ณ บ้านพระอาทิตย?
โดย...ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
สัปดาห์นี้แกนนำครบ 5 คนพร้อมกับ สุริยะใส กตะศิลา และผมได้มาประชุมกันอีกครั้งหนึ่งที่บ้านพระอาทิตย์
เพราะว่าถ้า 5 แกนนำมาประชุมกันครบเมื่อใด และจะต้องมีการออกแถลงการณ์ ย่อมแสดงว่าเรื่องเหล่านั้นต้องถือเป็นเรื่องใหญ่ของบ้านเมือง เพราะได้เคยออกมาต่อสู้ในระดับขับไล่นายกรัฐมนตรีมาแล้วถึง 3 คน
สัปดาห์นี้ถือเป็นช่วงเวลาอิ่มตัวและเหมาะสมที่แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะได้แสดงจุดยืนให้มีความชัดเจนต่อสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันใน 3 กรณี
กรณีแรก คือกรณีที่ประชาชนชาวมาบตาพุด จังหวัดระยอง ซึ่งนำโดยนายสุทธิ อัชฌาศัย ได้ประท้วงรัฐบาลให้ทำตามรัฐธรรมนูญ เพราะเขตอุตสาหกรรมมาบตาพุด มีโรงงานอุตสาหกรรมไม่ทำตามบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญและไม่ทำตามกฎหมาย ส่งผลทำให้เกิดมลพิษและมีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประชาชนในพื้นที่ และศาลปกครองได้มีคำสั่งให้หยุดการลงทุนใดๆที่ไม่ทำตามกฎหมายในพื้นที่ดังกล่าว
กรณีที่สอง คือกรณีสหภาพแรงงานรถไฟแห่งประเทศไทย สร.รฟท. ซึ่งนำโดยนายสาวิตต์ แก้วหวาน ได้ประท้วงขับไล่ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทยที่ใช้อำนาจโดยมิชอบ และมีการหยุดงานเพราะหัวรถจักรมีสภาพไม่พร้อมที่จะเดินรถเป็นอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และการรถไฟแห่งประเทศไทยเอง
กรณีที่สาม คือการที่กลุ่มประชาชนที่นำโดยนายวีระ สมความคิด ได้ประกาศว่าจะไปล้อมสถานทูตกัมพูชาในวันที่ 2 พฤศจิกายน 2552 เพราะถือว่าได้ครบกำหนดเส้นตาย 7 วัน ที่ได้ยื่นหนังสือต่อรัฐบาลกัมพูชาว่าให้ถอนทหารและประชาชนชาวกัมพูชาออกจากผืนแผ่นดินไทยโดยไม่มีเงื่อนไข
บังเอิญว่าการเคลื่อนไหวของทั้ง 3 กรณี มีแกนนำที่ล้วนแล้วแต่เคยขึ้นเวทีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยมาแล้วทั้งสิ้น!
นายสุทธิ อัชฌาศัย เป็นองค์กรแนวร่วมที่เข้าต่อสู่กับระบอบทักษิณ ร่วมกับพันธมิตประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และชูปัญหาเรื่องสิ่งแวดล้อมมาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเป็นกรรมการบริหารพรรคการเมืองใหม่
นายสาวิตต์ แก้วหวาน เป็นประธานสหภาพแรงงานรถไฟแห่งประเทศไทย เป็นแกนนำรุ่นที่ 2 ของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย
นายวีระ สมความคิด เป็นนักเคลื่อนไหวที่ต่อต้านการคอร์รัปชั่นทุกรูปแบบ และเป็นแกนนำคนสำคัญในเครือข่ายประชาชนที่ติดตามสถานการณ์และทวงคืนเขาพระวิหาร
ด้วยเหตุผลนี้เวลามีการเคลื่อนไหวในทั้ง 3 กรณี สื่อมวลชนบ้านเรารวมถึงข่าวระบบ SMS ก็มักจะใช้คำพูดบุคคลเหล่านี้ว่เป็น “พันธมิตรฯ” บ้าง หรือเรียกเป็น “แกนนำพันธมิตรฯ” บ้าง ซึ่งทำให้คนที่ไม่เข้าใจความเป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ก็อาจจะเข้าใจไปว่าการเคลื่อนขององค์กรเหล่านี้ มีแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยหรือพรรคการเมืองใหม่บงการอยู่เบื้องหลัง
ทั้งๆที่ไม่เป็นเรื่องจริงเลย แต่ประการใด!
