ASTV ผู้จัดการรายวัน – โบรกเกอร์มั่นใจ นักลงทุนต่างชาติหันกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง หลังกระแสข่าวลือคลี่คลายในทิศทางที่ดีจนส่งบวกด้านจิตวิทยาการลงทุน ระบุคนในวงการตลาดทุนเฝ้าจับตาผลงานสำนักงานก.ล.ต. – ตลาดหลักทรัพย์ฯ ลากตัวไอ้โม่งต้นตอข่าวลือมาลงทุน พร้อมแนะนำให้นักลงทุนติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่จะส่งผลต่อตลาดหุ้นภูมิภาค
ในที่สุดกระแสข่าวลือที่ได้ปกคลุมบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้คลี่คลายลง หลังจากในช่วงตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เป็นปัจจัยกดดันสำคัญตลาดตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะวันที่ 14-15 ต.ค. 52 ที่ฉุดดัชนีตลาดหุ้นปรับลดลงหนักเกือบ 60 จุด แต่หลังจากข่าวลือได้คลีคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น จะเป็นแรงช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อไปได้
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันปิยมหาราช ท่ามกลางความปลาบปลื้มของพสกนิกรที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ได้ส่งผลต่อจิตวิทยาด้านการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะในครั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งได้แพร่ภาพไปทั่วโลก จะช่วยเพิ่มความมั่นใจต่อการกลับมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่เดิมมีการลงทุนในแบบเม็ดเงินลงทุน หรือย้ายฐานธุรกิจ จะยิ่งมั่นใจต่อเสถียรภาพและแนวโน้มทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
“นักลงทุนต่างชาติบางรายที่มีการลงทุนในในไทยอยู่แล้ว เมื่อได้รับทราบข่าวดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ย่อมเพิ่มความเชื่อมั่นในแง่จิตวิทยาลงทุนให้กับตลาดทุนได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้เองพวกนี้ก็มีการศึกษาถึงความเสี่ยงในการลงทุนจากปัจจัยการเมืองของไทย และภาพเศรษฐกิจอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเรื่องการเมือง และเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศขณะนี้จึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อดัชนีหุ้นมากเท่าใด เพราะมีการรับรู้และคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนบ้างแล้ว”
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัจจัยในต่างแดนยังเป็นแรงผลักดันดัชนีหุ้นไทยอยู่ เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่มีปัญหายังกดดันดัชนีหุ้นในภูมิภาคนี้ลดลง แม้ตัวเลขจีดีพีของจีนจะโตกว่า 8% อีกทั้งการที่ตัวเลขการว่างงานในสหรัฐฯมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น ล้วนถือเป็นปัจจัยกดให้นักลงทุนต้องหยุดพิจารณา
สำหรับในประเทศนั้น หลังจากข่าวลือได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแร้ว นักลงทุนต่างจับตามการตรวจสอบเพื่อหาต้นตอของข่าวลือ และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพราะต้องการดูฝีมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสำนักงานคณะกรรมการกำกำหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าจะดำเนินการได้สำเร็จหรือไท้ รวมถึงเป็นการพิสูจน์ความตั้งใจในการดำเนินงานของรมว.คลังด้วย
ด้านนายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการงทุนในตลาดหุ้นยังอยู่ในทิศทางที่ผันผวน จากปัจจัยลบภายในประเทศ อาทิ การเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ประกอบกับการเข้าตรวจสอบ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกรณีการปล่อยข่าวลือในตลาดหุ้น ยังคงเป็นตัวแปรหลักที่สำคัญที่ฉุดให้มูลค่าการซื้อขายโดยรวมในตลาดหุ้นปรับตัวลดลงจากความไม่เชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทน ซึ่งจะทำให้ชะลอการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน หากตลาดหุ้นไทยในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 52 ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะหลุดระดับ 700 - 680 จุด โดยเบื้องต้นคาดว่าหากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแตะแนวรับที่สำคัญที่ระดับ 680 จุด จึงแนะนำให้เข้าทยอยซื้อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่จะได้รับอานิสงค์จากการเปิดปะมูลรถไฟฟ้าในส่วนที่เหลือ โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ ได้แก่ CK , ITD และ STEC รวมทั้งยังแนะนำหุ้น PTTEP ที่คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกกว่า 25% ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานบริษัทปรับตัวดีขึ้น
“ปัจจัยลบจากข่าวลือที่เข้ามากระทบภาพรวมการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้สำนักงานก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้ามาตรวจสอบกรณีการล่อยข่าวลือดังกล่าว ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเถียรภาพ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่ 30,000 ล้านบาท” นายธวัชชัย กล่าว
**หุ้นไทยยังลงต่ออีก7.59 จุด
ด้านความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ต.ค. 52 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 708.76 จุด ลดลง 7.59 จุด หรือ 1.06% มูลค่าการซื้อขาย 19,072 ล้านบาท ซึ่งเป็นการการปรับลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่ผิดหวังจากตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่น ถึงแม้ตัวเลข GDP ไตรมาส 3/52 ของจีนที่ออกมาดีมากถึง 8.9% ไม่สามารถดึงให้ตลาดหุ้นฟื้นขึ้นมาได้ ประกอบกับหุ้นเอเชียขึ้นไปทดสอบ จุดสูงสุดในรอบ 14-15 เดือนแล้ว ก็เริ่มจะปรับฐานระยะสั้น
ส่วนมูลค่าซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุน พบว่า สถาบันขายสุทธิ 1,525.31 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 354.63 ล้านบาท โดยมีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 1,879.95 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ เช่น ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 22,210.52 จุด ลดลง 107.59 จุด หรือ -0.48% ส่วนดัชนี คอมโพสิต ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดตลาดที่ระดับ 2,433.18 จุด ลดลง 43.61 จุด หรือ -1.76 % ด้าน
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ปรับตัวลดลง ตามความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะปัจจัยกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง รวมทั้ง ในช่วงใกล้สิ้นปี จะเป็นช่วงปกติที่นักลงทุนต่างชาติจะปรับพอร์ตการลงทุน ขณะที่ผลการรายงานตัวเลข จีดีพี ไตรมาส 3/2552 ของจีนที่ประกาศออกมาในวันที่ 22 ต.ค. 2552 เป็นไปตามคาดการณ์ ตลาดจึงไม่ได้ตอบรับข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องที่สำนักงานก.ล.ต.กำลังตรวจสอบกรณีกระแสข่าวลือทุบหุ้น ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงแรง แต่ทั้งนี้ มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากดำเนินการณ์ได้สำเร็จจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้
สำหรับแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้( 26-30 ต.ค. 2552) มองว่า ยังมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลง หรือเคลื่อนไหวอิงแดนลบ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยปรับพอร์ตการลงทุน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ช่วงปลายปีของทุกปี นักลงทุนต่างชาติ จะมีการปรับพอร์ต และปัจจัยดังกล่าวน่าจะมีส่วนกดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะนี้ ดังนั้น จึงแนะนำนักลงทุนติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/52 ของบริษัทจดทะเบียน ทั้งในและต่างประเทศที่จะประกาศออกมา เพราะหากหุ้นตัวใดรายงานผลประกอบการเป็นไปตามคาดการณ์ จะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน แต่ถ้าหากตัวเลขที่รายงานออกมาไม่เป็นไปตามคาดอาจจะส่งผลกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน นอกจากนี้ ให้ติดตามการประกาศ GDP ในต่างประเทศ อาทิ ประเทศเกาหลีใต้ อังกฤษ และสหรัฐฯ
