19 กันยายน 2552 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้วิดีโอลิงก์เข้ามาปราศรัยในเวทีคนเสื้อแดงความตอนหนึ่งเกี่ยวกับปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชาว่า:
อย่านำเรื่องนี้มาเล่นการเมืองมากเกินไป อย่ามองว่าสมเด็จฯ ฮุนเซน สนิทกับผมเลย ต้องแยกกันระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องของประเทศ กรณีเขาพระวิหาร มีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จะเสด็จฯ ไปเขาพระวิหาร ทางฝรั่งเศสก็มารับเสด็จฯ แล้วก็เอาแผนที่ให้ดู ซึ่งระบุว่าเขาพระวิหารอยู่ฝั่งเขมร สมเด็จกรมพระยาฯ ชอบใจก็เลยขอมา 5 แผ่นใช้ในราชการ ซึ่งแผนที่เขียนขึ้นฝ่ายเดียวคือ ฝรั่งเศส แต่ก็มีทฤษฎีการคัดค้าน ว่าถ้าไม่เห็นด้วยก็ต้องค้าน ในเมื่อเราไม่ค้านตั้งแต่ต้นก็ให้เขาใช้แผนที่เขาตัดสินบนศาลโลก
ดังนั้นเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ส่วนในเรื่องการปักปันเขตแดนนั้น ในเขตพิพาทต้องไม่มีใครอยู่อาศัยจนกว่าจะตกลงกันได้ แต่กัมพูชามีคนอยู่ในเขตพิพาทเราก็เตือนให้เขาเอาคนออกแล้วเจรจาให้ชัดเจนในเรื่องเขตแดน ซึ่งตั้งแต่พิพาทก็ไม่ได้คุยกัน ซึ่งตรงนี้มีคณะกรรมการชายแดนคุยอยู่แล้ว ถ้าทุกฝ่ายคุยกันได้หมดเรื่องก็จบจะใช้เวลา 5 ปี 10 ปี ก็ไม่เป็นไร อย่าแต่เขาเอามาเล่นเป็นเกมการเมืองเลยคุยกันไม่จบ
20 กันยายน 2552 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิสเตอร์ส่วนตัว และตอบคำถามเพื่อนสมาชิกอีกครั้งหนึ่งว่า:
“รู้ไหมว่า เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะเราแพ้คดีที่ศาลโลก เมื่อสมัยจอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกฯ คุณเสนีย์ ปราโมทย์ เป็นทนาย ผมยังเอาค่าขนมบริจาค”
เพื่อความเข้าใจอีกครั้งหนึ่งที่ต้องย้ำว่า กัมพูชาที่พยายามได้ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้ชี้ขาดสภาพทางกฎหมายแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ฝรั่งเศสขีดเส้นเขตแดนแต่ฝ่ายเดียวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายกัมพูชาประการหนึ่ง และพยายามให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาเขตแดนตามแผนที่ดังกล่าวอีกประการหนึ่ง แต่ปรากฏว่าคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 พิพากษาอย่างชัดเจน ไม่รับพิจารณาทั้งสองประเด็นของฝ่ายกัมพูชาแต่ประการใด!
ดังนั้นการใช้คำว่าศาลโลกตัดสินว่า “เขา” พระวิหารเป็นของกัมพูชา จึงเป็นสิ่งที่โกหกบิดเบือน หลอกลวงประชาชน เพราะศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินเฉพาะ “ตัวปราสาท” พระวิหารเท่านั้น!
