โดย...ทวิช จิตรสมบูรณ์
อดีตนายกฯ ทักษิณกัดประเทศไทยของตนเองแบบไม่ปล่อยมาเป็นเวลา 3 ปีเต็มๆ แล้ว จนเกิดรอยแผละเหวอะหวะที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศนับเป็นมูลค่ามหาศาลทีเดียว ซึ่งนับว่าผิดกับผู้นำประเทศท่านก่อนๆ ที่ถูกทำให้หมดอำนาจทางการเมืองอย่างปกติ แล้วต้องไปพำนักอยู่ยังต่างแดน ท่านเหล่านั้นไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ประเทศเกิดของตนเองเลย ต่างวางตัวกันอย่างมีวุฒิภาวะสมกับเป็นรัฐบุรุษในระดับนั้น เช่น ท่านปรีดี พนมยงค์ จอมพลป. พิบูลสงคราม แม้แต่จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร ก็ตาม นี่แสดงว่ารัฐบุรุษเหล่านั้นท่านรักชาติมากกว่ารักตนเอง ยอมกลืนเลือดเงียบๆ เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้
เอาเถอะ...เราคงไปปรับนิสัยท่านทักษิณไม่ได้เสียแล้ว เพราะแก่ป่านนี้จนขึ้นสันดอนแล้ว ก็คงต้องทนอยู่กันไปในสภาวะแบบนี้ แต่ว่าไปแล้วการกัดไม่ปล่อยของทักษิณนี้ (ซึ่งที่กัดได้ก็เพราะมีเงินที่หามาได้ง่ายๆ จำนวนมากนั่นเอง แต่ครั้งครองอำนาจการเมืองไทย) ก็มีข้อดีอยู่บ้าง คือ ทำให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองขนานใหญ่ ในทุกระดับขั้นของสังคมอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งตรงนี้เองคือจุดอ่อนของระบอบทักษิณซึ่งหากรัฐบาลรู้จักใช้ให้ดีก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง และจะเป็นจุดตายของทักษิณในระยะยาวอีกด้วย เพราะในระยะยาวเมื่อรัฐให้ความรู้ทางการเมืองที่ถูกต้องแก่ประชาชนที่เคยติดยาเสพติดประชานิยมของทักษิณกันงอมแงมประชาชนก็จะเป็นอิสระ และระบอบทักษิณก็จะไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป
วิธีการคือใช้ความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนที่ทักษิณมีส่วนปลุกขึ้นมานี่แหละเป็นช่องทางให้ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองกับประชาชนด้วยวิธีการต่างๆ สุดแล้วแต่จะคิดกันเช่น
1) รัฐบาลใช้สื่อที่มีอยู่ในมือ (โทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ กลไกข้าราชการ) ให้ข้อมูลความรู้ทางการเมืองกับประชาชน รวมทั้งตอบโต้การให้ข่าวของทักษิณอย่างเป็นระบบ เพียบพร้อมด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ยิ่งทักษิณปลุกระดมมวลชนเท่าใดก็ยิ่งจะเข้าเนื้อตนเองมากขึ้นเท่านั้น (เพราะประชาชนได้ความรู้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว...ซึ่งเป็นการปฏิรูปการเมืองไปด้วยในตัวเอง)