เพราะในความเป็นจริงคำว่าพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย นอกจากจะมีประชาชนที่เป็นปัจเจกบุคคลแบบไม่สังกัดองค์กรใดเข้าร่วมการเคลื่อนไหวในช่วงเวลาที่ผ่านมาแล้ว ยังมีองค์กรแนวร่วมที่มีแนวทางเป็นของตัวเองได้เข้าร่วมการชุมนุมภายใต้ธงผืนใหญ่ในนามพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยอีกด้วย
องค์กรแนวร่วมอย่าง สหภาพแรงงานในรัฐวิสาหกิจ องค์กรภาคประชาชนในเรื่องสิ่งแวดล้อม ตลอดจนองค์กรประชาชนที่ทำงานเรื่องเขาพระวิหาร ต่างก็มีอิสรภาพในการตัดสินใจและวิจารณญาณของตัวเองโดยที่ไม่ต้องขอมติจาก 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยแต่ประการใด
แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จึงไม่เคยแสดงจุดยืนทั้ง 3 กรณี เพราะถือว่าเป็นเสรีภาพในการจัดกิจกรรมที่บริสุทธิ์ขององค์กรแนวร่วม โดยไม่ได้มีเป้าหมายของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หรือ พรรคการเมืองใหม่ อยู่เบื้องหลังหรือเกี่ยวข้อง
เพราะการต่อสู้มาตั้งแต่ปี 2549 มาจนถึงการชุมนุมครั้งประวัติศาสตร์ 193 วันในปี 2551 ได้หล่อหลอมทางความคิดในเป้าหมายสูงสุดของคนที่เป็นพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้อย่างเป็นเอกภาพโดยมองผลประโยชน์ของชาติและประชาชนเป็นที่ตั้ง
แกนนำพันธมิตรฯและคนที่เป็นพันธมิตรฯ ย่อมมีจิตสาธารณะ ต้องเห็นด้วยอย่างแน่นนอนที่ โรงงานอุตสาหกรรมต้องปฏิบัติตามกฎหมายสิ่งแวดล้อมอย่างเคร่งครัด เพื่อไม่ให้มลพิษได้ทำร้ายร่างกายและชีวิตของประชาชนผู้บริสุทธิ์
แกนนำพันธมิตรฯและคนที่เป็นพันธมิตรฯ ต่างย่อมเห็นด้วยกับเป้าหมายในการขับไล่ผู้บริหารรัฐวิสาหกิจที่ทุจริตคอร์รัปชั่น และย่อมต้องเห็นด้วยกับการหยุดการเดินรถหากหัวรถจักรรถไฟเกิดความชำรุดไม่มีความพร้อมในการเดินรถซึ่งจะก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนได้
แกนนำพันธมิตรฯและคนที่เป็นพันธมิตรฯ ต่างเห็นด้วยการต่อต้านการยึดครองดินแดนไทยรอบปราสาทพระวิหาร และการยอมรับแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของรัฐบาลและรัฐสภาไทยที่จะนำไปสู่การสูญเสียดินแดนไทยจำนวนมหาศาลในอนาคต และย่อมเห็นด้วยในการเรียกร้องให้รัฐบาลไทยและทหารไทยจะต้องผลักดันทหารและประชาชนชาวกัมพูชาออกจากดินแดนไทยโดยไม่มีเงื่อนไข
แม้ว่าจะมีเป้าหมายไม่แตกต่างกัน แต่การกำหนดยุทธวิธีอาจไม่เหมือนกัน และหากพลาดในความเป็นจริง หรือพลาดท่าในทางการต่อสู้สมรภูมิสื่อมวลชนเมื่อไร สังคมย่อมไม่สามารถแยกแยะได้
โดยเฉพาะพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยและพรรคการเมืองใหม่มีโจทก์อยู่ไม่น้อย ก็ย่อมที่จะถูกถล่มใส่ร้ายในความผิดพลาดในยุทธวิธีขององค์กรแนวร่วมได้
ในทางตรงกันข้าม หากองค์กรแนวร่วมเคลื่อนไหวด้วยตัวเองแล้วยังไม่มีพลังหรือเกิดพลาดท่าเสียเปรียบในสมรภูมิสื่อมวลชน บางครั้งการยกระดับให้เป็นมติของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในกิจกรรมขององค์กรแนวร่วมนั้นๆย่อมต้องมีพลังมากขึ้นกว่าเดิมได้อย่างแน่นอน
นั่นเป็นที่มาในการแสดงจุดยืนของ 5 แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ต่อการเคลื่อนไหวขององค์กรแนวร่วมทั้ง 3 กรณี ผ่านแถลงการณ์พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ฉบับที่ 4/2552 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2552 เพื่อทำให้ประชาชนเกิดความชัดเจนในการตัดสินใจว่าจะเข้าร่วมหรือสนับสนุนในกิจกรรมขององค์กรแนวร่วมเหล่านั้นมากน้อยเพียงใด
ที่กล่าวมาข้างต้นแม้ว่าตัวบุคคลจะมีความคาบเกี่ยวกัน แต่ความแตกต่างระหว่าง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พรรคการเมืองใหม่ และองค์กรแนวร่วม ถ้ามีความแตกต่างกันในวิธีการจะทำให้ประชาชนเกิดความสับสนไม่ได้
ถือเป็นอีกก้าวหนึ่งในวิวัฒนาการที่น่าสนใจของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย!