ASTVผู้จัดการรายวัน - ไอเอ็นจีประกันชีวิตยันแผนปรับโครงสร้าง"ไอเอ็นอี กรุ๊ป"ที่จะขายธุรกิจประกันชีวิตออกไปภายใน 4 ปีไม่กระทบการดำเนินงาน ยังคงเดินหน้ากลยุทธขายผ่านช่องทางแบงก์แอสชัวรันส์ต่อ ระบุแนวทางการขายหุ้นขั้นแรกจะนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ แต่หากไม่สำเร็จจะหาผู้ซื้อแบบเฉพาะเจาะจง
นายราเจซ เสฐฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไอเอ็นจี ประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า จากที่ไอเอ็นจีกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีแผนที่จะปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์คืนสู่สามัญตามที่เคยตั้งไว้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย 3 มาตรการดังนี้ 1.ไอเอ็นจีกรุ๊ปได้ตัดสินใจที่จะแยกธุรกิจการธนาคารและธุรกิจประกันออกจากกันในอีก 4 ปีข้างหน้าคือปี 2556 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบริษัท และลดความเสี่ยง ลดต้นทุน รวมถึงอัตราการก่อหนี้หลังจากวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนต้องการให้ไอเอ็นจีกรุ๊ปมีความโปร่งใสและง่ายต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต ซึ่งการแยกธุรกิจทั้งสองออกจากกันนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ทางไอเอ็นจีกรุ๊ปได้คำนึงถึงประโยชน์ที่คุ้มค่ามากที่สุดที่บริษัทจะได้รับ โดยในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นวิสามัญเพื่อขออนุมัติการแยกแผนธุรกิจ
2.ไอเอ็นจีกรุ๊ปมีแผนในการเพิ่มทุน 7,500 ล้านยูโร เพื่อชำระให้กับรัฐบาลเนเธอแลนด์ที่ได้เพิ่มทุนให้กับไอเอ็นจีกรุ๊ปจำนวน 10,000 ล้านยูโร ด้วยการออกตราสารสิทธิ์ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยจะชำระหนี้และค่าธรรมเนียมในส่วนธุรกิจประกันเป็นจำนวน 5,000 ล้านยูโรที่คาดว่าจะจ่ายหนี้ดังกล่าวเดือนมกราคมปี 2553 ซึ่งธุรกิจประกันก็จะไม่มีมูลหนี้อีกต่อไป ส่วนหนี้อีก 5,000 ล้านยูโรที่เหลือก็จะเป็นในส่วนของกิจการธนาคารที่รับผิดชอบโดยในจำนวนการเพิ่มทุนดังกล่าวหลังจากชำระหนี้ไปแล้วก็จะเหลือ 2,500 ล้านยูโรก็จะโอนให้กับกับธุรกิจการธนาคารเพื่อบริหารจัดการต่อไป
3.และเมื่อกระบวนการข้างต้นเสร็จเรียบร้อยแล้วทางไอเอ็นจีกรุ๊ปก็จะมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของธุรกิจประกันใหม่ ซึ่งจะมีแนวทาง 2 ประการคือ จะนำหุ้นเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกให้กับนักลงทุนหรือประชาชน (IPO) หรืออีกแนวทางที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อแนวทางแรกไม่สามารถเป็นจริงได้คือจะนำหุ้นดังกล่าวจำหน่ายให้กับนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกต่อไป ซึ่งหลังจากนั้นก็จะมีผู้ถือหุ้นและผู้บริหารใหม่เข้ามาแทนไอเอ็นจี กรุ๊ป
อย่างไรก็ตาม หากในอีก 4 ปีข้างหน้าไอเอ็นจีกรุ๊ปขายหุ้นที่ถืออยู่ในธุรกิจประกันออกไปก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจประกันในประเทศไทยในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวบริษัท พนักงาน ตัวแทนจำหน่ายและลูกค้า เนื่องจากแนวทางดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการนานพอสมควร ซึ่งต่อจากนี้ไปบริษัทจะแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับแผนการดังกล่าวให้กับลูกค้าได้รับทราบเพื่อความเข้าใจ