อนึ่งการตอบโต้ทักษิณนั้นควรจัดตั้งทีมงานเฉพาะขึ้นมา หาข้อมูลเจาะลึกให้มาก รวมทั้งทำงานเชิงรุกบ้างไม่ใช่คอยโต้กลับลูกเดียว (เช่น ขุดคุ้ยหาประเด็นทุจริตใหม่ๆ ที่ทักษิณกลบกลิ่นไว้ได้อย่างดีจน คตส.ตามไม่เจอ) พอเรามีประเด็นเด็ดๆ อะไรในการโต้กลับเราก็ออกแถลงข่าวให้กระหึ่ม แต่ถ้าเราเพลี่ยงพล้ำก็ทำเป็นเงียบๆ ไว้ก่อน (ใครว่าโลกนี้ยุติธรรม ทักษิณก็เล่นเกมนี้มาก่อนคราวเป็นรัฐบาล) ที่ผ่านมารัฐบาลโต้ทักษิณแบบลูกทุ่งมากเกินไป เช่น ยกให้นายเทพไทย โฆษกประจำตัวนายกฯ เย้ยกลับด้วยวาจาถากถางต่างๆ นานา
2) จัดเวทีให้มีการโต้วาทีทางการเมืองระหว่างแกนนำเสื้อเหลืองเสื้อแดง ซึ่งทักษิณจะร่วมแจมโฟนอินด้วยก็ได้ (แต่เชื่อว่าทักษิณคงไม่กล้า) วิธีนี้รัฐบาลไม่ต้องเหนื่อย ยืมมือเสื้อเหลืองนั่นแหละให้หยิบเอาดาบที่ทักษิณยื่นให้ (ความตื่นตัวของพวกเสื้อแดง) มาประหารทักษิณเสียเอง ซึ่งจะเป็นงานหนักที่เชื่อว่าบรรดาเสื้อเหลืองจะรับงานด้วยรอยยิ้มกันทุกคน
3) สร้างละครน้ำเน่าขึ้นมาออกอากาศทางโทรทัศน์ให้พระเอกเป็นเสื้อเหลือง นางเอกเป็นเสื้อแดง (จะมีตัวตลกเป็นเสื้อขาว น้ำเงิน ด้วยก็ได้) ในช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเดินขบวนประท้วง แล้วทั้งสองคนดีเบตกันไปมาในประเด็นต่างๆ ทางการเมือง สุดท้ายก็รักกัน (สมานฉันท์)
4) ฯลฯ แล้วแต่จะคิดค้นหาวิธีกันขึ้นมา แต่ต้องรีบทำก่อนที่กระแสตื่นตัวจะหดหายพร้อมไปกับการ “สมานกะฉัน”
ถ้าใช้ทุกวิธีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นขอเสนอให้พึ่งอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศให้ตัดสินคดีทุจริตของทักษิณอย่างเป็นกลาง จะได้รู้แล้วรู้รอดกันไป ถ้าทักษิณไม่ผิดก็คงได้กลับมาต่อสู้กันต่อไป แต่ถ้าผิดก็ตกกระป๋องติดคุกกันไป (ผมว่าทักษิณไม่กล้ารับวิธีนี้หรอก เพราะรู้ตัวว่าถูกศาลตัดสินผิดแน่ๆ ก็ยิ่งเป็นการรับผิดของทักษิณโดยปริยาย)
เชื่อว่าศาลอาญาระหว่างประเทศคงไม่รับคดีหรอก เพราะไม่เข้ากฎระเบียบของเขา แต่เราอาจจัดให้มีศาลอาญานานาชาติเฉพาะกิจขึ้นได้โดยร้องขอต่อศาลอาญาระหว่างประเทศให้ช่วยจัดการให้ โดยเป็นศาลที่คณะลูกขุนมาจากผู้ทรงคุณวุฒินานาชาติ การพิจารณาคดีให้ใช้ภาษาไทยโดยผู้พิพากษาไทย (เพราะหลักฐานเอกสารเป็นไทยหมด ถ้าแปลเป็นฝรั่งจะเพี้ยนและใช้เวลานาน) จากนั้นแปลคำพิจารณาคดีเป็นภาษาอังกฤษให้คณะลูกขุนนานาชาติฟัง ก่อนลงคะแนนตัดสินโดยคณะลูกขุนนานาชาติ วิธีนี้เป็นกลางที่สุดไม่มีการลำเอียง ไม่มีอิทธิพลของการเมืองไทย ซึ่งทักษิณจะเอาสิ่งเหล่านั้นมาอ้างในการไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลไม่ได้อีกต่อไป
ถ้าทำได้ดังกล่าวจะเป็นกรณีตัวอย่างครั้งแรกของโลกที่จะเป็นต้นแบบในการระงับข้อพิพาทในกรณีเช่นนี้ต่อไป ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในโลกนี้ดังเช่นที่ฮอนดูรัสก็กำลังเกิดขึ้นแล้ว