ในที่สุดกระแสข่าวลือที่ได้ปกคลุมบรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นไทยได้คลี่คลายลง หลังจากในช่วงตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาได้เป็นปัจจัยกดดันสำคัญตลาดตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะวันที่ 14-15 ต.ค. 52 ที่ฉุดดัชนีตลาดหุ้นปรับลดลงหนักเกือบ 60 จุด แต่หลังจากข่าวลือได้คลีคลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น จะเป็นแรงช่วยสนับสนุนให้ตลาดหุ้นไทยเดินหน้าต่อไปได้
นักวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ เสด็จถวายราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันปิยมหาราช ท่ามกลางความปลาบปลื้มของพสกนิกรที่เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทรับเสด็จ อยู่ที่โรงพยาบาลศิริราช ได้ส่งผลต่อจิตวิทยาด้านการลงทุนในตลาดหุ้นไทยอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะในครั้งนี้ สำนักข่าวต่างประเทศหลายแห่งได้แพร่ภาพไปทั่วโลก จะช่วยเพิ่มความมั่นใจต่อการกลับมาลงทุนในประเทศไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มนักลงทุนต่างชาติที่เดิมมีการลงทุนในแบบเม็ดเงินลงทุน หรือย้ายฐานธุรกิจ จะยิ่งมั่นใจต่อเสถียรภาพและแนวโน้มทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
“นักลงทุนต่างชาติบางรายที่มีการลงทุนในในไทยอยู่แล้ว เมื่อได้รับทราบข่าวดีที่เกิดขึ้นเมื่อวันศุกร์ย่อมเพิ่มความเชื่อมั่นในแง่จิตวิทยาลงทุนให้กับตลาดทุนได้ อีกทั้งก่อนหน้านี้เองพวกนี้ก็มีการศึกษาถึงความเสี่ยงในการลงทุนจากปัจจัยการเมืองของไทย และภาพเศรษฐกิจอยู่ก่อนแล้ว ดังนั้นเรื่องการเมือง และเรื่องภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศขณะนี้จึงไม่ใช่ปัจจัยสำคัญที่จะมีผลต่อดัชนีหุ้นมากเท่าใด เพราะมีการรับรู้และคาดการณ์ล่วงหน้าไว้ก่อนบ้างแล้ว”
อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวกล่าวว่า ปัจจัยในต่างแดนยังเป็นแรงผลักดันดัชนีหุ้นไทยอยู่ เห็นได้จากตัวเลขเศรษฐกิจของญี่ปุ่นที่มีปัญหายังกดดันดัชนีหุ้นในภูมิภาคนี้ลดลง แม้ตัวเลขจีดีพีของจีนจะโตกว่า 8% อีกทั้งการที่ตัวเลขการว่างงานในสหรัฐฯมีอัตราเพิ่มสูงขึ้น ล้วนถือเป็นปัจจัยกดให้นักลงทุนต้องหยุดพิจารณา
สำหรับในประเทศนั้น หลังจากข่าวลือได้คลี่คลายไปในทางที่ดีขึ้นแร้ว นักลงทุนต่างจับตามการตรวจสอบเพื่อหาต้นตอของข่าวลือ และนำผู้กระทำผิดมาลงโทษ เพราะต้องการดูฝีมือของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของสำนักงานคณะกรรมการกำกำหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่าจะดำเนินการได้สำเร็จหรือไท้ รวมถึงเป็นการพิสูจน์ความตั้งใจในการดำเนินงานของรมว.คลังด้วย
ด้านนายธวัชชัย อัศวพรไชย ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก จำกัด กล่าวว่า แนวโน้มการงทุนในตลาดหุ้นยังอยู่ในทิศทางที่ผันผวน จากปัจจัยลบภายในประเทศ อาทิ การเมืองที่ยังไม่มีเสถียรภาพ ประกอบกับการเข้าตรวจสอบ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิดกรณีการปล่อยข่าวลือในตลาดหุ้น ยังคงเป็นตัวแปรหลักที่สำคัญที่ฉุดให้มูลค่าการซื้อขายโดยรวมในตลาดหุ้นปรับตัวลดลงจากความไม่เชื่อมั่นของกลุ่มนักลงทน ซึ่งจะทำให้ชะลอการลงทุนอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน หากตลาดหุ้นไทยในขณะนี้จนถึงสิ้นปี 52 ยังไม่มีปัจจัยบวกเข้ามาสนับสนุน โอกาสที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจจะหลุดระดับ 700 - 680 จุด โดยเบื้องต้นคาดว่าหากดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแตะแนวรับที่สำคัญที่ระดับ 680 จุด จึงแนะนำให้เข้าทยอยซื้อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เนื่องจากหุ้นกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่จะได้รับอานิสงค์จากการเปิดปะมูลรถไฟฟ้าในส่วนที่เหลือ โดยหุ้นที่คาดว่าจะได้รับประโยชน์ ได้แก่ CK , ITD และ STEC รวมทั้งยังแนะนำหุ้น PTTEP ที่คาดว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกกว่า 25% ซึ่งจะทำให้ผลการดำเนินงานบริษัทปรับตัวดีขึ้น
