ASTVผู้จัดการรายวัน-“พาณิชย์” ชี้ ปัญหาไทย-กัมพูชา กระทบการค้า การท่องเที่ยว และลงทุน เตรียมหารือ “อภิสิทธิ์” เรียกทูตพาณิชย์กลับด้วยหรือไม่ ชี้กระทบท่องเที่ยวแน่นอน
นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและกัมพูชา จะกระทบต่อการค้าและการลงทุนทางตรงของไทยแน่นอน เพราะบรรยากาศความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศที่ดี จะเอื้อประโยชน์ต่อการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์จะมีการเรียกผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา กลับประเทศไทยหรือไม่นั้น คาดว่าทางนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จะหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในระหว่างการเยือนประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ยังระบุไม่ได้ว่าจะเรียกทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่กัมพูชากลับมาด้วยหรือไม่ เพราะต้องรอรมว.พาณิชย์หารือกับนายกรัฐมนตรีก่อน ซึ่งหากต้องการให้เรียกกลับ กระทรวงพาณิชย์ก็พร้อมปฏิบัติตาม โดยด้านการค้าและการลงทุนมีผลอย่างแน่นอน แต่ยังประเมินความเสียหายไม่ได้ เนื่องจากต้องรอดูความชัดเจนการดำเนินมาตรการทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศว่าการเรียกเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ กลับประเทศไทย เป็นการเรียกกลับเพื่อให้รายงานถึงสถานการณ์ภายในกัมพูชาที่เกิดขึ้น หรือเป็นมาตรการตอบโต้ทางการทูตจริง
“ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลความเสียหายต่อการค้าการลงทุนที่เกิดขึ้น เพราะส่วนใหญ่เป็นการค้าชายแดน เว้นแต่ว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นเผาสถานทูตเหมือนที่เคยเกิดขึ้น แต่ไม่คิดว่าจะบานปลายถึงขั้นนั้น”
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวสะท้อนถึงกรณีปัญหาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นต้นเหตุที่สร้างผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาแล้ว ซึ่งกระทบกับการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนของ 2 ประเทศด้วย จึงอยากวิงวอนให้พ.ต.ท.ทักษิณ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี คำนึงถึงประเทศชาติหยุดพฤติกรรมที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ในเชิงลบ หากต้องการเยือนประเทศกัมพูชาหรือประเทศใดในโลก ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลแทน
สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชา ปี 2551 มูลค่า 2,130 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 51.7% เทียบกับปีก่อน แบ่งเป็นไทยส่งออกมูลค่า 2,040 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้า 90 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเกินดุลการค้า 1,950 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนมูลค่าการค้าไทย-กัมพูชา 9 เดือนแรก ปีนี้ มีมูลค่า 1,182 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นไทยส่งออก 1,140 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 29% และนำเข้า 42 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 37%
ด้านการลงทุนในปี 2551 ไทยมีการลงทุนในกัมพูชา 4 โครงการ มูลค่า 30.67 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้แก่ การผลิตอ้อยและน้ำตาลของกลุ่มไทยเบฟ ธุรกิจขนส่งเพื่อสร้างท่าเรือของบริษัทกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น การลงทุนของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพด้านธุรกิจโรงพยาบาลนานาชาติ เป็นต้น
**หนุนตอบโต้กัมพูชา
นายสมมาต ขุนเศษฐ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เห็นด้วยที่รัฐบาลไทยมีมาตรการตอบโต้ทางการฑูตกับประเทศกัมพูชา เพราะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของประเทศซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทั่วโลกดำเนินการกันในลักณษะเช่นนี้ เบื้องต้นมาตรการตอบโต้ทางการทูตคงไม่มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนมากนัก เพราะภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายก็สามารถเจรจาด้านธุรกิจกัน
นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งที่กระทรวงต่างประเทศตัดสัมพันธ์ทางการฑูตกับกัมพูชาเนื่องจากผู้นำกัมพูชาไม่เคารพกฏหมายของประเทศไทยด้วยการกล่าวหาว่ากฏหมายของไทยไม่ยุติธรรมกรณีคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งถือเป็นการดูถูกคนไทยทั้งที่รัฐบาลไทยไม่เคยก้าวก่ายการบริหารงานของกัมพูชาแต่อย่างใด
“ผู้นำกัมพูชาเสียมารยาทอย่างแรงขนาดผู้นำประเทศอื่นๆ เขาอาจไม่ชอบไทยแต่เขาก็ไม่เคยออกมากล่าวหากันเช่นนี้ ผู้นำประเทศอื่นๆ เขาเองยังไม่กล้าขนาดสหรัฐอเมริกายังไม่คิดมาแทรกแซง พม่าเองก็ยังให้เกียรติกับไทยแล้วคุณเป็นใครเอาอะไรมาตัดสินว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยไม่ยุติธรรมซึ่งที่ผ่านมาส่วนตัวแล้วรัฐบาลไทยใจดีเกินไปด้วยซ้ำและเห็นว่าควรจะดำเนินมาตรการทางการฑูตให้ถึงที่สุด”นายเกียรติพงศ์กล่าว
ทั้งนี้ผู้นำกัมพูชาควรจะแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องระหว่างประเทศการที่จะตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาก็เป็นเรื่องส่วนตัวแต่ไม่ควรจะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยแต่เมื่อเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ก็เท่ากับกัมพูชาคิดที่จะตัดสัมพันธ์กับไทยก่อนด้วยซ้ำไปและที่น่าเป็นห่วงคือคนไทยกลุ่มหนึ่งกลับไปสนับสนุนผู้นำกัมพูชาหากคนไทยคิดกันเช่นนี้ประเทศชาติคงจะวินาศในไม่ช้า
นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สายงานแรงงาน กล่าวว่า ภาคเอกชนยังงงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้ตนได้ลงทุนธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในกัมพูชาอยู่ด้วย คาดว่ารัฐบาลคงจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. กล่าวว่า การทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชานั้น คงต้องรอดูนโยบายรัฐบาล และศักยภาพของแหล่งปิโตรเลียมด้วย ยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากปัจจุบันปตท.สผ.ได้เข้าสำรวจปิโตรเลียมในแปลงกัมพูชาบี ที่ประเทศกัมพูชา โดยเจาะหลุมสำรวจแล้ว 1 หลุมเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่พบปิโตรเลียม และปีหน้าจะเจาะหลุมเพิ่มอีก 1 หลุมหากไม่พบอะไรก็คงต้องคืนแปลงสัมปทานไป ส่วนพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-กัมพูชานั้นยังไม่ได้มีการเข้าไปสำรวจใดๆทั้งสิ้น
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนของไทยในกัมพูชา เริ่มเข้าไปลงทุนตั้งแต่ปี 2537 โดยมีมูลค่าการลงทุนรวม 318.07 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10,496 ล้านบาท โดยไทยถือเป็นประเทศที่มีการลงทุนเป็นอันดับที่ 7 ในขณะที่การลงทุนอันดับที่ 1 แรก ได้แก่ มาเลเซีย 2,117 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จีน 770 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไต้หวัน 582 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สหรัฐฯ 334 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกาหลีใต้ 293 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ในปี 2551 ไทยมีการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกัมพูชาจำนวน 4 โครงการ เงินลงทุน มูลค่า 30.67 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,012 ล้านบาท ได้แก่ การผลิตอ้อยและน้ำตาลของกลุ่มบริษัท Thai Beverage ธุรกิจภาคการขนส่งเพื่อสร้างท่าเรือโดยบริษัทในกลุ่มบริษัทน้ำตาลขอนแก่นของไทย และการลงทุนของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เกี่ยวกับโรงพยาบาลนานาชาติในนามบริษัท Phnom Penh Medical Service จำกัด
สำหรับจำนวนนักลงทุนไทยในกัมพูชา มีจำนวนทั้งสิ้น 69 ราย ซึ่งเป็นที่รู้จัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเบียร์ช้าง ธุรกิจเบียร์สิงห์ กลุ่มบริษัทสามารถคอร์ปอเรชั่น ,กลุ่มคอลเกต ปาล์มโอลีฟ ,บริษัทอีซูซี เซอร์วิส ,กลุ่มบริษัท ซี.พี.,กลุ่มเครือซิเมนต์ไทย ,กลุ่มบริษัทเบทาโกร เป็นต้น
**กระทบท่องเที่ยวแน่นอน
นายประกิจ ชินอมรพงศ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยว่า ความขัดแย้งของไทยกับกัมพูชา จากนี้ไปกระทบตลาดท่องเที่ยวแน่นอน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมานี้ คนเขมรที่มาเที่ยวประเทศไทยในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้มีประมาณ 62,000 คน ลดลงไป 2,000 คน จากเดิมช่วงเดียวกันที่มี 64,000 คน