แม้ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่ยอมจัดให้ เราจัดเองก็ยังได้ (แต่ความน่าเชื่อถืออาจลดลงไปหน่อย) โดยการร้องขอไปยังอารยประเทศให้จัดส่งลูกขุนมาให้ ค่าเดินทางเบี้ยเลี้ยงเราออกให้หมด แล้วเอาคดีไปพิพากษาในประเทศเป็นกลางก็ยังได้ เช่น กรุงเฮก สวิตเซอร์แลนด์ไปเลย
อดีตนายกฯ ทักษิณกัดประเทศไทยของตนเองแบบไม่ปล่อยมาเป็นเวลา 3 ปีเต็มๆ แล้ว จนเกิดรอยแผละเหวอะหวะที่สร้างความเสียหายให้กับประเทศนับเป็นมูลค่ามหาศาลทีเดียว ซึ่งนับว่าผิดกับผู้นำประเทศท่านก่อนๆ ที่ถูกทำให้หมดอำนาจทางการเมืองอย่างปกติ แล้วต้องไปพำนักอยู่ยังต่างแดน ท่านเหล่านั้นไม่เคยสร้างความเดือดร้อนให้ประเทศเกิดของตนเองเลย ต่างวางตัวกันอย่างมีวุฒิภาวะสมกับเป็นรัฐบุรุษในระดับนั้น เช่น ท่านปรีดี พนมยงค์ จอมพลป. พิบูลสงคราม แม้แต่จอมพลถนอม กิตติขจร จอมพลประภาส จารุเสถียร ก็ตาม นี่แสดงว่ารัฐบุรุษเหล่านั้นท่านรักชาติมากกว่ารักตนเอง ยอมกลืนเลือดเงียบๆ เพื่อให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้
เอาเถอะ...เราคงไปปรับนิสัยท่านทักษิณไม่ได้เสียแล้ว เพราะแก่ป่านนี้จนขึ้นสันดอนแล้ว ก็คงต้องทนอยู่กันไปในสภาวะแบบนี้ แต่ว่าไปแล้วการกัดไม่ปล่อยของทักษิณนี้ (ซึ่งที่กัดได้ก็เพราะมีเงินที่หามาได้ง่ายๆ จำนวนมากนั่นเอง แต่ครั้งครองอำนาจการเมืองไทย) ก็มีข้อดีอยู่บ้าง คือ ทำให้เกิดการตื่นตัวทางการเมืองขนานใหญ่ ในทุกระดับขั้นของสังคมอย่างไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ซึ่งตรงนี้เองคือจุดอ่อนของระบอบทักษิณซึ่งหากรัฐบาลรู้จักใช้ให้ดีก็จะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง และจะเป็นจุดตายของทักษิณในระยะยาวอีกด้วย เพราะในระยะยาวเมื่อรัฐให้ความรู้ทางการเมืองที่ถูกต้องแก่ประชาชนที่เคยติดยาเสพติดประชานิยมของทักษิณกันงอมแงมประชาชนก็จะเป็นอิสระ และระบอบทักษิณก็จะไม่สามารถทำงานได้อีกต่อไป
วิธีการคือใช้ความตื่นตัวทางการเมืองของประชาชนที่ทักษิณมีส่วนปลุกขึ้นมานี่แหละเป็นช่องทางให้ความรู้ความเข้าใจทางการเมืองกับประชาชนด้วยวิธีการต่างๆ สุดแล้วแต่จะคิดกันเช่น
1) รัฐบาลใช้สื่อที่มีอยู่ในมือ (โทรทัศน์ วิทยุ สิ่งพิมพ์ กลไกข้าราชการ) ให้ข้อมูลความรู้ทางการเมืองกับประชาชน รวมทั้งตอบโต้การให้ข่าวของทักษิณอย่างเป็นระบบ เพียบพร้อมด้วยข้อมูลที่น่าเชื่อถือ ยิ่งทักษิณปลุกระดมมวลชนเท่าใดก็ยิ่งจะเข้าเนื้อตนเองมากขึ้นเท่านั้น (เพราะประชาชนได้ความรู้มากขึ้นเป็นเงาตามตัว...ซึ่งเป็นการปฏิรูปการเมืองไปด้วยในตัวเอง)
