญ่ก่อนว่าในภาคการลงทุนนั้นทาง TTA จะเป็นผู้ลงทุนเอง หรือให้ทาง UMS เป็นผู้ลงทุน และจากการหารือกับทาง TTA นั้น ไม่มีแผนที่จะเพิกถอนหุ้นของ UMS ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ หรือ mai เพราะบริษัทโดดเด่นในตลาด mai นักลงทุนรู้จักและทีมผู้บริหาร ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ TTA จะส่งตัวแทนเข้ามานั่งเป็นคณะกรรมการ 3 ท่าน
นายชัยวัฒน์กล่าวถึงรายได้และกำไรสุทธิปีนี้ของบริษัทจะลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ลูกค้ารายใหญ่ที่ประกอบธุรกิจโรงปูนไม่มีคำสั่งซื้อสินค้า ทำให้บริษัทมีลูกค้าเป็นรายเล็กเท่านั้น ซึ่งยอดขายถ่านหินปีนี้นั้นไม่ได้ลดลง และการที่ราคาถ่านหินได้ปรับตัวลดลง เหลือ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันจากระดับสูงสุด 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ทั้งนี้กรณีปัญหาที่มาบตาพุดพบว่าบริษัทฯมีลูกค้าอยู่ 2-3 ราย แต่ไม่ใช่ลูกค้าประจำ จึงไม่ค่อยมีผลกระทบต่อบริษัทฯมากนัก อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการส่วนมากก็พร้อมที่จะดูแลปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบริษัทฯก็อยากจะทำความเข้าใจให้ประชาชนรับทราบว่าการใช้ถ่านหินเป็นพลังงานราคาถูก ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้
นอกจากนี้การที่บริษัท โทรีเซนไทย เอเยนต์ซีส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TTA เข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทนั้น จะยิ่งทำให้บริษัทเติบโตและแข็งแรงมากขึ้น เพราะTTA ทำธุรกิจเดินเรือ และได้ลงทุนในเหมืองถ่านหิน ซึ่งจะช่วยทำให้บริษัทลดต้นทุนการดำเนินงานในด้านการขนส่ง โดยบริษัทคาดว่ายอดขายถ่านหินปีหน้าจะเพิ่มขึ้น 30% จากปีนี้ที่มียอดขายถ่านหิน 1 ล้านตัน
" การเติบโตของรายได้ปีหน้าจะต้องรอหารือกับทางTTAก่อนว่าจะวางเป้าหมายอย่างไร แต่จากประเมินด้วยตนเองคาดว่าน่าจะโตได้ 30% หรือระดับเดียวกับที่ผ่านมา หลังจากที่มีผู้ถือหุ้นใหม่เข้ามาจะช่วยทำให้บริษัทแข็งแกร่งมากขึ้นเพราะต้นทุนการดำเนินงานลดลง " นายชัยวัฒน์กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทยังคงแผนเดิมที่จะซื้อเหมืองถ่านหินในนโดนีเซีย แต่ขณะนี้ต้องหารือกับผู้ถือหุ้นใหญ่ก่อนว่าในภาคการลงทุนนั้นทาง TTA จะเป็นผู้ลงทุนเอง หรือให้ทาง UMS เป็นผู้ลงทุน และจากการหารือกับทาง TTA นั้น ไม่มีแผนที่จะเพิกถอนหุ้นของ UMS ออกจากการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็มเอไอ หรือ mai เพราะบริษัทโดดเด่นในตลาด mai นักลงทุนรู้จักและทีมผู้บริหาร ยังคงไม่เปลี่ยนแปลง แต่ TTA จะส่งตัวแทนเข้ามานั่งเป็นคณะกรรมการ 3 ท่าน
นายชัยวัฒน์กล่าวถึงรายได้และกำไรสุทธิปีนี้ของบริษัทจะลดลง เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวทำให้ลูกค้ารายใหญ่ที่ประกอบธุรกิจโรงปูนไม่มีคำสั่งซื้อสินค้า ทำให้บริษัทมีลูกค้าเป็นรายเล็กเท่านั้น ซึ่งยอดขายถ่านหินปีนี้นั้นไม่ได้ลดลง และการที่ราคาถ่านหินได้ปรับตัวลดลง เหลือ 60 ดอลลาร์สหรัฐต่อตันจากระดับสูงสุด 140 ดอลลาร์สหรัฐต่อตัน
ทั้งนี้กรณีปัญหาที่มาบตาพุดพบว่าบริษัทฯมีลูกค้าอยู่ 2-3 ราย แต่ไม่ใช่ลูกค้าประจำ จึงไม่ค่อยมีผลกระทบต่อบริษัทฯมากนัก อย่างไรก็ดีผู้ประกอบการส่วนมากก็พร้อมที่จะดูแลปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะบริษัทฯก็อยากจะทำความเข้าใจให้ประชาชนรับทราบว่าการใช้ถ่านหินเป็นพลังงานราคาถูก ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้