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว กล่าวว่า คนไทยไปเที่ยวที่เขมรลดลงเกือบ 90% ตั้งแต่ช่วงที่ไทยกับเขมรมีปัญหาเรื่องเขาพระวิหารกันแล้ว แต่เหตุการณ์ล่าสุดขณะนี้ที่มีความรุนแรงขึ้นอีกในด้านที่กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คาดว่าจะส่งผลให้คนไทยหยุดการไปท่องเที่ยวที่เขมรแน่นอนเกือบทั้งหมด
ทั้งนี้คนไทยไปเที่ยวเขมรประมาณ 7-8 แสนคนต่อปี จุดหมายปลายทางหลักคือ เมืองเสียมเรียบและนครวัด โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 10,000 บาทต่อคนต่อครั้ง
นายสามารถ ศรีดาวเรือง ผู้จัดการฝ่ายสินค้าการตลาด บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด ให้ความเห็นว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์ตึงเครียดก่อนหน้านี้ พบว่าลูกค้าทัวร์ของบริษัทที่ไปเขมรหายไปกว่า 50% แล้ว
**เลขาฯหออีสานจวก “ฮุนเซน”ทำแตกแยก
ขณะที่นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึงกรณี นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษชายหนีคดีอาญาแผ่นดิน เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาด้านเศรษฐกิจ ว่า กรณีนี้หากเป็นเรื่องส่วนตัวของ นายฮุน เซน ที่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวก็สามารถทำได้ แต่หากเป็นเรื่องของการเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลหรือประเทศแล้ว นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะทำอย่างนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะในฐานะเป็น 1 ใน 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ นับว่าเป็นการทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมและถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติประเทศไทยซึ่งเป็น 1 ในประเทศสมาชิกอาเซียน
ทั้งนี้ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักโทษหลบหนีคดีของไทย ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาอย่างร้ายแรง และอาจส่งผลต่อความไม่วางใจซึ่งกันและกันของแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียนจนก่อให้เกิดความแตกแยกได้ ประกอบประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรพลังงานในทะเลอ่าวไทย อาจถึงขั้นแตกหักนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงได้
“ในส่วนของนักธุรกิจไทยเอง ซึ่งได้เข้าไปลงทุน และทำธุรกิจค้าขายอยู่ในกัมพูชาจำนวนไม่น้อย ทั้งกิจการโรงแรม ท่องเที่ยว และการสื่อสาร รวมทั้งการค้าชายแดน ก็ต้องปรับตัวภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งที่อาจลุกลามมากขึ้นได้ โดยต้องวิเคราะห์สถานการณ์อยู่ตลอดเวลาว่าควรจะทำอย่างไร และต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่การหารือเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ และ เสนอแนวทางแก้ปัญหาของภาคเอกชนต่อรัฐบาลไทย ในการประชุมหอการค้าไทยทั่วประเทศที่ จ.เชียงใหม่ ปลายเดือนนี้ด้วย” นายทวิสันต์ กล่าว
การที่นายฮุน เซน ผู้นำสูงสุดของกัมพูชา ออกมาประกาศท่าทีขั้นแตกหักกับประเทศไทยและยกย่องสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีในครั้งนี้ คงมีผลประโยชน์รองรับที่อาจเป็นเม็ดเงินหรืออื่นๆ สูงมาก หรือ ไม่ก็เกิดจากความไม่พอใจขั้นสูงสุดต่อรัฐบาลไทยถึงกระทำเช่นนี้ได้
แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ประชาชนชาวกัมพูชาและนักธรุกิจกัมพูชาเองก็คงไม่สบายใจต่อการกระทำของ นายกรัฐมนตรีของเขาเช่นกัน เพราะปัจจุบันชาวกัมพูชาและนักธุรกิจกัมพูชาส่วนใหญ่ยังจำเป็นต้องพึ่งพาและทำธุรกิจค้าขายกับประเทศไทยอยู่มาก โดยการค้าชายแดนของ 2 ประเทศ
**ชายแดนไทย-เขมรที่ จ.ตราดยังคงปกติ
นาวาเอกปริญญาธรรม พูลพิทักษ์ธรรม ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาด้านจังหวัดตราดยังคงปกติ ประชาชนทั้ง 2 ประเทศยังเข้า-ออกตามปกติ ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีใครทราบเรื่องที่ทางรัฐบาลได้สั่งให้เอกอัครราชทูตประจำกัมพูชากลับประเทศ หลังจากทางการพนมเปญ ประกาศแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกองกำลังได้เตรียมพร้อมเรื่องของการรักษาความปลอดภัยให้กับคนที่เข้าไปค้าขายที่ประเทศกัมพูชา พร้อมทั้งได้มีการบอกกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบข่าว ซึ่งหากคนไทยจะกลับเข้าประเทศ หลังจากด่านถาวรหาดเล็กที่อำเภอใหญ่ จังหวัดตราด ก็พร้อมที่จะเปิดรับคนไทย เข้าประเทศ ส่วนคนกัมพูชาก็จะพยายามผลักดันออกให้หมด ก่อนปิดด่านในเวลา 20.00 น.