ซึ่งจุดยืนของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ต่อกรณีเขาพระวิหาร เป็นจุดยืนที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับฮุนเซน
แต่ที่ต้องย้อนรอยกันไปคำพูดในปีนี้ของนักโทษชายทักษิณ กรณีเขาพระวิหาร ก็เพราะเหตุว่ามีความสอดคล้องกับท่วงทำนองคำพูดของ ฮุนเซน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552 ที่ได้ออกมาแถลงข่าวกรณีเขาพระวิหารว่าเหมือนกันกับทักษิณเพียงใด โดยฮุนเซน ได้กล่าวความตอนหนึ่งหลังการพบกับพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยว่า:
“เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน ผมมีความรักในสันติภาพถึงประเทศเพื่อนบ้าน จึงอยากขอให้พวกเราถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่มีปัญหา เพราะไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้า และขอให้คณะกรรมการประสานงานชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) เป็นผู้ดำเนินการแก้ไข”
เป้าหมายของ ฮุนเซน ที่แท้จริงคือต้องการให้ไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร เพื่อให้ตรงตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกให้ทันในเดือนกุมภาพันธ์ 2553
ที่ต้องลืมไม่ได้ก็คือภายใต้กรอบการเจรจาในการปักปันเขตแดน และข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชานั้นมีการอ้างอิงแผนที่อุบาทว์มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของฝ่ายกัมพูชาอีกด้วย
หาก ฮุนเซน นำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกไม่สำเร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 นี้ ก็อาจจะต้องถูกโจมตีทางการเมืองในประเทศตัวเองอย่างหนักหน่วง ส่งผลต่อคะแนนความนิยมของตัวเองอย่างแน่นอน เพราะฮุนเซนได้ใช้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นการสร้างกระแสชาตินิยมและความนิยมให้กับตัวเองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
จึงไม่น่าแปลกใจที่ ฮุนเซน ต้องดิ้นในทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายในการนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกให้ได้
ทั้งการสัมปทานพื้นที่การอนุรักษ์ให้กับประเทศญี่ปุ่น การให้สัมปทานน้ำมันในอ่าวไทยให้กับประเทศมหาอำนาจ ก็เพื่อหาแนวร่วมในการสนับสนุนกัมพูชารอบด้าน
ถึงขนาดพยายามที่จะนำเรื่องกรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อให้สมาชิกในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงเรื่องดินแดน แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
ฮุนเซน ไม่เหลือทางเลือกมากนัก ต้องอาศัยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงในประเทศไทยมาเป็นแนวร่วมในการทำให้เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา และขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกให้ได้
ฮุนเซน แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ ยกนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เทียบชั้นนางอองซาน ซูจี แถลงข่าวในดินแดนไทยว่าจะเชิญนักโทษชายทักษิณให้มาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของกัมพูชา พร้อมสร้างบ้านให้อยู่ และประกาศว่าจะไม่ส่งตัวกลับประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ตามคำสัมภาษณ์ของ ฮุนเซน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552
แต่ทว่าคนอย่าง ฮุนเซน ในระดับนานาชาติยังถือว่าไม่มีเครดิตความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นคนที่เติบโตมาจากการใช้กำลังทางทหารและการรัฐประหาร โกงการเลือกตั้ง ให้สัมปทานและขายทุกอย่างให้กับคนต่างชาติ คอร์รัปชันและตบทรัพย์คนที่มาสัมปทานจนตัวเองมีชีวิตร่ำรวยมหาศาลท่ามกลางความยากจนของประชาชนชาวกัมพูชา โหดเหี้ยมอำมหิตกับนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม ปิดปากนักการเมืองฝ่ายค้านและสื่อมวลชน ดังนั้นการเชิดชูยกย่องนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่มาจากคนพรรค์นี้จึงเป็นเรื่องตลกในระดับโลก
สื่อแทบทุกสำนักต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ฮุนเซน ไม่มีมารยาท! แถมยังมีนักศึกษาพม่าออกมาด่าฮุนเซนว่าไม่ควรเปรียบทักษิณมาเปรียบกับ อองซาน ซูจี ให้เสียหาย กลายเป็นยกระดับความเกลียดชัง ฮุนเซน และทักษิณ ในเวทีนานาชาติเพิ่มมากขึ้น
ส่วนนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ก็มีเวลาเหลืออีกไม่มากเช่นกัน เพราะในเดือนพฤศจิกายนนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็จะพิพากษาคดีการอายัดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ว่าจะถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินทั้งหมดหรือไม่? ซึ่งก็คงต้องดิ้นทุกวิถีทางเช่นกัน และพร้อมไขว่คว้าความช่วยเหลือจากทุกฝ่ายไม่เว้นแม้แต่โอกาสที่ฮุนเซนหยิบยื่นให้
ความเคลือบแคลงสงสัยจึงมีอยู่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีข้อตกลงพิเศษ เช่น ถ้ามีการเปลี่ยนแแปลงอำนาจรัฐ และนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรสามารถกลับบ้านมาได้เร็วโดยที่ไม่มีความผิดใดๆ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ “เขาพระวิหาร” จะเป็นของกัมพูชาและขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ทันเดือนกุมภาพันธ์ 2553 นี้?
ถามว่าถ้าคนอย่าง ฮุนเซน จริงใจที่จะให้นักโทษชายทักษิณมาพักอาศัยอยู่ในกัมพูชาเพราะเห็นใจที่ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เหตุใดเพิ่งจะมายื่นข้อเสนอนี้เมื่อเวลาผ่านไปถึง 3 ปีเศษ!?
ในทางตรงกันข้ามคนอย่างนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้เตรียมที่จะลงทุนทำ เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ในเกาะกงและสัมปทานพลังงานในอ่าวไทย หากมั่นใจในความปลอดภัย และมั่นใจว่าจะไม่ถูกรีดไถหมดตัวในการพักอาศัยอยู่ในกัมพูชา ก็คงไม่ต้องร่อนเร่พเนจรไปทั่วโลกและพักอยู่ที่ดูไบเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จริงหรือไม่!?
ถามใจนักโทษชายทักษิณ วันนี้คงจะไม่กล้าไปอาศัยอยู่ในกัมพูชาจริงๆ (ถ้าไม่จำเป็น) เพราะรู้ดีว่าคนอย่างฮุนเซนก็พร้อมจะหักหลัง เปลี่ยนสัญญาและข้อตกลง หรือตบทรัพย์ทุกคนได้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ
แล้วถ้าถามใจ ฮุนเซน ว่าหากนักโทษชายมาอาศัยอยู่ในกัมพูชาจริงๆ และกัมพูชาไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนให้กับประเทศไทย โดยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอยู่อะไรจะเกิดอะไรขึ้น?
เชื่อได้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นประเทศไทยก็ต้องตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชา ผลที่ตามมาก็คือต้องปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด สินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าจากไทยที่ฝ่ายกัมพูชาพึ่งพิงอยู่จำนวน 47,000 ล้านบาทต่อปีจะต้องกระทบกับประชาชนชาวกัมพูชาอย่างรุนแรงจนยากที่ ฮุนเซนจะรับมือได้ง่ายๆ
แต่ที่หนักกว่าหากมีการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาเชื่อว่ารายได้จากบ่อนการพนันทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายในกัมพูชาจะขาดรายได้อย่างมหาศาลประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาทต่อปี ผลที่ตามมานอกจากจะกระทบต่อภาษีของกัมพูชาเองแล้ว “กระเป๋าฮุนเซน” ส่วนตัวที่เคยรับส่วยจากบ่อนการพนันตามตะเข็บชายแดนประมาณการว่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อเดือน 6,000 ล้านบาทต่อปี ก็จะหายวับไปต่อหน้าต่อตา
ถึงเวลานั้นก็ลองคิดดูว่า ฮุนเซนจะเอาเงินมาจากไหน ถ้าไม่รีดไถเอาจากนักโทษชายทักษิณ ซึ่งนักโทษชายทักษิณก็คงไม่โง่ปล่อยให้ ฮุนเซน รีดไถตัวเองนานมากเกินไปเป็นแน่
เงื่อนไขเวลาจึงมีความสำคัญมาก เพราะหากนักโทษชายทักษิณคิดจะมาอยู่ในประเทศกัมพูชาก็ต้องมั่นใจว่าสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐในประเทศไทยได้ใน “ระยะเวลาอันสั้น” หากไม่มั่นใจก็คงจะเป็นเรื่องยากที่นักโทษชายทักษิณจะอาศัยในกัมพูชาได้จริง นอกจากคำคุยและได้แค่สร้างภาพเท่านั้น!?
แต่มุมติดลบที่คาดไม่ถึง คือกระแสตีกลับประชาชนลามขยายไปถึงอีสานแสดงความไม่พอใจพรรคเพื่อไทยและทักษิณในท่วงทำนองการสมคบฮุนเซนที่กำลังยึดครองดินแดนไทย จนถึงขั้นต้องมีการประชุมประเมินสถานการณ์ในพรรคเพื่อไทย และนักโทษชายทักษิณต้องทวิตเตอร์ปัดพัลวันว่าไม่ได้เป็นคนสั่ง ฮุนเซนให้ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้
กระแสตีกลับจนไม่มีใครคาดเดาได้ว่า พรรคเพื่อไทยจะฝ่ากระแสขายชาติและทรยศชาติครั้งนี้ในภาคอีสานได้ หรือไม่ !?
ในอีกด้านหนึ่ง มุมติดลบที่ฮุนเซนประเมินผิดพลาด ก็คือการตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลไทยอย่างชัดเจน ย่อมทำให้หนทางในการปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ห่างไกลความจริงมากขึ้น และหมายถึงการสั่นคลอนในคะแนนนิยมของฮุนเซนกัมพูชาอย่างแน่นอน
งานนี้ทักษิณ-ฮุนเซน จึงมีแนวโน้มเจ๊งทั้งคู่!!!
อย่านำเรื่องนี้มาเล่นการเมืองมากเกินไป อย่ามองว่าสมเด็จฯ ฮุนเซน สนิทกับผมเลย ต้องแยกกันระหว่างเรื่องส่วนตัวกับเรื่องของประเทศ กรณีเขาพระวิหาร มีประวัติศาสตร์มาตั้งแต่สมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จะเสด็จฯ ไปเขาพระวิหาร ทางฝรั่งเศสก็มารับเสด็จฯ แล้วก็เอาแผนที่ให้ดู ซึ่งระบุว่าเขาพระวิหารอยู่ฝั่งเขมร สมเด็จกรมพระยาฯ ชอบใจก็เลยขอมา 5 แผ่นใช้ในราชการ ซึ่งแผนที่เขียนขึ้นฝ่ายเดียวคือ ฝรั่งเศส แต่ก็มีทฤษฎีการคัดค้าน ว่าถ้าไม่เห็นด้วยก็ต้องค้าน ในเมื่อเราไม่ค้านตั้งแต่ต้นก็ให้เขาใช้แผนที่เขาตัดสินบนศาลโลก
ดังนั้นเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา ส่วนในเรื่องการปักปันเขตแดนนั้น ในเขตพิพาทต้องไม่มีใครอยู่อาศัยจนกว่าจะตกลงกันได้ แต่กัมพูชามีคนอยู่ในเขตพิพาทเราก็เตือนให้เขาเอาคนออกแล้วเจรจาให้ชัดเจนในเรื่องเขตแดน ซึ่งตั้งแต่พิพาทก็ไม่ได้คุยกัน ซึ่งตรงนี้มีคณะกรรมการชายแดนคุยอยู่แล้ว ถ้าทุกฝ่ายคุยกันได้หมดเรื่องก็จบจะใช้เวลา 5 ปี 10 ปี ก็ไม่เป็นไร อย่าแต่เขาเอามาเล่นเป็นเกมการเมืองเลยคุยกันไม่จบ
20 กันยายน 2552 นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้โพสต์ข้อความผ่านทวิสเตอร์ส่วนตัว และตอบคำถามเพื่อนสมาชิกอีกครั้งหนึ่งว่า:
“รู้ไหมว่า เขาพระวิหารเป็นของเขมร เพราะเราแพ้คดีที่ศาลโลก เมื่อสมัยจอมพลสฤษดิ์ เป็นนายกฯ คุณเสนีย์ ปราโมทย์ เป็นทนาย ผมยังเอาค่าขนมบริจาค”
เพื่อความเข้าใจอีกครั้งหนึ่งที่ต้องย้ำว่า กัมพูชาที่พยายามได้ยื่นต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศให้ชี้ขาดสภาพทางกฎหมายแผนที่มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ที่ฝรั่งเศสขีดเส้นเขตแดนแต่ฝ่ายเดียวเพื่อเอื้อประโยชน์ให้ฝ่ายกัมพูชาประการหนึ่ง และพยายามให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิจารณาเขตแดนตามแผนที่ดังกล่าวอีกประการหนึ่ง แต่ปรากฏว่าคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2505 พิพากษาอย่างชัดเจน ไม่รับพิจารณาทั้งสองประเด็นของฝ่ายกัมพูชาแต่ประการใด!
ดังนั้นการใช้คำว่าศาลโลกตัดสินว่า “เขา” พระวิหารเป็นของกัมพูชา จึงเป็นสิ่งที่โกหกบิดเบือน หลอกลวงประชาชน เพราะศาลยุติธรรมระหว่างประเทศตัดสินเฉพาะ “ตัวปราสาท” พระวิหารเท่านั้น!
ซึ่งจุดยืนของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ต่อกรณีเขาพระวิหาร เป็นจุดยืนที่เป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับฮุนเซน
แต่ที่ต้องย้อนรอยกันไปคำพูดในปีนี้ของนักโทษชายทักษิณ กรณีเขาพระวิหาร ก็เพราะเหตุว่ามีความสอดคล้องกับท่วงทำนองคำพูดของ ฮุนเซน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552 ที่ได้ออกมาแถลงข่าวกรณีเขาพระวิหารว่าเหมือนกันกับทักษิณเพียงใด โดยฮุนเซน ได้กล่าวความตอนหนึ่งหลังการพบกับพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทยว่า:
“เกี่ยวกับสถานการณ์ชายแดน ผมมีความรักในสันติภาพถึงประเทศเพื่อนบ้าน จึงอยากขอให้พวกเราถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่ที่มีปัญหา เพราะไม่ต้องการให้เกิดการเผชิญหน้า และขอให้คณะกรรมการประสานงานชายแดนทั่วไปไทย-กัมพูชา(จีบีซี) เป็นผู้ดำเนินการแก้ไข”
เป้าหมายของ ฮุนเซน ที่แท้จริงคือต้องการให้ไทยและกัมพูชาถอนกำลังทหารออกจากพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร เพื่อให้ตรงตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกให้ทันในเดือนกุมภาพันธ์ 2553
ที่ต้องลืมไม่ได้ก็คือภายใต้กรอบการเจรจาในการปักปันเขตแดน และข้อตกลงระหว่างไทย-กัมพูชานั้นมีการอ้างอิงแผนที่อุบาทว์มาตราส่วน 1 ต่อ 200,000 ของฝ่ายกัมพูชาอีกด้วย
หาก ฮุนเซน นำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกไม่สำเร็จในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 นี้ ก็อาจจะต้องถูกโจมตีทางการเมืองในประเทศตัวเองอย่างหนักหน่วง ส่งผลต่อคะแนนความนิยมของตัวเองอย่างแน่นอน เพราะฮุนเซนได้ใช้การขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นการสร้างกระแสชาตินิยมและความนิยมให้กับตัวเองมาตลอดหลายปีที่ผ่านมา
จึงไม่น่าแปลกใจที่ ฮุนเซน ต้องดิ้นในทุกวิถีทางเพื่อบรรลุเป้าหมายในการนำปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกให้ได้
ทั้งการสัมปทานพื้นที่การอนุรักษ์ให้กับประเทศญี่ปุ่น การให้สัมปทานน้ำมันในอ่าวไทยให้กับประเทศมหาอำนาจ ก็เพื่อหาแนวร่วมในการสนับสนุนกัมพูชารอบด้าน
ถึงขนาดพยายามที่จะนำเรื่องกรณีพิพาทระหว่างไทย-กัมพูชา เพื่อให้สมาชิกในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเข้ามาแทรกแซงเรื่องดินแดน แต่ก็ยังไม่สำเร็จ
ฮุนเซน ไม่เหลือทางเลือกมากนัก ต้องอาศัยนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และคนเสื้อแดงในประเทศไทยมาเป็นแนวร่วมในการทำให้เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา และขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารให้เป็นมรดกโลกให้ได้
