"ณ บ้านพระอาทิตย์"
โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์
การประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2552 ของพรรคการเมืองใหม่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา ได้ถูกบันทึกในประวัติศาสตร์อีกครั้งหนึ่งสำหรับวิวัฒนาการของพรรคการเมืองไทย
นับตั้งแต่การกำเนิดขึ้นของพรรคการเมืองใหม่ ด้วยการลงมติของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย (พันธมิตรฯ) เมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2552 ให้แกนนำตั้งพรรคการเมือง มาจนถึงการประชุมเพื่อเลือกหัวหน้าพรรคและกรรมการบริหารพรรคของพรรคการเมืองใหม่เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552 ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่เป็นครั้งแรกในประเทศไทยหลายประการ
ประการแรก พรรคการเมืองใหม่เป็นพรรคแรกในประเทศไทยที่ก่อตั้งดวยการลงมติของมวลชนจำนวนมาก ซึ่งแตกต่างจากพรรคการเมืองอื่นในประเทศไทยเกือบทั้งหมดที่ก่อตั้งจากนายทุนและนักการเมืองเพียงไม่กี่คน
ประการที่สอง พรรคการเมืองใหม่เป็นพรรคแรกที่เก็บค่าสมาชิกแรกเข้าและค่าบำรุงรายปีถึง 220 บาท เพื่อเป็นการทำให้สมาชิกพรรคการเมืองมีความรู้สึกเป็นเจ้าของในพรรคตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากหลายพรรคการเมืองที่นอกจากจะไม่เก็บค่าสมาชิกแล้ว ในบางครั้งยังต้องจ่ายเงินเพื่อเป็นแรงจูงใจให้ประชาชนมาสมัครสมาชิกด้วยซ้ำ และแม้ว่าจะต้องจ่ายค่าสมัครสมาชิกพรรคการเมืองด้วยจำนวนเงินที่สูงที่สุดในประเทศไทย แต่ก็สามารถรวบรวมสมาชิกและตั้งสาขาพรรคได้ครบตามกฎหมาย จนสามารถประชุมใหญ่สามัญประจำปีเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2552 ที่ผ่านมา
การเก็บค่าสมาชิกดังกล่าวข้างต้น เป็นจุดเริ่มต้นในเจตนารมณ์ของพรรคการเมืองใหม่ที่ต้องการจะหาทุนการเงินของตัวเองโดยการสนับสนุนจากสมาชิกพรรค เพื่อเป็นการลดอิทธิพลการพึ่งพิงทุนสามานย์ขนาดใหญ่ที่จะมาครอบงำพรรคการเมือง และป้องกันมิให้ทุนสามานย์ขนาดใหญ่มาถอนทุนคืนจากการทุจริตคอร์รัปชั่นผ่านพรรคการเมืองใหม่ได้
ประการที่สาม พรรคการเมืองใหม่เป็นพรรคแรก ที่จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปีและเชิญสมาชิกทั้งประเทศเข้าร่วมประชุมและตัดสินใจในการเลือกผู้บริหารของพรรคการเมืองด้วยตัวเอง อันเป็นการเคารพต่อสมาชิกที่เป็นเจ้าของพรรคและจ่ายเงินสนับสนุนให้กับพรรค และแม้ว่าจะใช้เวลานานกับการใช้วิธีลงคะแนนลับด้วยการหย่อนบัตรในคูหาซึ่งใช้เวลานานติดต่อกันกว่า 12 ชั่วโมง แต่ก็เป็นวิธีการที่โปร่งใสและใช้ “กระบวนการประชาธิปไตยทางตรง” เป็นครั้งแรกทั้งการแสดงความคิดเห็น และใช้สิทธิลงคะแนนในการเลือกผู้นำพรรคและผู้บริหารพรรคของตัวเอง ซึ่งแตกต่างจากทุกพรรคการเมืองที่จำกัดคนที่จะมาเลือกผู้นำและผู้บริหารพรรคด้วยกลุ่มคนเพียงไม่กี่คน
ด้วยรากฐานที่สำคัญดังกล่าวข้างต้น จึงย่อมทำให้พรรคการเมืองใหม่ มีความแตกต่างจากพรรคการเมืองทั้งหมดที่มีอยู่ในปัจจุบัน
นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นตำแหน่งหัวหน้าพรรค ด้วยคะแนนเสียงไว้วางใจจากสมาชิกที่เข้าร่วมประชุมใหญ่อย่างท่วมท้น ซึ่งสอดคล้องกับความคิดเห็นส่วนใหญ่ของพันธมิตรฯ ที่ได้กรอกแบบสอบถามในการตั้งพรรคการเมืองเมื่อวันที่ 24 และ 25 พฤษภาคม 2552 ว่าต้องการให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหน้าพรรคมากที่สุด
“ผมไม่อยากเป็น แต่ผมต้องเป็น” เป็นคำที่นายสนธิ พูดกับคนใกล้ชิดให้ฟังก่อนหน้านี้อยู่ตลอดถึงตำแหน่งหัวหน้าพรรค เพราะประชาชนที่ร่วมต่อสู้มาต้องการให้เป็น
ที่น่าแปลกก็คือ นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหน้าพรรคที่ไม่ใช่มหาเศรษฐีทุนใหญ่ เป็นหัวหน้าพรรคที่ยังต้องต่อสู้กับคดีความจำนวนมาก เป็นหัวหน้าพรรคที่เคยถูกรุมฆ่ายิงถล่มด้วยอาวุธสงครามในกลางกรุง เป็นหัวหน้าพรรคที่เคยถูกโจมตีด้วยข้อมูลข่าวสารรูปแบบต่างๆในรอบหลายปีมากที่สุด แม้จะมีอุปสรรคและรู้ดีว่ามีความเสี่ยงรออยู่ข้างหน้ามากมายขนาดนี้ แต่สมาชิกพรรคการเมืองใหม่ก็ยังคงยืนยันที่จะให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล เป็นหัวหน้าพรรคต่อไป และมีแนวโน้มที่จะมีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสนับสนุนนายสนธิเพิ่มขึ้นมากเรื่อยๆ
การที่มวลสมาชิกต่างเลือกนายสนธิ ลิ้มทองกุลให้เป็นหัวหน้าพรรคแบบไร้คู่แข่ง ย่อมแสดงให้เห็นว่า สมาชิกพรรคการเมืองใหม่มีความศรัทธาและเชื่อมั่นว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล “จะเป็นผู้นำที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้”
ด้วยความเป็นนักประวัติศาสตร์ เป็นผู้ที่มีพลังอำนาจในการพูดสื่อสารเรื่องที่เข้าใจยากให้เข้าใจง่าย มีประสบการณ์ชั้นครูในการทำอาชีพสื่อมวลชน ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศที่ก้าวหน้าและติดตามข้อมูลข่าวสารเชิงลึกที่ทันสมัยอยู่ตลอดเวลา มีความรอบรู้หลายสาขาทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม ด้วยประสบการณ์ที่ทำธุรกิจทั้งความสำเร็จรุ่งเรืองที่สุดในระดับนานาชาติ หรือแม้แต่ผ่านชีวิตที่ล้มละลายเหมือนกับคนไทยจำนวนมากในช่วงเศรษฐกิจฟองสบู่แตกปี 2540 จึงย่อมเข้าใจประเทศไทยอย่างลึกซึ้งทั้งด้านมืดและด้านสว่าง ด้วยความหลากหลายที่กล่าวมาข้างต้น จึงย่อมทำให้นายสนธิ ลิ้มทองกุล มีพื้นฐานที่จะเป็นผู้นำพรรคได้อย่างไม่ต้องสงสัย
แต่สิ่งที่มวลสมาชิกต่างพร้อมใจกันเลือกนายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็น่าจะเป็นเพราะการต่อสู้ในรอบ 5 ที่ผ่านมา ได้พิสูจน์แล้วว่า นายสนธิ ลิ้มทองกุล ได้ทุ่มเททำงานเพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ ปกป้องราชบัลลังก์ รักษาหลักนิติรัฐ ต่อสู้และขับไล่นักการเมืองชั่ว จนยอมเสียสละทรัพย์สินเงินทอง และถึงขั้นเอาชีวิตเข้าเสี่ยง เหมือนกับคำที่นายสนธิ ลิ้มทองกุลได้พูดอยู่เสมอว่า “ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง” ซึ่งมีความหมายกับตรงกับคำว่า “กล้าได้กล้าเสีย และกล้าตัดสินใจ เพื่อรักษาความถูกต้อง”
แต่การเป็นหัวหน้าพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีกรอบกฎหมายและกติกามากมายที่ต้องคอยระมัดระวังมากกว่าเป็นเจ้าของกิจการสื่อมวลชนหรือเป็นผู้นำมวลชน ซึ่งแน่นอนว่ายิ่งมีความแหลมคมและแปลกแยกจากพรรคการเมืองอื่นๆ ก็ย่อมมีกลุ่มที่ต้องการจ้องจับผิด และจ้องทำลายหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ที่ชื่อ นายสนธิ ลิ้มทองกุล หนักหน่วงมากขึ้นอย่างแน่นอน
แต่ที่สำคัญที่สุด การมีตัวแทนแกนนำพันธมิตรฯ มาเป็นหัวหน้าพรรค ย่อมทำให้เกิดความเชื่อมั่นได้ว่า 5 แกนนำพันธมิตรฯจะคอยสนับสนุนพรรคการเมืองใหม่ให้เป็นเครื่องมือของพันธมิตรฯที่จะสร้างการเมืองใหม่ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
โดยเฉพาะเมื่อปรากฏเป็นภาพที่เหล่าวีรชน ผู้บาดเจ็บ และครอบครัวผู้เสียชีวิต จากการเข้าร่วมชุมนุมอย่างสงบกับพันธมิตรฯ ได้เสนอนโยบายต่อหัวหน้าพรรคการเมืองใหม่ ยิ่งตอกย้ำให้เห็นว่าพรรคการเมืองใหม่มีพันธะและคำมั่นสัญญาที่จะต้องทำให้การเสียสละของวีรชนเหล่านั้นไม่สูญเปล่าอย่างแน่นอน