**แม่ค้าเขมรโรงเกลือแห่ปิดร้านกลับประเทศ
ส่วนบริเวณตลาดโรงเกลือ ใกล้จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ ซึ่งเป็นตลาดการค้าชายแดนที่มีชาวกัมพูชาเข้ามาค้าขายกว่า 5 พันร้านค้า และมีกรรมกรชาวเขมรเข้ามารับจ้างอีกวันละกว่า 3 พันคน ตั้งแต่เวลาประมาณ 16.30 น.พ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรต่างได้รู้ข่าวรัฐบาลไทยเรียกทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศ เพื่อตอบโต้กัมพูชาที่แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ของไทยที่หลบหนีคดี เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทำให้พ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรแตกตื่นวิพากษ์วิจารณ์ บางรายกลัวจะมีการปิดด่านชายแดนอรัญประเทศ จึงปิดร้านเดินทางกลับประเทศกัมพูชาเร็วกว่าปกติทุกวัน
ด้านนักพนันชาวไทยที่เดินทางไปเสี่ยงโชคในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา หลายคนรีบเดินทางกลับประเทศ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดเหตุเหมือนกรณีเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา เมื่อปี 2544 จึงชักชวนกันเดินทางกลับ ส่วนบรรยากาศบริเวณหน้าด่านชายแดนอรัญประเทศยังปกติ เจ้าหน้าที่ทั้งไทย-กัมพูชายังปฏิบัติหน้าที่ปกติ ไม่มีคำสั่งใดๆลงมา
นายอลงกรณ์ พลบุตร รมช.พาณิชย์ กล่าวว่า การตัดความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างไทยและกัมพูชา จะกระทบต่อการค้าและการลงทุนทางตรงของไทยแน่นอน เพราะบรรยากาศความสัมพันธ์ของ 2 ประเทศที่ดี จะเอื้อประโยชน์ต่อการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุน ซึ่งในส่วนของกระทรวงพาณิชย์จะมีการเรียกผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ (ทูตพาณิชย์) ณ กรุงพนมเปญ กัมพูชา กลับประเทศไทยหรือไม่นั้น คาดว่าทางนางพรทิวา นาคาศัย รมว.พาณิชย์ จะหารือกับนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ในระหว่างการเยือนประเทศญี่ปุ่น
ทั้งนี้ ยังระบุไม่ได้ว่าจะเรียกทูตพาณิชย์ที่ประจำอยู่กัมพูชากลับมาด้วยหรือไม่ เพราะต้องรอรมว.พาณิชย์หารือกับนายกรัฐมนตรีก่อน ซึ่งหากต้องการให้เรียกกลับ กระทรวงพาณิชย์ก็พร้อมปฏิบัติตาม โดยด้านการค้าและการลงทุนมีผลอย่างแน่นอน แต่ยังประเมินความเสียหายไม่ได้ เนื่องจากต้องรอดูความชัดเจนการดำเนินมาตรการทางการทูตของกระทรวงต่างประเทศว่าการเรียกเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงพนมเปญ กลับประเทศไทย เป็นการเรียกกลับเพื่อให้รายงานถึงสถานการณ์ภายในกัมพูชาที่เกิดขึ้น หรือเป็นมาตรการตอบโต้ทางการทูตจริง
“ยังเร็วเกินไปที่จะประเมินผลความเสียหายต่อการค้าการลงทุนที่เกิดขึ้น เพราะส่วนใหญ่เป็นการค้าชายแดน เว้นแต่ว่าจะมีเหตุการณ์รุนแรงถึงขั้นเผาสถานทูตเหมือนที่เคยเกิดขึ้น แต่ไม่คิดว่าจะบานปลายถึงขั้นนั้น”
อย่างไรก็ตาม กรณีดังกล่าวสะท้อนถึงกรณีปัญหาของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าเป็นต้นเหตุที่สร้างผลกระทบความสัมพันธ์ระหว่างไทยและกัมพูชาแล้ว ซึ่งกระทบกับการค้า การท่องเที่ยว และการลงทุนของ 2 ประเทศด้วย จึงอยากวิงวอนให้พ.ต.ท.ทักษิณ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตนายกรัฐมนตรี คำนึงถึงประเทศชาติหยุดพฤติกรรมที่จะนำไปสู่ความสัมพันธ์ในเชิงลบ หากต้องการเยือนประเทศกัมพูชาหรือประเทศใดในโลก ก็ขอให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลแทน
สำหรับมูลค่าการค้าระหว่างไทยและกัมพูชา ปี 2551 มูลค่า 2,130 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยายตัว 51.7% เทียบกับปีก่อน แบ่งเป็นไทยส่งออกมูลค่า 2,040 ล้านเหรียญสหรัฐ และนำเข้า 90 ล้านเหรียญสหรัฐ ไทยเกินดุลการค้า 1,950 ล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนมูลค่าการค้าไทย-กัมพูชา 9 เดือนแรก ปีนี้ มีมูลค่า 1,182 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นไทยส่งออก 1,140 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 29% และนำเข้า 42 ล้านเหรียญสหรัฐ ลดลง 37%
ด้านการลงทุนในปี 2551 ไทยมีการลงทุนในกัมพูชา 4 โครงการ มูลค่า 30.67 ล้านเหรียญสหรัฐ ได้แก่ การผลิตอ้อยและน้ำตาลของกลุ่มไทยเบฟ ธุรกิจขนส่งเพื่อสร้างท่าเรือของบริษัทกลุ่มน้ำตาลขอนแก่น การลงทุนของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพด้านธุรกิจโรงพยาบาลนานาชาติ เป็นต้น
**หนุนตอบโต้กัมพูชา
นายสมมาต ขุนเศษฐ รองเลขาธิการสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เห็นด้วยที่รัฐบาลไทยมีมาตรการตอบโต้ทางการฑูตกับประเทศกัมพูชา เพราะเป็นเรื่องของศักดิ์ศรีของประเทศซึ่งเป็นเรื่องปกติที่ทั่วโลกดำเนินการกันในลักณษะเช่นนี้ เบื้องต้นมาตรการตอบโต้ทางการทูตคงไม่มีผลกระทบต่อการค้าและการลงทุนมากนัก เพราะภาคเอกชนทั้งสองฝ่ายก็สามารถเจรจาด้านธุรกิจกัน
นายเกียรติพงศ์ น้อยใจบุญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกรัฐวิศวกรรม จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า เห็นด้วยอย่างยิ่งที่กระทรวงต่างประเทศตัดสัมพันธ์ทางการฑูตกับกัมพูชาเนื่องจากผู้นำกัมพูชาไม่เคารพกฏหมายของประเทศไทยด้วยการกล่าวหาว่ากฏหมายของไทยไม่ยุติธรรมกรณีคดีของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีซึ่งถือเป็นการดูถูกคนไทยทั้งที่รัฐบาลไทยไม่เคยก้าวก่ายการบริหารงานของกัมพูชาแต่อย่างใด
“ผู้นำกัมพูชาเสียมารยาทอย่างแรงขนาดผู้นำประเทศอื่นๆ เขาอาจไม่ชอบไทยแต่เขาก็ไม่เคยออกมากล่าวหากันเช่นนี้ ผู้นำประเทศอื่นๆ เขาเองยังไม่กล้าขนาดสหรัฐอเมริกายังไม่คิดมาแทรกแซง พม่าเองก็ยังให้เกียรติกับไทยแล้วคุณเป็นใครเอาอะไรมาตัดสินว่ากระบวนการยุติธรรมของไทยไม่ยุติธรรมซึ่งที่ผ่านมาส่วนตัวแล้วรัฐบาลไทยใจดีเกินไปด้วยซ้ำและเห็นว่าควรจะดำเนินมาตรการทางการฑูตให้ถึงที่สุด”นายเกียรติพงศ์กล่าว