“ปัจจัยลบจากข่าวลือที่เข้ามากระทบภาพรวมการลงทุนในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนทำให้สำนักงานก.ล.ต. และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เข้ามาตรวจสอบกรณีการล่อยข่าวลือดังกล่าว ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่มีเถียรภาพ ส่งผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยมีแนวโน้มปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 20,000 ล้านบาท ลดลงจากสัปดาห์ก่อนที่ 30,000 ล้านบาท” นายธวัชชัย กล่าว
**หุ้นไทยยังลงต่ออีก7.59 จุด
ด้านความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นไทยล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ต.ค. 52 ที่ผ่านมา ดัชนีตลาดหุ้นไทยปิดที่ระดับ 708.76 จุด ลดลง 7.59 จุด หรือ 1.06% มูลค่าการซื้อขาย 19,072 ล้านบาท ซึ่งเป็นการการปรับลงตามตลาดหุ้นภูมิภาคที่ผิดหวังจากตัวเลขเศรษฐกิจญี่ปุ่น ถึงแม้ตัวเลข GDP ไตรมาส 3/52 ของจีนที่ออกมาดีมากถึง 8.9% ไม่สามารถดึงให้ตลาดหุ้นฟื้นขึ้นมาได้ ประกอบกับหุ้นเอเชียขึ้นไปทดสอบ จุดสูงสุดในรอบ 14-15 เดือนแล้ว ก็เริ่มจะปรับฐานระยะสั้น
ส่วนมูลค่าซื้อขายแยกตามประเภทนักลงทุน พบว่า สถาบันขายสุทธิ 1,525.31 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 354.63 ล้านบาท โดยมีเพียงนักลงทุนทั่วไปที่ซื้อสุทธิ 1,879.95 ล้านบาท
ขณะที่ตลาดหุ้นส่วนใหญ่ เช่น ดัชนี ฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดตลาดที่ระดับ 22,210.52 จุด ลดลง 107.59 จุด หรือ -0.48% ส่วนดัชนี คอมโพสิต ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย ปิดตลาดที่ระดับ 2,433.18 จุด ลดลง 43.61 จุด หรือ -1.76 % ด้าน
นางสาวจิตรา อมรธรรม ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยได้ปรับตัวลดลง ตามความเคลื่อนไหวดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง โดยเฉพาะปัจจัยกดดันจากดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐฯ และตลาดหุ้นในภูมิภาคที่ปรับตัวลดลง รวมทั้ง ในช่วงใกล้สิ้นปี จะเป็นช่วงปกติที่นักลงทุนต่างชาติจะปรับพอร์ตการลงทุน ขณะที่ผลการรายงานตัวเลข จีดีพี ไตรมาส 3/2552 ของจีนที่ประกาศออกมาในวันที่ 22 ต.ค. 2552 เป็นไปตามคาดการณ์ ตลาดจึงไม่ได้ตอบรับข่าวดังกล่าวแต่อย่างใด
ส่วนเรื่องที่สำนักงานก.ล.ต.กำลังตรวจสอบกรณีกระแสข่าวลือทุบหุ้น ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับตัวลดลงแรง แต่ทั้งนี้ มองว่าเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากดำเนินการณ์ได้สำเร็จจะช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้
สำหรับแนวโน้มของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้( 26-30 ต.ค. 2552) มองว่า ยังมีโอกาสที่จะอ่อนตัวลง หรือเคลื่อนไหวอิงแดนลบ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่านักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยปรับพอร์ตการลงทุน ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่ช่วงปลายปีของทุกปี นักลงทุนต่างชาติ จะมีการปรับพอร์ต และปัจจัยดังกล่าวน่าจะมีส่วนกดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะนี้ ดังนั้น จึงแนะนำนักลงทุนติดตามตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และการรายงานผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/52 ของบริษัทจดทะเบียน ทั้งในและต่างประเทศที่จะประกาศออกมา เพราะหากหุ้นตัวใดรายงานผลประกอบการเป็นไปตามคาดการณ์ จะช่วยหนุนบรรยากาศการลงทุน แต่ถ้าหากตัวเลขที่รายงานออกมาไม่เป็นไปตามคาดอาจจะส่งผลกดดันต่อบรรยากาศการลงทุน นอกจากนี้ ให้ติดตามการประกาศ GDP ในต่างประเทศ อาทิ ประเทศเกาหลีใต้ อังกฤษ และสหรัฐฯ