ฮุนเซน แสดงตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลไทยอย่างเต็มที่ ยกนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เทียบชั้นนางอองซาน ซูจี แถลงข่าวในดินแดนไทยว่าจะเชิญนักโทษชายทักษิณให้มาเป็นที่ปรึกษาเศรษฐกิจของกัมพูชา พร้อมสร้างบ้านให้อยู่ และประกาศว่าจะไม่ส่งตัวกลับประเทศไทยในฐานะที่เป็นผู้ร้ายข้ามแดน ตามคำสัมภาษณ์ของ ฮุนเซน เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2552
แต่ทว่าคนอย่าง ฮุนเซน ในระดับนานาชาติยังถือว่าไม่มีเครดิตความน่าเชื่อถือ เพราะเป็นคนที่เติบโตมาจากการใช้กำลังทางทหารและการรัฐประหาร โกงการเลือกตั้ง ให้สัมปทานและขายทุกอย่างให้กับคนต่างชาติ คอร์รัปชันและตบทรัพย์คนที่มาสัมปทานจนตัวเองมีชีวิตร่ำรวยมหาศาลท่ามกลางความยากจนของประชาชนชาวกัมพูชา โหดเหี้ยมอำมหิตกับนักการเมืองฝ่ายตรงกันข้าม ปิดปากนักการเมืองฝ่ายค้านและสื่อมวลชน ดังนั้นการเชิดชูยกย่องนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ที่มาจากคนพรรค์นี้จึงเป็นเรื่องตลกในระดับโลก
สื่อแทบทุกสำนักต่างพูดกันเป็นเสียงเดียวกันว่า ฮุนเซน ไม่มีมารยาท! แถมยังมีนักศึกษาพม่าออกมาด่าฮุนเซนว่าไม่ควรเปรียบทักษิณมาเปรียบกับ อองซาน ซูจี ให้เสียหาย กลายเป็นยกระดับความเกลียดชัง ฮุนเซน และทักษิณ ในเวทีนานาชาติเพิ่มมากขึ้น
ส่วนนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ก็มีเวลาเหลืออีกไม่มากเช่นกัน เพราะในเดือนพฤศจิกายนนี้ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองก็จะพิพากษาคดีการอายัดทรัพย์ 76,000 ล้านบาทของครอบครัวชินวัตรและดามาพงศ์ว่าจะถูกยึดตกเป็นของแผ่นดินทั้งหมดหรือไม่? ซึ่งก็คงต้องดิ้นทุกวิถีทางเช่นกัน และพร้อมไขว่คว้าความช่วยเหลือจากทุกฝ่ายไม่เว้นแม้แต่โอกาสที่ฮุนเซนหยิบยื่นให้
ความเคลือบแคลงสงสัยจึงมีอยู่ว่า เป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีข้อตกลงพิเศษ เช่น ถ้ามีการเปลี่ยนแแปลงอำนาจรัฐ และนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรสามารถกลับบ้านมาได้เร็วโดยที่ไม่มีความผิดใดๆ ในเดือนพฤศจิกายนนี้ “เขาพระวิหาร” จะเป็นของกัมพูชาและขึ้นทะเบียนมรดกโลกได้ทันเดือนกุมภาพันธ์ 2553 นี้?
ถามว่าถ้าคนอย่าง ฮุนเซน จริงใจที่จะให้นักโทษชายทักษิณมาพักอาศัยอยู่ในกัมพูชาเพราะเห็นใจที่ถูกรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 เหตุใดเพิ่งจะมายื่นข้อเสนอนี้เมื่อเวลาผ่านไปถึง 3 ปีเศษ!?
ในทางตรงกันข้ามคนอย่างนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ซึ่งได้เตรียมที่จะลงทุนทำ เอนเตอร์เทนเมนท์ คอมเพล็กซ์ ในเกาะกงและสัมปทานพลังงานในอ่าวไทย หากมั่นใจในความปลอดภัย และมั่นใจว่าจะไม่ถูกรีดไถหมดตัวในการพักอาศัยอยู่ในกัมพูชา ก็คงไม่ต้องร่อนเร่พเนจรไปทั่วโลกและพักอยู่ที่ดูไบเหมือนที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ จริงหรือไม่!?