ทั้งนี้ผู้นำกัมพูชาควรจะแยกแยะระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องระหว่างประเทศการที่จะตั้งคุณทักษิณเป็นที่ปรึกษาก็เป็นเรื่องส่วนตัวแต่ไม่ควรจะเข้ามาแทรกแซงกิจการภายในของไทยแต่เมื่อเข้ามาแทรกแซงเช่นนี้ก็เท่ากับกัมพูชาคิดที่จะตัดสัมพันธ์กับไทยก่อนด้วยซ้ำไปและที่น่าเป็นห่วงคือคนไทยกลุ่มหนึ่งกลับไปสนับสนุนผู้นำกัมพูชาหากคนไทยคิดกันเช่นนี้ประเทศชาติคงจะวินาศในไม่ช้า
นายทวีกิจ จตุรเจริญคุณ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) สายงานแรงงาน กล่าวว่า ภาคเอกชนยังงงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นซึ่งไม่รู้จะทำอย่างไร ตอนนี้ตนได้ลงทุนธุรกิจโรงแรมและร้านอาหารในกัมพูชาอยู่ด้วย คาดว่ารัฐบาลคงจะแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้อย่างรวดเร็ว
นายอนนต์ สิริแสงทักษิณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือปตท.สผ. กล่าวว่า การทบทวนความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลไทย-กัมพูชานั้น คงต้องรอดูนโยบายรัฐบาล และศักยภาพของแหล่งปิโตรเลียมด้วย ยืนยันว่าไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากปัจจุบันปตท.สผ.ได้เข้าสำรวจปิโตรเลียมในแปลงกัมพูชาบี ที่ประเทศกัมพูชา โดยเจาะหลุมสำรวจแล้ว 1 หลุมเมื่อปีที่แล้ว แต่ไม่พบปิโตรเลียม และปีหน้าจะเจาะหลุมเพิ่มอีก 1 หลุมหากไม่พบอะไรก็คงต้องคืนแปลงสัมปทานไป ส่วนพื้นที่คาบเกี่ยวไทย-กัมพูชานั้นยังไม่ได้มีการเข้าไปสำรวจใดๆทั้งสิ้น
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ) เปิดเผยว่า สำหรับการลงทุนของไทยในกัมพูชา เริ่มเข้าไปลงทุนตั้งแต่ปี 2537 โดยมีมูลค่าการลงทุนรวม 318.07 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10,496 ล้านบาท โดยไทยถือเป็นประเทศที่มีการลงทุนเป็นอันดับที่ 7 ในขณะที่การลงทุนอันดับที่ 1 แรก ได้แก่ มาเลเซีย 2,117 ล้านเหรียญสหรัฐฯ จีน 770 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ไต้หวัน 582 ล้านเหรียญสหรัฐฯ สหรัฐฯ 334 ล้านเหรียญสหรัฐ และเกาหลีใต้ 293 ล้านเหรียญสหรัฐฯ
ทั้งนี้ในปี 2551 ไทยมีการลงทุนที่ได้รับการอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนกัมพูชาจำนวน 4 โครงการ เงินลงทุน มูลค่า 30.67 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือประมาณ 1,012 ล้านบาท ได้แก่ การผลิตอ้อยและน้ำตาลของกลุ่มบริษัท Thai Beverage ธุรกิจภาคการขนส่งเพื่อสร้างท่าเรือโดยบริษัทในกลุ่มบริษัทน้ำตาลขอนแก่นของไทย และการลงทุนของกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ เกี่ยวกับโรงพยาบาลนานาชาติในนามบริษัท Phnom Penh Medical Service จำกัด
สำหรับจำนวนนักลงทุนไทยในกัมพูชา มีจำนวนทั้งสิ้น 69 ราย ซึ่งเป็นที่รู้จัก ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเบียร์ช้าง ธุรกิจเบียร์สิงห์ กลุ่มบริษัทสามารถคอร์ปอเรชั่น ,กลุ่มคอลเกต ปาล์มโอลีฟ ,บริษัทอีซูซี เซอร์วิส ,กลุ่มบริษัท ซี.พี.,กลุ่มเครือซิเมนต์ไทย ,กลุ่มบริษัทเบทาโกร เป็นต้น
**กระทบท่องเที่ยวแน่นอน
นายประกิจ ชินอมรพงศ์ นายกสมาคมโรงแรมไทย เปิดเผยว่า ความขัดแย้งของไทยกับกัมพูชา จากนี้ไปกระทบตลาดท่องเที่ยวแน่นอน ซึ่งตั้งแต่ต้นปีมานี้ คนเขมรที่มาเที่ยวประเทศไทยในช่วง 8 เดือนแรกปีนี้มีประมาณ 62,000 คน ลดลงไป 2,000 คน จากเดิมช่วงเดียวกันที่มี 64,000 คน
นายเจริญ วังอนานนท์ นายกสมาคมไทยบริการท่องเที่ยว กล่าวว่า คนไทยไปเที่ยวที่เขมรลดลงเกือบ 90% ตั้งแต่ช่วงที่ไทยกับเขมรมีปัญหาเรื่องเขาพระวิหารกันแล้ว แต่เหตุการณ์ล่าสุดขณะนี้ที่มีความรุนแรงขึ้นอีกในด้านที่กระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ คาดว่าจะส่งผลให้คนไทยหยุดการไปท่องเที่ยวที่เขมรแน่นอนเกือบทั้งหมด
ทั้งนี้คนไทยไปเที่ยวเขมรประมาณ 7-8 แสนคนต่อปี จุดหมายปลายทางหลักคือ เมืองเสียมเรียบและนครวัด โดยมีค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 10,000 บาทต่อคนต่อครั้ง
นายสามารถ ศรีดาวเรือง ผู้จัดการฝ่ายสินค้าการตลาด บริษัท หนุ่มสาวทัวร์ จำกัด ให้ความเห็นว่า ตั้งแต่เกิดสถานการณ์ตึงเครียดก่อนหน้านี้ พบว่าลูกค้าทัวร์ของบริษัทที่ไปเขมรหายไปกว่า 50% แล้ว
**เลขาฯหออีสานจวก “ฮุนเซน”ทำแตกแยก
ขณะที่นายทวิสันต์ โลณานุรักษ์ เลขาธิการหอการค้าภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และที่ปรึกษาหอการค้าจังหวัดนครราชสีมา กล่าวถึงกรณี นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรี แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษชายหนีคดีอาญาแผ่นดิน เป็นที่ปรึกษาส่วนตัวและที่ปรึกษารัฐบาลกัมพูชาด้านเศรษฐกิจ ว่า กรณีนี้หากเป็นเรื่องส่วนตัวของ นายฮุน เซน ที่ต้องการให้ พ.ต.ท.ทักษิณเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวก็สามารถทำได้ แต่หากเป็นเรื่องของการเป็นที่ปรึกษาของรัฐบาลหรือประเทศแล้ว นายฮุน เซน นายกรัฐมนตรีกัมพูชาจะทำอย่างนั้นไม่ได้ โดยเฉพาะในฐานะเป็น 1 ใน 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนที่มีความสัมพันธ์กันอยู่ นับว่าเป็นการทำในสิ่งที่ไม่เหมาะสมและถือว่าเป็นการไม่ให้เกียรติประเทศไทยซึ่งเป็น 1 ในประเทศสมาชิกอาเซียน
ทั้งนี้ เนื่องจาก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นนักโทษหลบหนีคดีของไทย ซึ่งจะกระทบโดยตรงต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับกัมพูชาอย่างร้ายแรง และอาจส่งผลต่อความไม่วางใจซึ่งกันและกันของแต่ละประเทศในกลุ่มอาเซียนจนก่อให้เกิดความแตกแยกได้ ประกอบประเด็นความขัดแย้งเกี่ยวกับทรัพยากรพลังงานในทะเลอ่าวไทย อาจถึงขั้นแตกหักนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างรุนแรงได้
“ในส่วนของนักธุรกิจไทยเอง ซึ่งได้เข้าไปลงทุน และทำธุรกิจค้าขายอยู่ในกัมพูชาจำนวนไม่น้อย ทั้งกิจการโรงแรม ท่องเที่ยว และการสื่อสาร รวมทั้งการค้าชายแดน ก็ต้องปรับตัวภายใต้สถานการณ์ความขัดแย้งที่อาจลุกลามมากขึ้นได้ โดยต้องวิเคราะห์สถานการณ์อยู่ตลอดเวลาว่าควรจะทำอย่างไร และต้องนำเรื่องนี้เข้าสู่การหารือเพื่อเตรียมพร้อมรับมือ และ เสนอแนวทางแก้ปัญหาของภาคเอกชนต่อรัฐบาลไทย ในการประชุมหอการค้าไทยทั่วประเทศที่ จ.เชียงใหม่ ปลายเดือนนี้ด้วย” นายทวิสันต์ กล่าว