“เราเชื่อว่าแผนงานเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของธุรกิจประกันจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่อยู่ในไทย เนื่องจากเรายังยืนยันที่จะลงทุนและต้องการขยายผลงานเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วยการกระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางการจำหน่ายทุกรูปแบบ อีกทั้งธุรกิจการขายประกันผ่านสาขาธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) ก็ยังคงเป็นไปตามสัญญาที่เคยตกลงกันไว้” นายราเจซ กล่าว
ส่วนทางด้านผลประกอบการเบื้องต้นประจำไตรมาส 3 ปีนี้คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 750 ล้านยูโร ซึ่งมาจากกำไรธุรกิจธนาคารประมาณ 250 ล้านยูโรส่วนอีก 500 ล้านยูโรมากจากธุรกิจประกัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ของปีนี้ที่มีกำไรสุทธิ 229 ล้านยูโร และไตรมาส 3 ปี 2551 ที่ขาดทุนสุทธิ 568 ล้านยูโร
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน ไอเอ็นจีกรุ๊ป มีรายได้รวมจากธุรกิจการธนาคารประมาณ 2,400 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยรับใหม่เติบโตประมาณ 26.9% เทียบกับปีที่ผ่านมาและมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 4.7% ส่งผลให้อันดับของบริษัทในปีนีอยู่ที่ 8 จากปีที่แล้วอยู่อันที่ 9 ในขณะที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฏหมายอยู่ที่ 239% ซึ่งถือว่าสูงมากดังนั้นบริษัทจึงหวังว่าข้อมูลที่ลูกค้าจะได้รับรู้ต่อจากนี้ไปนั้นจะไม่ส่งผลในเชิงลบอย่างแน่นอน
นายราเจซ เสฐฐี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัทไอเอ็นจี ประกันชีวิต จำกัด เปิดเผยว่า จากที่ไอเอ็นจีกรุ๊ป ซึ่งเป็นบริษัทแม่ มีแผนที่จะปรับโครงสร้างองค์กร เพื่อให้สอดคล้องกับกลยุทธ์คืนสู่สามัญตามที่เคยตั้งไว้เมื่อวันที่ 9 เมษายน 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งประกอบด้วย 3 มาตรการดังนี้ 1.ไอเอ็นจีกรุ๊ปได้ตัดสินใจที่จะแยกธุรกิจการธนาคารและธุรกิจประกันออกจากกันในอีก 4 ปีข้างหน้าคือปี 2556 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนการที่นำเสนอต่อคณะกรรมาธิการยุโรป เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้กับบริษัท และลดความเสี่ยง ลดต้นทุน รวมถึงอัตราการก่อหนี้หลังจากวิกฤตการเงินโลกที่เกิดขึ้นทำให้นักลงทุนต้องการให้ไอเอ็นจีกรุ๊ปมีความโปร่งใสและง่ายต่อการดำเนินธุรกิจในอนาคต ซึ่งการแยกธุรกิจทั้งสองออกจากกันนั้นมีทั้งข้อดีและข้อเสีย แต่ทางไอเอ็นจีกรุ๊ปได้คำนึงถึงประโยชน์ที่คุ้มค่ามากที่สุดที่บริษัทจะได้รับ โดยในวันที่ 25 พฤศจิกายนนี้จะมีการประชุมผู้ถือหุ้นวิสามัญเพื่อขออนุมัติการแยกแผนธุรกิจ
2.ไอเอ็นจีกรุ๊ปมีแผนในการเพิ่มทุน 7,500 ล้านยูโร เพื่อชำระให้กับรัฐบาลเนเธอแลนด์ที่ได้เพิ่มทุนให้กับไอเอ็นจีกรุ๊ปจำนวน 10,000 ล้านยูโร ด้วยการออกตราสารสิทธิ์ในตลาดหุ้นนิวยอร์ก โดยจะชำระหนี้และค่าธรรมเนียมในส่วนธุรกิจประกันเป็นจำนวน 5,000 ล้านยูโรที่คาดว่าจะจ่ายหนี้ดังกล่าวเดือนมกราคมปี 2553 ซึ่งธุรกิจประกันก็จะไม่มีมูลหนี้อีกต่อไป ส่วนหนี้อีก 5,000 ล้านยูโรที่เหลือก็จะเป็นในส่วนของกิจการธนาคารที่รับผิดชอบโดยในจำนวนการเพิ่มทุนดังกล่าวหลังจากชำระหนี้ไปแล้วก็จะเหลือ 2,500 ล้านยูโรก็จะโอนให้กับกับธุรกิจการธนาคารเพื่อบริหารจัดการต่อไป
3.และเมื่อกระบวนการข้างต้นเสร็จเรียบร้อยแล้วทางไอเอ็นจีกรุ๊ปก็จะมีการปรับโครงสร้างผู้ถือหุ้นของธุรกิจประกันใหม่ ซึ่งจะมีแนวทาง 2 ประการคือ จะนำหุ้นเข้าไปขายในตลาดหลักทรัพย์เป็นครั้งแรกให้กับนักลงทุนหรือประชาชน (IPO) หรืออีกแนวทางที่จะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อแนวทางแรกไม่สามารถเป็นจริงได้คือจะนำหุ้นดังกล่าวจำหน่ายให้กับนักลงทุนรายใหญ่ระดับโลกต่อไป ซึ่งหลังจากนั้นก็จะมีผู้ถือหุ้นและผู้บริหารใหม่เข้ามาแทนไอเอ็นจี กรุ๊ป
อย่างไรก็ตาม หากในอีก 4 ปีข้างหน้าไอเอ็นจีกรุ๊ปขายหุ้นที่ถืออยู่ในธุรกิจประกันออกไปก็เชื่อว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อการทำธุรกิจประกันในประเทศไทยในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นตัวบริษัท พนักงาน ตัวแทนจำหน่ายและลูกค้า เนื่องจากแนวทางดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลาในการดำเนินการนานพอสมควร ซึ่งต่อจากนี้ไปบริษัทจะแจ้งข่าวสารเกี่ยวกับแผนการดังกล่าวให้กับลูกค้าได้รับทราบเพื่อความเข้าใจ
“เราเชื่อว่าแผนงานเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นของธุรกิจประกันจะไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจที่อยู่ในไทย เนื่องจากเรายังยืนยันที่จะลงทุนและต้องการขยายผลงานเพื่อให้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ด้วยการกระตุ้นยอดขายผ่านช่องทางการจำหน่ายทุกรูปแบบ อีกทั้งธุรกิจการขายประกันผ่านสาขาธนาคารทหารไทย จำกัด (มหาชน) (TMB) ก็ยังคงเป็นไปตามสัญญาที่เคยตกลงกันไว้” นายราเจซ กล่าว
ส่วนทางด้านผลประกอบการเบื้องต้นประจำไตรมาส 3 ปีนี้คาดว่าจะมีกำไรสุทธิประมาณ 750 ล้านยูโร ซึ่งมาจากกำไรธุรกิจธนาคารประมาณ 250 ล้านยูโรส่วนอีก 500 ล้านยูโรมากจากธุรกิจประกัน เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2 ของปีนี้ที่มีกำไรสุทธิ 229 ล้านยูโร และไตรมาส 3 ปี 2551 ที่ขาดทุนสุทธิ 568 ล้านยูโร
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงาน ไอเอ็นจีกรุ๊ป มีรายได้รวมจากธุรกิจการธนาคารประมาณ 2,400 ล้านยูโร เพิ่มขึ้น 42% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา และเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2 ปีนี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมาบริษัทมีเบี้ยรับใหม่เติบโตประมาณ 26.9% เทียบกับปีที่ผ่านมาและมีส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ 4.7% ส่งผลให้อันดับของบริษัทในปีนีอยู่ที่ 8 จากปีที่แล้วอยู่อันที่ 9 ในขณะที่บริษัทมีอัตราส่วนเงินกองทุนต่อเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฏหมายอยู่ที่ 239% ซึ่งถือว่าสูงมากดังนั้นบริษัทจึงหวังว่าข้อมูลที่ลูกค้าจะได้รับรู้ต่อจากนี้ไปนั้นจะไม่ส่งผลในเชิงลบอย่างแน่นอน