ถามใจนักโทษชายทักษิณ วันนี้คงจะไม่กล้าไปอาศัยอยู่ในกัมพูชาจริงๆ (ถ้าไม่จำเป็น) เพราะรู้ดีว่าคนอย่างฮุนเซนก็พร้อมจะหักหลัง เปลี่ยนสัญญาและข้อตกลง หรือตบทรัพย์ทุกคนได้เพื่อผลประโยชน์ของตัวเองเสมอ
แล้วถ้าถามใจ ฮุนเซน ว่าหากนักโทษชายมาอาศัยอยู่ในกัมพูชาจริงๆ และกัมพูชาไม่ส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดนให้กับประเทศไทย โดยที่พรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลอยู่อะไรจะเกิดอะไรขึ้น?
เชื่อได้ว่าเมื่อถึงเวลานั้นประเทศไทยก็ต้องตัดความสัมพันธ์กับกัมพูชา ผลที่ตามมาก็คือต้องปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาทั้งหมด สินค้าอุปโภคบริโภคที่นำเข้าจากไทยที่ฝ่ายกัมพูชาพึ่งพิงอยู่จำนวน 47,000 ล้านบาทต่อปีจะต้องกระทบกับประชาชนชาวกัมพูชาอย่างรุนแรงจนยากที่ ฮุนเซนจะรับมือได้ง่ายๆ
แต่ที่หนักกว่าหากมีการปิดด่านชายแดนไทย-กัมพูชาเชื่อว่ารายได้จากบ่อนการพนันทั้งที่ถูกและผิดกฎหมายในกัมพูชาจะขาดรายได้อย่างมหาศาลประมาณ 5-6 หมื่นล้านบาทต่อปี ผลที่ตามมานอกจากจะกระทบต่อภาษีของกัมพูชาเองแล้ว “กระเป๋าฮุนเซน” ส่วนตัวที่เคยรับส่วยจากบ่อนการพนันตามตะเข็บชายแดนประมาณการว่าไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาทต่อเดือน 6,000 ล้านบาทต่อปี ก็จะหายวับไปต่อหน้าต่อตา
ถึงเวลานั้นก็ลองคิดดูว่า ฮุนเซนจะเอาเงินมาจากไหน ถ้าไม่รีดไถเอาจากนักโทษชายทักษิณ ซึ่งนักโทษชายทักษิณก็คงไม่โง่ปล่อยให้ ฮุนเซน รีดไถตัวเองนานมากเกินไปเป็นแน่
เงื่อนไขเวลาจึงมีความสำคัญมาก เพราะหากนักโทษชายทักษิณคิดจะมาอยู่ในประเทศกัมพูชาก็ต้องมั่นใจว่าสามารถทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอำนาจรัฐในประเทศไทยได้ใน “ระยะเวลาอันสั้น” หากไม่มั่นใจก็คงจะเป็นเรื่องยากที่นักโทษชายทักษิณจะอาศัยในกัมพูชาได้จริง นอกจากคำคุยและได้แค่สร้างภาพเท่านั้น!?
แต่มุมติดลบที่คาดไม่ถึง คือกระแสตีกลับประชาชนลามขยายไปถึงอีสานแสดงความไม่พอใจพรรคเพื่อไทยและทักษิณในท่วงทำนองการสมคบฮุนเซนที่กำลังยึดครองดินแดนไทย จนถึงขั้นต้องมีการประชุมประเมินสถานการณ์ในพรรคเพื่อไทย และนักโทษชายทักษิณต้องทวิตเตอร์ปัดพัลวันว่าไม่ได้เป็นคนสั่ง ฮุนเซนให้ออกมาเคลื่อนไหวครั้งนี้
กระแสตีกลับจนไม่มีใครคาดเดาได้ว่า พรรคเพื่อไทยจะฝ่ากระแสขายชาติและทรยศชาติครั้งนี้ในภาคอีสานได้ หรือไม่ !?
ในอีกด้านหนึ่ง มุมติดลบที่ฮุนเซนประเมินผิดพลาด ก็คือการตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์กับรัฐบาลไทยอย่างชัดเจน ย่อมทำให้หนทางในการปราสาทพระวิหารขึ้นทะเบียนมรดกโลกในเดือนกุมภาพันธ์ 2553 ห่างไกลความจริงมากขึ้น และหมายถึงการสั่นคลอนในคะแนนนิยมของฮุนเซนกัมพูชาอย่างแน่นอน
งานนี้ทักษิณ-ฮุนเซน จึงมีแนวโน้มเจ๊งทั้งคู่!!!