การที่นายฮุน เซน ผู้นำสูงสุดของกัมพูชา ออกมาประกาศท่าทีขั้นแตกหักกับประเทศไทยและยกย่องสนับสนุน พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งเป็นนักโทษหนีคดีในครั้งนี้ คงมีผลประโยชน์รองรับที่อาจเป็นเม็ดเงินหรืออื่นๆ สูงมาก หรือ ไม่ก็เกิดจากความไม่พอใจขั้นสูงสุดต่อรัฐบาลไทยถึงกระทำเช่นนี้ได้
แต่อย่างไรก็ตามเชื่อว่า ประชาชนชาวกัมพูชาและนักธรุกิจกัมพูชาเองก็คงไม่สบายใจต่อการกระทำของ นายกรัฐมนตรีของเขาเช่นกัน เพราะปัจจุบันชาวกัมพูชาและนักธุรกิจกัมพูชาส่วนใหญ่ยังจำเป็นต้องพึ่งพาและทำธุรกิจค้าขายกับประเทศไทยอยู่มาก โดยการค้าชายแดนของ 2 ประเทศ
**ชายแดนไทย-เขมรที่ จ.ตราดยังคงปกติ
นาวาเอกปริญญาธรรม พูลพิทักษ์ธรรม ผู้บังคับการหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธินตราด เผยว่า ขณะนี้สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชาด้านจังหวัดตราดยังคงปกติ ประชาชนทั้ง 2 ประเทศยังเข้า-ออกตามปกติ ซึ่งส่วนใหญ่ยังไม่มีใครทราบเรื่องที่ทางรัฐบาลได้สั่งให้เอกอัครราชทูตประจำกัมพูชากลับประเทศ หลังจากทางการพนมเปญ ประกาศแต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกองกำลังได้เตรียมพร้อมเรื่องของการรักษาความปลอดภัยให้กับคนที่เข้าไปค้าขายที่ประเทศกัมพูชา พร้อมทั้งได้มีการบอกกล่าวให้ประชาชนได้รับทราบข่าว ซึ่งหากคนไทยจะกลับเข้าประเทศ หลังจากด่านถาวรหาดเล็กที่อำเภอใหญ่ จังหวัดตราด ก็พร้อมที่จะเปิดรับคนไทย เข้าประเทศ ส่วนคนกัมพูชาก็จะพยายามผลักดันออกให้หมด ก่อนปิดด่านในเวลา 20.00 น.
**แม่ค้าเขมรโรงเกลือแห่ปิดร้านกลับประเทศ
ส่วนบริเวณตลาดโรงเกลือ ใกล้จุดผ่านแดนถาวรบ้านคลองลึก อ.อรัญประเทศ ซึ่งเป็นตลาดการค้าชายแดนที่มีชาวกัมพูชาเข้ามาค้าขายกว่า 5 พันร้านค้า และมีกรรมกรชาวเขมรเข้ามารับจ้างอีกวันละกว่า 3 พันคน ตั้งแต่เวลาประมาณ 16.30 น.พ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรต่างได้รู้ข่าวรัฐบาลไทยเรียกทูตไทยประจำกรุงพนมเปญกลับประเทศ เพื่อตอบโต้กัมพูชาที่แต่งตั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ ของไทยที่หลบหนีคดี เป็นที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจ และที่ปรึกษานายกรัฐมนตรีกัมพูชา ทำให้พ่อค้าแม่ค้าชาวเขมรแตกตื่นวิพากษ์วิจารณ์ บางรายกลัวจะมีการปิดด่านชายแดนอรัญประเทศ จึงปิดร้านเดินทางกลับประเทศกัมพูชาเร็วกว่าปกติทุกวัน
ด้านนักพนันชาวไทยที่เดินทางไปเสี่ยงโชคในบ่อนกาสิโนฝั่งปอยเปต ประเทศกัมพูชา หลายคนรีบเดินทางกลับประเทศ เพราะเกรงว่าจะทำให้เกิดเหตุเหมือนกรณีเผาสถานทูตไทยในกัมพูชา เมื่อปี 2544 จึงชักชวนกันเดินทางกลับ ส่วนบรรยากาศบริเวณหน้าด่านชายแดนอรัญประเทศยังปกติ เจ้าหน้าที่ทั้งไทย-กัมพูชายังปฏิบัติหน้าที่ปกติ ไม่มีคำสั่งใดๆลงมา