อนึ่งการตอบโต้ทักษิณนั้นควรจัดตั้งทีมงานเฉพาะขึ้นมา หาข้อมูลเจาะลึกให้มาก รวมทั้งทำงานเชิงรุกบ้างไม่ใช่คอยโต้กลับลูกเดียว (เช่น ขุดคุ้ยหาประเด็นทุจริตใหม่ๆ ที่ทักษิณกลบกลิ่นไว้ได้อย่างดีจน คตส.ตามไม่เจอ) พอเรามีประเด็นเด็ดๆ อะไรในการโต้กลับเราก็ออกแถลงข่าวให้กระหึ่ม แต่ถ้าเราเพลี่ยงพล้ำก็ทำเป็นเงียบๆ ไว้ก่อน (ใครว่าโลกนี้ยุติธรรม ทักษิณก็เล่นเกมนี้มาก่อนคราวเป็นรัฐบาล) ที่ผ่านมารัฐบาลโต้ทักษิณแบบลูกทุ่งมากเกินไป เช่น ยกให้นายเทพไทย โฆษกประจำตัวนายกฯ เย้ยกลับด้วยวาจาถากถางต่างๆ นานา
2) จัดเวทีให้มีการโต้วาทีทางการเมืองระหว่างแกนนำเสื้อเหลืองเสื้อแดง ซึ่งทักษิณจะร่วมแจมโฟนอินด้วยก็ได้ (แต่เชื่อว่าทักษิณคงไม่กล้า) วิธีนี้รัฐบาลไม่ต้องเหนื่อย ยืมมือเสื้อเหลืองนั่นแหละให้หยิบเอาดาบที่ทักษิณยื่นให้ (ความตื่นตัวของพวกเสื้อแดง) มาประหารทักษิณเสียเอง ซึ่งจะเป็นงานหนักที่เชื่อว่าบรรดาเสื้อเหลืองจะรับงานด้วยรอยยิ้มกันทุกคน
3) สร้างละครน้ำเน่าขึ้นมาออกอากาศทางโทรทัศน์ให้พระเอกเป็นเสื้อเหลือง นางเอกเป็นเสื้อแดง (จะมีตัวตลกเป็นเสื้อขาว น้ำเงิน ด้วยก็ได้) ในช่วงเวลาที่ทั้งสองฝ่ายกำลังเดินขบวนประท้วง แล้วทั้งสองคนดีเบตกันไปมาในประเด็นต่างๆ ทางการเมือง สุดท้ายก็รักกัน (สมานฉันท์)
4) ฯลฯ แล้วแต่จะคิดค้นหาวิธีกันขึ้นมา แต่ต้องรีบทำก่อนที่กระแสตื่นตัวจะหดหายพร้อมไปกับการ “สมานกะฉัน”
ถ้าใช้ทุกวิธีแล้วอาการยังไม่ดีขึ้นขอเสนอให้พึ่งอำนาจศาลอาญาระหว่างประเทศให้ตัดสินคดีทุจริตของทักษิณอย่างเป็นกลาง จะได้รู้แล้วรู้รอดกันไป ถ้าทักษิณไม่ผิดก็คงได้กลับมาต่อสู้กันต่อไป แต่ถ้าผิดก็ตกกระป๋องติดคุกกันไป (ผมว่าทักษิณไม่กล้ารับวิธีนี้หรอก เพราะรู้ตัวว่าถูกศาลตัดสินผิดแน่ๆ ก็ยิ่งเป็นการรับผิดของทักษิณโดยปริยาย)
เชื่อว่าศาลอาญาระหว่างประเทศคงไม่รับคดีหรอก เพราะไม่เข้ากฎระเบียบของเขา แต่เราอาจจัดให้มีศาลอาญานานาชาติเฉพาะกิจขึ้นได้โดยร้องขอต่อศาลอาญาระหว่างประเทศให้ช่วยจัดการให้ โดยเป็นศาลที่คณะลูกขุนมาจากผู้ทรงคุณวุฒินานาชาติ การพิจารณาคดีให้ใช้ภาษาไทยโดยผู้พิพากษาไทย (เพราะหลักฐานเอกสารเป็นไทยหมด ถ้าแปลเป็นฝรั่งจะเพี้ยนและใช้เวลานาน) จากนั้นแปลคำพิจารณาคดีเป็นภาษาอังกฤษให้คณะลูกขุนนานาชาติฟัง ก่อนลงคะแนนตัดสินโดยคณะลูกขุนนานาชาติ วิธีนี้เป็นกลางที่สุดไม่มีการลำเอียง ไม่มีอิทธิพลของการเมืองไทย ซึ่งทักษิณจะเอาสิ่งเหล่านั้นมาอ้างในการไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลไม่ได้อีกต่อไป
ถ้าทำได้ดังกล่าวจะเป็นกรณีตัวอย่างครั้งแรกของโลกที่จะเป็นต้นแบบในการระงับข้อพิพาทในกรณีเช่นนี้ต่อไป ซึ่งเชื่อว่าจะเกิดขึ้นอีกหลายครั้งในโลกนี้ดังเช่นที่ฮอนดูรัสก็กำลังเกิดขึ้นแล้ว
แม้ศาลอาญาระหว่างประเทศไม่ยอมจัดให้ เราจัดเองก็ยังได้ (แต่ความน่าเชื่อถืออาจลดลงไปหน่อย) โดยการร้องขอไปยังอารยประเทศให้จัดส่งลูกขุนมาให้ ค่าเดินทางเบี้ยเลี้ยงเราออกให้หมด แล้วเอาคดีไปพิพากษาในประเทศเป็นกลางก็ยังได้ เช่น กรุงเฮก สวิตเซอร์แลนด์ไปเลย